หลายวันต่อมา
“เออ พวกมึงกูเจอพี่รหัสล่ะ” จู่ ๆ แพรก็พูดขึ้น เรียกความสนใจจากพวกฉันให้หันไปมองหน้ามันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“พี่แม่ชีแห่งบริหารเหรอวะ?” ซีถาม
“เออ กูไปสืบมาว่าใครเป็นพวกสายธรรมะธัมโม แล้วกูก็พบว่ามีพี่คนหนึ่งที่สุดแห่งความเป็นแม่ชีมาก คำหยาบไม่พูด เข้าวัดทำบุญเป็นประจำ แถมเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่สุงสิงกับใครด้วย กูเลยฟันธงว่าคนนี้ต้องใช่อย่างแน่นอน”
“แล้วมึงไปขอเข้าสายรหัสยัง?” ฉันถามมันบ้าง
“เรียบร้อยค่า กูโคตรเกร็งเลยมึง ตอนโทรไปขอเข้าสายกับพี่แก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบาปที่ไปแปลกเปื้อนในชีวิตของพี่แกอ่ะ”
“มึงก็พูดไปเนอะ ฮ่า ๆ” ฉันส่ายหัวไปมาพลางขำเบา ๆ เพราะตลกกับคำพูดของมัน
“เออ แล้วพวกมึงล่ะ?” แพรถามพวกฉัน
“ยังอ่ะ กูไม่ค่อยมีเวลาไปตามหาเลย”
ก็ดูสิคะ วัน ๆ นึงต้องตื่นมาเรียนแต่เช้า บ่ายเข้าห้องเชียร์กับกิจกรรมรับน้อง กลับหอไปสลบ จะเอาเวลาไหนไปตามหาพี่รหัสล่ะ
“กูก็ยัง” ซีตอบนิ่ง ๆ ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“รีบ ๆ หาเลยนะพวกมึง ใกล้จะรายงานสายรหัสแล้ว เดี๋ยวได้โดนลงโทษหนัก”
“เออ ๆ” ซีรับคำอย่างขอไปที
วันนี้พวกฉันไม่มีซ้อมเชียร์กับเข้ากิจกรรมรับน้อง พอเรียนเสร็จก็เลยพากันมานั่งเล่นตรงโต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้หน้าตึกเรียน
“ม๊ากูโทรตามแล้วพวกมึง วันนี้มีนัดกินข้าวกับญาติ กูไปละนะ”
“เออ ๆ” ซีปัดมือไล่แพรอย่างเย็นชา
“โอเคมึง บาย~” ฉันบอกแพรพลางโบกมือลา
“บาย” แพรโบกมือลาให้พวกฉันแล้วก็เดินจากไป
“แล้วมึงอ่ะ กลับไง?” พอแพรไปแล้ว ซีก็หันมาถามฉัน
“รถเมล์นี่แหละ”
“ให้กูไปส่งไหม?”
“ไม่เป็นไร ๆ มึงกลับเลย กูกลับรถเมล์เนี่ยแหละ”
“เอางั้นเหรอ?”
“อืม ไม่ต้องห่วง สบาย”
“เค กูกลับล่ะ”
“อ่า ๆ กลับดี ๆ นะ”
ซีกลับไปแล้ว ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักพักหนึ่ง ก่อนจะลุกเดินไปนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์
ฉันรอรถเมล์อยู่ได้ไม่นาน จู่ ๆ ก็มีรถยนต์สุดหรูคันหนึ่งขับมาจอดเทียบฟุตบาทข้างหน้า ก่อนที่คนขับจะเลื่อนกระจกรถลง จึงทำให้รู้ว่าเขาคือพี่อีธานนั่นเอง!
แค่เห็นใบหน้าของเขา ฉันก็แทบอุทานออกมา
“กลับยังไง?” พี่เขาเอ่ยถามฉัน
“รถเมล์ค่ะ” ฉันตอบออกไปแบบประหม่าเล็กน้อย
“...…” เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดบอกฉัน “ขึ้นมา เดี๋ยวไปส่ง”
เขาอาสาไปส่งฉันอย่างนั้นเหรอ?
นี่เขาไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย!
“ไม่เป็นไรค่ะ ๆ เดี๋ยวรถเมล์ก็มาแล้ว”
“อย่าขัดใจ!” เขาทำหน้าไม่พอใจทันทีที่ฉันตอบปฏิเสธน้ำใจเขาไป
ก็ฉันไม่กล้าให้เขาไปส่งนี่นา หรือจะเรียกว่าอึดอัดใจก็ได้ “...…”
“ยืนเอ๋ออะไร เร็ว ๆ ดิ” แล้วดูคำพูดเขาสิ อยากไปด้วยตายแหละ
“ไม่…” ยังพูดไม่ทันจบ เขาก็พูดสวนขึ้นมาซะก่อน
“จะขึ้นมาดี ๆ หรือจะให้ฉันไปอุ้มเธอขึ้นมา!”
อุ้มเหรอ? ไม่เด็ดขาดอ่ะ
เขาไม่ได้พูดเฉย ๆ แต่เหมือนจะทำอย่างที่ขู่จริง ๆ เพราะเขากำลังจะเปิดประตูรถลงมา ฉันเห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งไปที่รถเขาทันที
“ขึ้นแล้วค่า”
“เหอะ! ขึ้นตั้งแต่แรกก็จบ เล่นตัวอยู่ได้” พอฉันขึ้นมานั่งบนรถ เขาก็พูดแซะฉันทันที
“ไม่ได้เล่นตัวสักหน่อย ไม่อยากรบกวน…” ฉันหันไปเถียงเขา แต่พอเห็นแววตาดุ ๆ ของเขาก็กลืนคำพูดลงคออย่างทันทีทันใด เขาแอบน่ากลัวอยู่เหมือนกันนะ
“…เผื่อพี่รีบ”
“คิดไปเอง” เขาบ่นพึมพำอะไรอยู่คนเดียว ฉันไม่ค่อยได้ยินจึงถามออกไป
“อะไรนะคะ?”
“คาดเข็มขัด!”
ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยเนี่ย!?
ฉันหันไปมองหน้าเขา แต่ก็ต้องสะดุดเข้ากับสายตาของเขาอีกแล้ว สายตาประหลาดที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ ตรงกลางหัวใจ
ขอร้องล่ะใบหม่อน จะมารู้สึกตื่นเต้นอะไรกับเขาตอนนี้!
“มองอะไร บอกให้คาดเข็มขัด” เสียงเขาดังชัดขึ้น ทำให้ฉันที่กำลังมองหน้าเขาอยู่ลนลานและทำตัวไม่ถูก
ฉันค่อย ๆ เอื้อมมือไปคว้าเข็มขัดนิรภัยช้า ๆ แบบเงอะงะ แต่อยู่ ๆ พี่อีธานก็โน้มใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ฉันเรื่อย ๆ จนมันใกล้มาก มากจนทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ มือที่กำลังคว้าสายเข็มขัดอยู่ก็หยุดชะงักด้วยเหมือนกัน
เราสองคนจ้องตากันแบบตาไม่กะพริบ ไม่มีใครหลบสายตาหนีไปก่อน
ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงสิบเซนติเมตร ทำให้ฉันรับรู้ถึงลมหายใจกรุ่นร้อนอ่อน ๆ ของเขาที่เป่ารดข้างแก้ม
ความเงียบงันทำให้ได้เสียงหัวใจของฉันที่เต้นดังโครมครามขึ้นมา เขาต้องได้ยินเสียงหัวใจของฉันแน่เลย
ไม่นานเขาก็เหมือนจะรู้สึกตัว จึงเลื่อนใบหน้าออกไปอย่างช้า ๆ แล้วเอื้อมมือไปคว้าเอาเข็มขัดมาคาดให้ฉันอย่างรวดเร็ว
“ชักช้าจริง ๆ ยัยเด็กดื้อ!” เขาพูดบ่นให้ฉัน แล้วขยับตัวออกไปนั่งประจำที่คนขับแบบดี ๆ ก่อนจะสตาร์ทรถขับออกมา
ยัยเด็กดื้องั้นเหรอ?
รู้ไหมสถานการณ์เมื่อกี้มันอันตรายต่อหัวใจของฉันมากเลย การอยู่ใกล้เขาทำให้ฉันรู้ว่าเขามีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจของฉันมากแค่ไหน
ขณะอยู่บนรถเราสองคนแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย นอกจากฉันที่คอยบอกทางเขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงหอพักที่ฉันอยู่
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ” ฉันพูดขอบคุณเขาไป ก่อนจะยื่นมือไปที่ประตูรถเตรียมจะเปิดลงไป
“เดี๋ยว!”
ฉันหยุดชะงักทันที ก่อนจะหันไปถามเขาด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอคะ?”
“เจอพี่รหัสหรือยัง?”
ทำไมจู่ ๆ เขาก็ถามเรื่องพี่รหัสนะ มีอะไรหรือเปล่า
“ยังค่ะ”
“ทำไมไม่ตามหา?”
“ก็ไม่ค่อยว่างอ่ะค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
หรือว่าเขาจะเป็นพี่รหัสฉัน เพราะเขาดูมีพิรุธยังไงชอบกล
“เปล่า รีบ ๆ หาล่ะ เดี๋ยวก็โดนวิ่งรอบสนามอีกหรอก”
“ค่ะ” ฉันตอบเขาไปพร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ นึกถึงตอนวิ่งรอบสนามคราวนั้นทีไรฉันนี่รู้สึกเข็ดไปเลย ปวดขาไปสามสี่วันกว่าจะหายดี จะทำอะไรก็โคตรจะลำบาก แถมยังโคตรทรมานด้วย
“ขอโทรศัพท์ฯ เธอหน่อย”
“ทำไมคะ?”
อะไรคืออยู่ดี ๆ ก็มาขอโทรศัพท์มือถือของฉัน
“เอามาเถอะน่า”
“แล้วเอาไปทำไมล่ะคะ?”
“เอามา!” เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมให้ดี ๆ ก็ทำเสียงดุแกมบังคับ
“บอกมาก่อนสิคะ เอาไปทำไม?”
“เธอแม่ง!” เขาสบถเสียงเบา แต่ฉันกลับได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู
“...…”
“…ดื้อจริง ๆ”
“ก็ตอบมาก่อนสิคะ ว่าเอาไปทำไม”
“เออ ๆ จะขอเบอร์”
ขอเบอร์…ฉันเหรอ?
“เอาไปทำไมคะ?”
“ขอไม่ได้?”
แล้วทำไมต้องถามกลับด้วยเล่า ทำเอาฉันงงหนักกว่าเดิม
“ก็เราไม่มีธุระต้องติดต่อกันนี่คะ”
“เดี๋ยวก็มี”
“ไม่เห็นจะอยากมีด้วยเลย คนอะไรชอบบังคับให้ทำนู่นทำนี่อยู่เรื่อย” ฉันบ่นงึมงำคนเดียวอย่างนึกหมั่นไส้ให้เขา
“เธอว่าไรนะ?”
“เอ่อ…เปล่าค่ะ”
“ตกลงจะให้ได้ยัง?”
เมื่อเห็นเขาคะยั้นคะยอไม่หยุด ฉันก็เลยต้องจำใจหยิบโทรศัพท์มือถือยื่นไปให้เขา พอเขารับมันไปก็ก้มหน้าทำท่าจะกด แต่ก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นมามองฉันอีกรอบ
“รหัส?”
