ความบังเอิญที่น่ายินดี

1932 คำ
๒  ความบังเอิญที่น่ายินดี ลลิตาเปิดสมุดบัญชีดูยอดเงินเก็บ แล้วถอนหายใจเฮือกกับยอดที่ปรากฏ อีกนานกว่าจะมีเงินมากพอจะซื้อที่ผืนเล็กๆ สักผืน เสียงเปิดประตูห้องน้ำทำให้หญิงสาวรีบเก็บสมุดบัญชี แล้วหันไปยิ้มให้มารดา “ทำไมยังไม่นอนอีก”  ลลิตาเป็นพนักงานบัญชีอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ส่วนนางทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ที่เดียวกัน  “นอนไม่หลับจ้ะ” คำตอบของลูกสาวทำให้สำอางหันมามอง  “คิดถึงฤทธิ์เหรอ” ลลิตานิ่งอึ้ง ช้อนตาขึ้นมองมารดาแล้วถอนหายใจเฮือก “เขาไม่ยอมรับเงินทอน แถมขนมก็ไม่เอา บอกว่าถ้าอยากคืนก็ให้ตามไปคืนที่บ้าน” คำบอกเล่าของลูกสาวทำให้คนเป็นแม่ชะงักมือที่กำลังหวีผม หันมามองคนพูดด้วยแววตาครุ่นคิด ลูกสาวนางยิ่งเติบโตก็ยิ่งฉายความงาม ไม่มีผู้ชายคนไหนที่มองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้แม้แต่เรืองฤทธิ์  แต่แล้วสำอางก็ส่ายหน้า ผู้ชายแบบนั้นคงไม่มาสนใจลูกสาวของนาง ป่านนี้คงจะมีครอบครัวไปแล้วก็เป็นได้ “ถ้าเขาไม่อยากรับก็ไม่ต้องคืน แต่ถ้าไม่อยากติดค้างจะเอาเงินที่เหลือไปทำบุญทำทานก็ได้ จะได้รู้สึกดีขึ้น” ลลิตายิ้มให้มารดาอย่างเห็นด้วย  “งั้นพรุ่งนี้หนูจะเอาเงินไปบริจาคให้กับเด็กยากไร้ก็แล้วกัน”  สำอางพยักหน้าให้ลูกสาวพลางบอก “ตามใจ” แล้วหันไปประแป้งแต่งตัวเตรียมเข้านอน เสียงลมหายใจของสำอางดังสม่ำเสมอ ขณะที่ลลิตายังคงตาสว่างไม่รู้สึกง่วงนอนเลยสักนิด เพราะคอยแต่คิดถึงคนที่เจอกันในตอนเย็น เรืองฤทธิ์ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เมื่อก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แต่เขาคงไม่มีวันลืมเรื่องที่หล่อนทำให้เขาต้องเสียคนรักไปอย่างแน่นอน ที่สำคัญหล่อนยังจำความโกรธของเขาได้เป็นอย่างดี หญิงสาวผ่อนลมหายใจแผ่วเบา พยายามบอกกับตัวเองให้เลิกคิดถึง พรุ่งนี้ของหล่อนและเขายังต่างกันเลย ต่อไปก็คงมีโอกาสได้เจอกันน้อยลงเช่นกัน   “ฤทธิ์เอ๊ยฤทธิ์ อยู่บนบ้านหรือเปล่า” เสียงคนร้องเรียกที่ดังเข้ามาภายในบ้านทำให้คนที่กำลังเจียวไข่มองออกไปแล้วตะโกนตอบ “อยู่บนเรือนน้า” ไม่ช้าไม่นานเสียงออดแอดก็ลั่นเป็นจังหวะ พร้อมกับร่างอวบอิ่มของนางน้อยที่ก้าวเข้ามาพร้อมถ้วยอะไรสักอย่างในมือ “วันนี้แกงส้มดอกแค เอ็งทำอะไรกิน ไข่เจียวอีกแล้วเรอะ” นางน้อยชะโงกหน้าไปมอง แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ “หาเมียกับเขาสักคนสิวะ จะได้กินอย่างอื่นมั่ง” คำแนะนำทำให้เรืองฤทธิ์หัวเราะพรืด