ร่างอรชรนอนอยู่บนตั่งนอนในห้องนอนของตน ท่ามกลางสายตาที่ห่วงใยจากบิดาและมารดาที่นั่งเฝ้าอยู่ในห้อง
“หลานหลานยังไม่หายดีแต่ก็ออกไปเดินแบบนั้นจึงเป็นลมหมดสติไป เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกฮูหยิน” เจ้าเมืองฉวนบอกแก่หลี่หงภรรยาเอกของตนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นร้อนใจกับอาการเจ็บป่วยของบุตรสาว
“หมดสติหรือโดนกลั่นแกล้งกันแน่” ฉวนฮูหยินกล่าวเสียงแข็ง ตั้งแต่สามีพาหญิงงามกลับมาที่เรือน ทุกอย่างก็เลวร้ายลงไปทุกวัน
“เจ้าอคติกับซือซือมากเกินไปแล้ว ข้าเห็นเองกับตาว่าลูกเราไม่สบาย ซือซือนางมิได้แตะหลานหลานแม้แต่ปลายเล็บ” ฉวนเซ่าฉือกล่าวเสียงแข็ง
ริมฝีปากของผู้เป็นภรรยาเอกเม้มแน่น จะทำหรือไม่นางไม่สนใจ เพราะอย่างไรเสียสามีก็เข้าข้างผู้หญิงแพศยานางนั้นอยู่แล้ว
เฉินกู้เฉียงหมอที่ถูกเรียกเข้ามา เป็นญาติฝ่ายมารดาของหลี่หง ในห้องนอนของคุณหนูรองฉวน เขาจับชีพจรและตรวจดูก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติดี จึงวินิจฉัยว่าอาจเป็นเพราะร่างกายเพิ่งฟื้นตัวจึงยังคงอ่อนเพลียอยู่ และจัดยาบำรุงเอาไว้ให้
“ไม่มีอะไรมากแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน” หลังจากตรวจสอบอาการป่วยเสร็จก็จะกลับไป
“เสร็จแล้วเชิญท่านไปทางด้านนั้น ในเรือนยังมีคนป่วยอีกคน” ฉวนเซ่าฉือวางใจกับอาการของบุตรี จากนั้นก็ผายมือเชิญให้หมอวัยกลางคนเดินตามออกไปที่เรือนทางด้านหลัง
“หึ ดูเอาเถิด นี่หรือท่านเจ้าเมืองจินโจวผู้ตงฉิน แค่ให้ความยุติธรรมแก่ลูกเมียยังทำไม่ได้” หลี่หงกล่าวด้วยความเจ็บใจ
ฉวนเร่อหลานที่แกล้งหลับอยู่ได้ยินทุกอย่าง เข้าใจหัวอกของภรรยาเอกที่ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสามี แต่เจ้าเมืองฉวนไม่ได้เลวอย่างเช่นถังฮ่าวอี้ เขาแค่ถูกความงามของมู่ซือซือบังตาเท่านั้น
ที่ห้องนอนของมู่ซือซือที่บัดนี้อยู่ในสถานะแขกที่มาพักที่เรือน พอรู้ว่าฉวนเซ่าฉือพาหมอมารักษาตนก็รีบแสร้งทำเป็นว่าเจ็บป่วยจนทนไม่ไหว
“เป็นอย่างไรบ้างซือซือ” เจ้าเมืองฉวนแทบจะพุ่งเข้าไปหาด้วยความห่วงใย
“ปวดหัวไม่ไหว รู้สึกเหมือนว่าทุกอย่างรอบกายหมุนไม่หยุด อยากอาเจียนเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเบาหวิวราวกับจะขาดใจ กรีดนิ้ววางมือที่ศีรษะเพื่อแสดงให้รู้ว่าตนเจ็บปวดแทบทนไม่ไหว
“ตอนแรกเจ้าปวดท้อง ตอนนี้ลามมาปวดหัวแล้วหรือ” ฉวนเซ่าฉือถามอย่างร้อนใจ
มู่ซือซือเอามือกุมที่ท้องแล้วนิ่วหน้า แอบถลึงตามองเสี่ยวหลิงที่ไม่เตือนว่าตนปวดท้องมิใช่ปวดหัว จนสาวใช้วัยสิบหกหนาวต้องรีบก้มหน้าลงเพราะเกรงจะมีความผิด
“เช่นนั้นท่านเจ้าเมืองถอยออกไปก่อน ข้าขอตรวจชีพจรนางสักครู่” ท่านหมอได้กล่าวขึ้น แล้วเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่วางข้างตั่งนอน จับชีพจรดูแล้วพบว่าอีกฝ่ายแข็งแรงดี ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น
“อาการป่วยนี้ยากที่จะบอกว่าเกิดจากสาเหตุใด ชีพจรของนางปกติมาก แต่กลับมีอาการปวดท้องและวิงเวียนศีรษะ เป็นท่าไม่ดีแล้ว” มือของเขายกขึ้นลูบเคราที่ปลายคางอย่างครุ่นคิด
“เช่นนั้นมีทางรักษาหรือไม่” เจ้าเมืองแห่งจินโจวถามด้วยความร้อนใจ
“ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ และต้องฝังเข็มสักเล็กน้อยให้เลือดลมของนางไหลเวียน” แววตานั้นเต็มไปด้วยความหลักแหลมและล้ำลึก อาการป่วยสำออยนี้ตนเห็นมามากแล้ว และนางยังเข้ามาทำร้ายหลานสาวของตนจนตกน้ำ คงต้องสั่งสอนเสียหน่อย
“ฝะ ฝังเข็มอย่างนั้น” คราวนี้มู่ซือซือถามเสียงสั่น แสร้งป่วยจะให้กินยาและฝังเข็ม นางจะเปลืองร่างกายเกินไปแล้ว
“ใช่แล้ว นอนนิ่งๆ ลงไป ข้าจะเริ่มทำการฝังเข็มรักษาให้ รับรองว่าอาการเจ็บป่วยจะหายเป็นปลิดทิ้ง” แววตาของเฉินกู้เฉียงดูเต็มไปด้วยความจริงจังและบ่งบอกว่าเขารู้เท่าทันนาง แม้ตอนนี้อยากบอกว่าตนไม่เป็นอะไร มีหรือจะพูดได้ จึงจำใจต้องนอนนิ่งๆ ให้เขาได้รักษา
เจ้าเมืองฉวนมองดูญาติห่างๆ ของภรรยาทำการรักษาหญิงงามด้วยการฝังเข็ม เฉินกู้เฉียงค่อยๆ หมุนเข็มไปยังจุดต่างๆ เป็นการฝังเข็มเพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย แม้อยากจะสั่งสอนแต่ก็ไม่ได้จะทำร้ายใคร
ความเจ็บในจุดที่ฝังเข็มทำเอามู่ซือซือได้แต่อดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ พลางโทษว่าที่ตัวเองเป็นเช่นนี้ก็เพราะฉวนเร่อหลาน คิดหาทางเอาคืนในภายหลัง
************************
“คุณหนู จะออกไปข้างนอกอีกไม่ได้นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นนายท่านจะลงโทษบ่าวแน่” บ่าวคนสนิทรีบห้ามปราม เมื่อเห็นว่าคุณหนูของตนลุกมาแต่งตัวเตรียมจะออกไปข้างนอก
“เมื่อวานข้าแค่แกล้งเป็นลมเจ้าดูไม่ออกหรือ”
เสี่ยวชิงหันไปรอบๆ เกรงว่าจะมีคนเดินผ่านมาได้ยิน แล้วสาวเท้าเข้าไปจับมือคุณหนูของตนด้วยความเป็นกังวลแล้วกระซิบเสียงเบา
“บ่าวดูออกเจ้าค่ะ แต่อย่าพูดดังไป ไม่เช่นนั้นเรื่องใหญ่แน่”
“ข้ารู้แล้วว่าท่านพ่อรักข้าและเป็นห่วงข้า เพียงแต่ว่ามู่ซือซือนางใช้มารยาตบตาให้ท่านพ่อหลงใหลนางชั่วขณะเท่านั้น รู้แบบนี้แล้วอะไรก็น่าจะง่ายขึ้น”
“คุณหนู... คิดจะทำอะไรเจ้าคะ”
“ในเมื่อนางใช้มารยามา ข้าก็จะใช้มารยากลับไปบ้าง คราวนี้มาวัดกันว่ามารยาของใครจะเหนือกว่า” ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อย พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่อ่อนหวานแล้วหันไปยิ้มให้กับเสี่ยวชิงที่ยืนอึ้งอยู่
“เจ้าเคยบอกจะช่วยข้า”
“คุณหนูจะให้บ่าวช่วยอะไรเจ้าคะ”
“เจ้าสนิทกับอาหลิงใช่หรือไม่ สาวใช้คนนั้นของมู่ซือซือน่ะ”
“เจ้าค่ะ นางนอนข้างบ่าวในเรือนพัก เราพูดคุยกันอยู่บ่อยครั้ง เมื่อคืนนี้ก็ระบายเรื่องที่ถูกแม่นางมู่ตบตี แต่ไม่ได้เล่าโดยละเอียด เอาแต่ร้องไห้ คงลำบากใจที่ต้องรับใช้แม่นางมู่”
เล่าไปสีหน้าของเสี่ยวชิงก็บ่งบอกถึงความกังวลกับสิ่งที่เสี่ยวหลิงเล่า
“บอกนางว่าหากไม่อยากรับใช้มู่ซือซือไปตลอด มีอะไรต้องรายงานให้ข้ารู้ ทางนั้นเคลื่อนไหวอะไร เราต้องก้าวนำก่อนเสมอ เหตุการณ์เมื่อวานนี้นางต้องแค้นข้ามากแน่ๆ จึงได้ลงมือกับอาหลิงเช่นนั้น” ฉวนเร่อหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาในตอนท้าย
แม้รู้ว่าคุณหนูเปลี่ยนไปจากเดิม แต่เสี่ยวชิงก็เห็นว่าดีกว่าการอยู่เฉยให้ถูกรังแก จึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่
“เรื่องนี้บ่าวจะจัดการตามที่คุณหนูสั่ง เสี่ยวหลิงนางต้องยอมให้ความร่วมมืออย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฉวนเร่อหลานพยักหน้ารับ โดยปกติแล้วไม่มีบ่าวที่ไหนทรยศนาย แต่มู่ซือซือไม่ได้เป็นเจ้านายของเสี่ยวหลิงอย่างเป็นทางการ เพียงแค่ฉวนเซ่าฉือยกสาวใช้ในเรือนให้ไปรับใช้เท่านั้น
อีกทั้งมู่ซือซือก็รังแกสาวใช้ มีหรือว่าเสี่ยวหลิงจะกล้าปฏิเสธไม่ร่วมมือ เพราะนับตามอำนาจและสถานะในตอนนี้ ตนต่างหากที่เป็นคุณหนูตระกูลฉวน และเป็นนายของเสี่ยวหลิง เพราะอีกฝ่ายยังเป็นแค่แขกที่อาศัยในเรือนเท่านั้น
************************