อ้อ ฉันลืมปลดล็อกหน้าจอให้เขาก่อนยื่นให้
“หนึ่งสี่ศูนย์สองศูนย์หนึ่ง”
“วันเกิดเหรอวะ”
“ระ..รู้ได้ไงคะ?” ฉันเลิกคิ้วสูงทันทีด้วยความแปลกใจ
“เก่ง” เขายกยิ้มพลางทำหน้าภูมิอกภูมิใจที่ตัวเองรู้ว่านั่นคือวันเกิดของฉันแบบสุด ๆ จนฉันอดที่จะลอบเบะปากมองบนไม่ได้
ใช่ค่ะ รหัสที่ฉันเพิ่งพูดออกไปนั่นคือวันเกิดของฉันเอง ฉันเกิดวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2001 ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์นั่นแหละ ฉันโชคดีใช่ไหมล่ะที่ได้เกิดวันแห่งความรัก
เมื่อรู้รหัสผ่านฉันแล้ว เขาก็ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือของฉันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งคืนมาให้ฉัน
“อ่ะ เอาคืนไป”
“ค่ะ ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมคะ?” ฉันถามเขาไป เพราะมาถึงหอตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่ยอมปล่อยให้ฉันลงรถสักที
“อือ ลงไปสิ”
“ค่ะ ขอบคุณอีกรอบนะคะที่มาส่ง” ฉันพูดบอกขอบคุณเขาไปอีกครั้ง ก่อนจะเปิดประตูรถลงมา จังหวะที่ฉันกำลังจะปิดประตู เขาก็พูดบอกฉันขึ้น
“ฝันดีนะยัยเด็กดื้อ”
พอฉันปิดประตูรถเสร็จ เขาก็ขับรถออกไปทันที
“อะไรคือมาบงมาบอกฝันดี ฉันไม่ได้ดื้อสักหน่อย” ฉันยืนบ่นพึมพำอยู่คนเดียว สายตาก็มองตามรถที่เพิ่งขับเคลื่อนออกไปจนพ้นสายตา
พอขึ้นมาถึงห้อง ฉันก็รีบไปอาบน้ำเลย หลังอาบน้ำเสร็จจะได้ไปทำข้าวเย็นกินและทำการบ้านต่อ วันนี้ฉันต้องรีบทำอะไรให้เสร็จเร็ว ๆ หน่อย เพราะวันนี้ฉันมีภารกิจที่ต้องตามหาพี่รหัสของฉันด้วยน่ะ
ปกติฉันจะทำกับข้าวกินเอง เพราะมันสะดวกกว่าที่จะต้องซื้อกินทุกวัน หอก็ไม่ได้ห้ามทำอาหารด้วยเลยเข้าทางฉันสุด ๆ แต่ขอกระซิบบอกเลยนะคะ กับข้าวฝีมือฉันเนี่ยอร่อยสุด ๆ ไปเลย ใครได้กินจะต้องติดใจอย่างแน่นอน ขออวยตัวเองนิดนึง
ฉันรีบทำการบ้านให้เสร็จ ใช้เวลาไม่นานมันก็เสร็จเพราะโชคดีที่วันนี้มีไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่
และเมื่อทำการบ้านเสร็จแล้ว ภารกิจต่อไปที่สำคัญของฉันก็คือการตามหาพี่รหัสนั่นเอง!
แม้ฉันจะรู้สึกตงิดใจอยู่เล็กน้อยเมื่อตอนเย็นที่พี่อีธานถามเกี่ยวกับพี่รหัสของฉัน แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเป็นเขา ถ้าเกิดไม่ใช่เขาขึ้นมาฉันจะหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเอาได้ อีกอย่างเขาก็ดูไม่ค่อยจะโหดเท่าไหร่ ถึงแม้จะชอบบังคับฉันให้ทำนู่นทำนี่ก็เถอะ แต่เรื่องความหล่อ ความรวยนี่ยกให้เลย
เอาล่ะ เริ่มจากไปส่องเพจของคณะเป็นอย่างแรก อาจจะมีร่องรอยเกี่ยวกับพี่รหัสของฉันบ้าง แต่เอ๊ะ พอได้จับโทรศัพท์มือถือฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนเย็นพี่อีธานเขาเอาโทรศัพท์มือถือของฉันไปกดเบอร์โทรเขานี่นา ขอดูหน่อยละกันว่านอกจากเอาไปกดเบอร์แล้วได้แอบเอาไปทำอะไรอีกบ้างรึเปล่า
ฉันกดดูตรงประวัติโทรออก ก็เห็นว่ามีขึ้นโชว์ว่ากดโทรออกหาเบอร์แปลก ๆ อยู่เบอร์หนึ่ง ซึ่งก็คงเป็นเบอร์เขานั่นแหละ
LINE!
และจู่ ๆ เสียงแจ้งเตือนไลน์ของฉันก็ดังขึ้น ทำเอาฉันสะดุ้งตกใจ
ETHAN : นอนยัง?
BAIMON : ใครคะ?
ETHAN : ดูรูปโปรไฟล์สิยัยบื้อ!
ฉันว่าไม่จำเป็นต้องดูหรอกค่ะ มีคนเดียวนั่นล่ะ ที่ชอบว่าชอบด่าฉันแบบนี้ หึ เขาคงเอาไลน์ฉันไปแอดไลน์ด้วยสินะ ร้ายกาจจริง ๆ
BAIMON : มีอะไรคะ?
ETHAN : ไม่มีอะไร แค่จะบอกว่านี่ไลน์ฉัน ห้ามบล็อก!
BAIMON : ค่าาา
บังคับอีกแล้ว เขาเป็นบ้าอะไรเนี่ย เสพติดการบังคับหรือไงกัน!
ฉันเลิกสนใจไลน์เขาแล้วหันมาจดจ่อกับเพจเกี่ยวกับข่าวเม้าท์ต่าง ๆ ของคณะฉันแทน จนกระทั่งไปเจอกับโพสต์หนึ่ง ซึ่งเป็นโพสต์รูปคู่ของพี่อีธานกับพี่ติณโดยใช้แคปชั่นว่า ‘สองหนุ่มบริหาร หล่อ โหด คูณสองจากแก๊ง EXTRA เห็นแล้วพี่ใจไม่ดีเลยค่า ^^’
ฉันมองจ้องโพสต์นั้นพลางคิดในใจว่าอาจจะเป็นสองคนนี้ก็ได้ แต่ฉันยังไม่เคยคุยกับพี่ติณเลย เวลาเข้าเชียร์ก็เห็นพี่แกคีพลุคโหด ๆ ตามแบบสไตล์พี่วินัยทั่วไปอ่ะ ไม่เห็นพูดหรือทำอะไรนะ ส่วนพี่อีธานนี่ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเป็นยังไง
เฮ้อ~ แล้วใครโหดกว่ากันอ่ะ
~ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย~
แต่จะว่าไปพี่พอร์ชก็อีกตัวเลือกหนึ่ง เพราะพ่อพี่แกเป็นถึงมาเฟียใหญ่ แต่เวลาเจอที่ห้องเชียร์พี่แกก็ดูไม่โหดนะ แถมยังดูใจดีมาก ๆ อีกด้วย
คิดหนักอยู่แฮะ
ฉันนั่งครุ่นคิดมาได้สักพักหนึ่งก็ตัดสินใจได้แล้วค่ะ!
ฉันตัดสินใจว่าจะไปถามทั้งสามคนแบบตรง ๆ ไปเลยดีกว่า ถ้าไม่ใช่ก็แค่หน้าแตกเอง คำใบ้ยากขนาดนี้ใครมันจะไปรู้ล่ะ
เริ่มจากพี่พอร์ชก่อนเลยก็แล้วกัน เพราะพี่เขาดูเข้าถึงง่ายที่สุดแล้วในสามคนนี้