แล้วตักไข่เจียวในกระทะออกมาใส่จานที่เตรียมไว้ “ยังหาไม่ได้เลยน้า” นางน้อยค้อนขวับ เพราะคนพูดพูดไม่ตรงความจริง คนอย่างเรืองฤทธิ์มีแต่คนอยากจะได้ไปเป็นเขย เพราะขยันขันแข็งเอาการเอางาน ไม่เหมือนลูกบ้านอื่นที่รักสวยรักงาม งานหนักไม่ค่อยเอา งานเบาไม่ค่อยสู้ “หาไม่ได้หรือเลือกมากวะไอ้ฤทธิ์” นางหมั่นไส้จึงแขวะไปเสียที แต่คนเป็นหลานหัวเราะหึๆ ทว่าเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้ ใบหน้าหวานๆ ของลลิตาก็ลอยเข้ามาในความคิดอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้เขาชะงักอึ้ง เกิดคำถามกับตนเองว่าทำไมหมู่นี้ถึงคิดถึงแต่หล่อน ก่อนจะหมุนตัวไปยังสำรับกับข้าวบนโต๊ะเตี้ยกลางเรือน โดยมีนางน้อยเดินตามไปนั่งข้างกัน “ผมยังไม่อยากมีครับน้าน้อย” “อายุเท่าไรแล้วฤทธิ์ จะสี่สิบอยู่รอมร่อ ไม่มีตอนนี้จะมีตอนไหน ให้น้าหาให้เอาไหม มีลูกสาวคนรู้จักหลายคนที่เข้าท่าเข้าทางพอจะแนะนำให้ได้นะ” ได้ยินแบบนั้นเขารีบส่ายหน้าหวือทันที “ไม่เอาหรอกน้า ปล่อยผมอยู่แบบนี้แหละดีแล้ว สบายใจดี” เขาคดข้าวใส่จาน แล้วหันไปชวนน้าน้อยกินข้าวด้วยกัน “กินข้าวด้วยกันน้า” “น้ากินมาแล้ว” นางน้อยส่ายหน้า ก่อนจะลุกขึ้น “ว่าแต่ยังไม่เอาแน่นะเมียน่ะ” ยังไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ ชายหนุ่มจึงส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เฮ้อ เรื่องมากจริงๆ รู้ไหมอาทิตย์หน้าลูกนังสาหร่ายมันจะแต่งแล้วนะ นี่รุ่นลูกรุ่นหลานเขาแซงหน้าไปไม่รู้กี่คนต่อกี่คนจนจะหมดหมู่บ้านอยู่แล้ว เอ็งยังเลือกอยู่นั่น ท่าจะขึ้นคานเสียกระมังหลานฉัน” “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าน้า ไม่แน่ผมอาจจะได้เมียรุ่นลูกรุ่นหลานเร็วๆ นี้ก็ได้ใครจะรู้” คำพูดทีเล่นทีจริงของหลานชายไม่ทำให้คนที่เป็นน้าไม่เชื่อน้ำมนตร์นัก  “น้ากลับก่อนแล้วกัน ตายุทธรอเข้าสวนนานแล้ว” เรืองฤทธิ์มองน้าสาวของตนเองแล้วส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ว่าจะเจอกับนางน้อยกี่ครั้งกี่หน ก็มักถูกถามเรื่องมีเมียอยู่ร่ำไป ชายหนุ่มส่ายหัวอีกครั้ง ใบหน้าเจือยิ้มขบขัน แต่แล้วภาพแม่ค้าขนมหวานคนสวยก็ผ่านเข้ามาในความคิดของเขาอีกหน ชายหนุ่มวางช้อนลงทันที ใบหน้าที่เจือยิ้มก็คลายลง ก่อนจะนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจ เขาเอาแต่คิดถึงลลิตา แต่กลับไม่เคยคิดถึงอดีตคนรักที่เลิกรากันไปสักครั้งเดียว ขณะที่เรืองฤทธิ์ทำงานอยู่กลางสวนในบ่ายของวันหนึ่ง จู่ๆ คนงานของเขาก็เดินมาบอกว่า... “พี่ฤทธิ์ มีคนฝากมาให้” ชายหนุ่มรับซองสีขาวไปถือด้วยความงุนงง เปิดดูแล้วหยิบธนบัตรใบละยี่สิบบาทสามใบขึ้นมาดู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามคนงานของตน “ใครเอามาให้รู้ไหม” คนงานเกาหัวแกรก เพราะเขาไม่ได้ถามชื่อ “ผมไม่ได้ถามชื่อไว้ครับ แต่เป็นผู้หญิงสาวๆ ดูยังเด็กแล้วก็สวยด้วยครับ” รูปพรรณสัณฐานที่บอกเล่ามาทำให้ชายหนุ่มมั่นใจทันที  “ตอนนี้อยู่ที่ไหน” “กลับไปแล้วครับ” “อะไรนะ!” เรืองฤทธิ์ขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก่อนจะเอ่ยถาม “ไปทางไหนรู้ไหม” “ถนนใหญ่ครับ ไปกับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง” ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็รีบเดินกลับบ้านทันที เขาตรงไปที่รถกระบะซึ่งจอดอยู่ใต้ถุนแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนงานมองตามด้วยสายตางุนงง “อะไรของเขาวะ” ลลิตาซ้อนท้ายรถรับจ้างกลับเข้าตัวอำเภอเพื่อต่อรถเมล์กลับไปยังห้องพักในตัวจังหวัด ที่หญิงสาวต้องกลับมาที่บ้านเก่านั้นเป็นเพราะเพื่อนสนิทสมัยเด็กแต่งงาน หญิงสาวจึงมาร่วมงานในฐานะเพื่อนเจ้าสาว เมื่อเสร็จพิธีจึงขอลากลับทันทีเพราะวันรุ่งขึ้นยังต้องทำงานต่อเนื่องจากไม่ใช่วันหยุดของหล่อน จึงถือโอกาสนี้แวะมาที่บ้านของเรืองฤทธิ์แล้วรีบคืนเงินทอนค่าขนมเสียให้สิ้นเรื่อง จะได้ไม่รู้สึกติดค้างอีกต่อไป  เสียงรถกระบะที่ดังตามมาพร้อมฝุ่นที่ตลบอบอวลทำให้ลลิตาต้องยกมือป้องหน้าเอาไว้เมื่อรถรับจ้างขับเลี่ยงจนชิดริมถนน แต่ทว่าหญิงสาวต้องร้องอุทาน เมื่อรถกระบะคันนั้นเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ “ว้าย!!” คนขับรถมอเตอร์ไซค์สบถลั่น จนหญิงสาวต้องรีบลงจากรถแล้วออกไปยืนห่างด้วยความตกใจ  “เฮ้ย! ขับรถงี้อยากมีเรื่องหรือไงวะ!” ร่างสูงที่ก้าวลงมาจากกระบะทำให้ลลิตามองตาค้าง แล้วหันไปมองคนขับรถรับจ้าง ฝ่ายนั้นดูโกรธมากจนพร้อมจะมีเรื่อง แต่เมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นแล้วเอ่ยขอโทษเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์จึงอารมณ์เย็นลง “จ่ายค่ารถหรือยัง” คนขับรถหันไปมองหญิงสาวสวยแวบหนึ่งก่อนตอบเสียเอง “ยัง” “เท่าไร” คนขับรถหันไปมองหญิงสาวอีกรอบแล้วหันมาตอบชายหนุ่ม “ร้อยหนึ่ง” แต่ชายหนุ่มยัดเงินใส่มืออีกฝ่ายไปสองร้อย เพียงเท่านั้นคนขับรถรับจ้างก็อุบอิบขอบคุณด้วยท่าทางที่ต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาว “เอาไงหนู น้าจะไปแล้วนะ” ลลิตาขยับปากทำท่าจะปฏิเสธ แต่ทว่าร่างสูงกลับก้าวเข้ามาพร้อมกับมองตาหล่อนนิ่งแล้วบอก “ไปคุยกันก่อน เดี๋ยวฉันไปส่งถึงที่พักเอง”  “ไม่ได้หรอกค่ะ คือฉันต้อง…” “พี่กลับไปเถอะ ผมจะไปส่งน้องสาวคนนี้เอง รู้จักกันน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” คนขับรถรับจ้างคนนั้นมองหญิงสาวอย่างนึกเป็นห่วง แต่เมื่อหล่อนพยักหน้าให้ อีกฝ่ายจึงสตาร์ตรถขับออกไปจากถนนสายนั้น ก่อนที่คนตัวโตหน้าเข้มจะเปลี่ยนใจเรียกเงินคืน สิบนาทีต่อมาลลิตาก็กลับมาที่บ้านของเรืองฤทธิ์อีกครั้ง หญิงสาวกวาดตามองไปบนตัวบ้านที่ครั้งหนึ่งหล่อนถือวิสาสะขึ้นไปทำเรื่องน่าละอาย กลับมาวันนี้ ทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ตอกย้ำวันคืนเก่าๆ ที่ผ่านมานานแล้วผุดขึ้นในความคิด “ลงมาก่อนสิ” หญิงสาวหันไปมองเจ้าของบ้าน เขาสบตาหล่อนแวบเดียวแล้วลงจากรถ ทำให้หญิงสาวจำต้องก้าวตามลงไป   ชายหนุ่มวางซองเงินลงบนแคร่ เขามองหล่อนด้วยสายตาเรียบลึก ทำให้หญิงสาวต้องหลุบตาลง มองซองสีขาวที่ตนฝากเอาไว้กับคนงานของเขาก่อนออกไปเมื่อสักพักใหญ่ “คุณบอกว่าถ้าอยากคืนให้มาคืนที่นี่” เงยหน้าขึ้นสบตาคมกริบ “บังเอิญว่าเพื่อนของฉันแต่งงานวันนี้ ก็เลยถือโอกาสตอนกลับแวะเอาเงินทอนมาคืนค่ะ” ชายหนุ่มหรี่ตา รู้สึกหงุดหงิดกับคำว่า ‘ฉัน’ และ ‘คุณ’ เหลือใจ “ลูกสาวพี่สาหร่ายใช่ไหม” “ใช่ค่ะ สาลี่เป็นเพื่อนฉันตอนเด็กๆ เราเจอกันที่ตลาด สาลี่ก็เลยบอกให้มาร่วมงานด้วย” คำบอกเล่าของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปาก แล้วจ้องหล่อนอยู่หลายวินาทีจนเจ้าของร่างบางเริ่มอึดอัดใจจึงได้เอ่ยถามออกมาว่า “สบายดีไหม” คนถูกถามชะงักงันไปเช่นกัน แต่หัวใจกลับเต้นรัวจนต้องขบเม้มริมฝีปากสีเรื่อ ทำให้คนมองนึกเป็นห่วงเพราะกลัวว่าหล่อนจะเจ็บ “สบายดีค่ะ” ตอบเสียงเบา แล้วเสมองไปทางอื่นที่ไม่มีเขา จึงได้เห็นว่าต้นส้มโอที่หล่อนเคยดูแลเวลานี้เติบโตขึ้นมาก และให้ผลดกเป็นอย่างยิ่ง แววตาที่แสดงความสนใจของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมองตามสายตาของหล่อน ก่อนจะหันกลับมาแล้วมองคนตัวบางอีกครั้ง และเป็นแววตาที่ให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน “เล่าให้ฟังได้ไหม ว่าหลังจากไปจากที่นี่แล้ว ไปทำอะไรมาบ้าง” คำถามของเรืองฤทธิ์ทำให้คนที่พยายามลืมเลือนเรื่องในอดีตหันกลับมามองเขา แค่เพียงไม่กี่วินาทีก็ต้องหลบสายตาคมเข้มด้วยความรู้สึกละอาย ยิ่งเขาทวงถามความเป็นไป ก็ยิ่งทำให้รู้สึกละอายมากขึ้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม