บทที่ 4 ชายบำเรอ

2685 คำ
เถียนหลิงได้ยินเสียงแหบพร่าที่ฟังดูวาบหวิว เอ่ยถามความเห็นตนก็พลันกระจ่างในใจ ตอนที่ยังอยู่เมืองหลวงนั้น จำได้ว่าสวนแห่งนี้ทำหน้าที่ขั้นกลางระหว่างโรงเตี๊ยมและหอโคมแดง สมัยเป็นองค์ชายเคยได้ยินสหายร่วมเรียนเล่าว่า บางครั้งหากแขกจากหอโคมแดงอยากลองประสบการณ์แปลกใหม่ ก็มักจะมา...จะมาที่สวนแห่งนี้ในยามค่ำคืนที่ว่างเว้นซึ่งผู้คน ...และคนผู้นี้ก็คิดว่าท่านอ๋องอย่างเขา เป็นชายบำเรอที่หอโคมแดงส่งมาให้ใช้สอยใช่หรือไม่ “เจ้าซื้อข้าไม่ได้...” เถียนหลิงกล่าวบอกชายหนุ่มที่ประคองตนไว้แนบอกอย่างไม่ถือสา ที่เมื่อครู่เกิดความเข้าใจผิดจนเกิดเรื่องเลยเถิด เป็นผู้ใหญ่ต้องใจกว้าง... ผู้เป็นท่านอาของแผ่นดินจะคิดเสียว่าเมื่อครู่ตนได้รับการบำเรอ มิใช่เป็นชายบำเรออย่างที่เข้าใจผิด เพราะนอกจากสัมผัสฟ้อนเฟ้นตามเนื้อตัวจนเสร็จสมแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในตัวแต่อย่างใด อาศัยเพียงแสงจันทร์ เงยมองคนที่กกกอดตนจากมุมที่ต่ำกว่าก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ปลายคางและจมูกโด่งเป็นสันของบุรุษผู้นี้ดูดียิ่ง... หากได้มองในยามกลางวันคงจะหาใดเทียบ นับว่าเป็นยอดบุรุษอีกคนของเมืองหลวงเป็นแน่แท้ เถียนหลิงสรุปอยู่ในใจ แต่ก็ต้องชะงักทุกความคิด เมื่อถูกผู้ที่อยู่ในห้วงคำนึงรุกจูบซึ่งหน้าด้วยริมฝีปากเดียวกันกับที่ทำรอยไว้บนไหล่มน เรียวลิ้นร้อนที่กระหวัดรัดเกี่ยวทำเอาหัวหมุนไปหมด กลิ่นหอมจางๆ ที่ส่งออกมาจากตัวอีกฝ่ายยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนถูกมอมเมา สุดท้ายก็ปล่อยให้บุรุษแปลกหน้าจูบตนอยู่นานสองนาน พอได้จูบจนพึงพอใจ บุรุษผู้นั้นก็ถอยออกไปเล็กน้อยแล้วพูดชิดริมฝีปากนิ่มของเถียนหลิงว่า “ข้าซื้อได้” “ซื้อไม่ได้” เถียนหลิงแม้จะสับสนมึนงงอยู่ แต่สมองก็สั่งให้ปากพูดไปตามความจริง ด้วยตัวเขาเป็นถึงท่านอ๋อง ยิ่งเป็นญาติผู้ใหญ่พระปิตุลาของฮ่องเต้แล้วด้วย ใครคิดอยากจะซื้อก็ซื้อได้อย่างไร “…ว่างใจเถอะ ข้าบอกว่าซื้อได้ก็คือซื้อได้” ชายหนุ่มพูดอย่างสบายอารมณ์ บีบกระชับมือเล็กที่กอบกุมไว้ให้วางใจ อย่าได้ห่วงว่าจะมีเงินไม่มากพอมาไถ่ตัว หารู้ไม่ว่าต่อให้เอาทองทั้งแผ่นดินมาประเคนถมวังจนสูงสิบจั้ง[1]ฮ่องเต้หนุ่มก็ไม่มีทางยกท่านอาผู้นี้ให้ใครหน้าไหนไปได้ง่ายๆ หรอก!! ส่วนเถียนหลิงนั้นเริ่มอยากร้องไห้ออกมาอีกรอบ เพราะคล้ายว่าตนจะสนทนากับตัวโง่งมที่หล่อเหลาผู้นี้ไม่ได้ความ ตัวข้าผู้เป็นอ๋อง คล้ายชายบำเรอขนาดนั้นเลยหรือ... “ข้าจะพาเจ้ากลับไปก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยให้คนมาเจรจาเรื่องค่าไถ่ตัว” นิ้วเรียวยาวบีบจมูกรั้นของเถียนหลิงเบาๆ ก่อนจะอุ้มคนทั้งคนมุ่งไปทางท่าน้ำที่มีเรือลำเล็กจอดเทียบท่ารออยู่เงียบๆ พร้อมกับคนพายผู้หนึ่ง “ดะ...เดี๋ยว! ไม่ได้ๆ” เถียนหลิงดิ้นรนออกจากการโอบอุ้มของอีกฝ่าย แต่สองมือนี้กลับมั่นคงยิ่ง เหมือนดั่งตนเอากำปั้นไปทุบกับผืนดิน ในเมื่อดินไม่รู้จักเจ็บ กำปั้นที่ออกแรงไปจึงเรียกว่าสูญเปล่า แต่นึกอยากจะหิ้วก็หิ้วไปเลยได้อย่างไรเล่า!! อย่างน้อยๆ ก็ควรถามความเห็นเขาก่อนมิใช่หรือ “หรือเจ้าอยากกลับเข้าไปข้างใน” บุรุษแปลกหน้าหยุดฝีเท้าลง พลางเลิกคิ้วขึ้นถามเหมือนรู้ความในใจของเถียนหลิงได้ ข้างใน ที่ว่านั้นคล้ายจะหมายถึง การกลับเข้าไปเพื่อบริการแขกในหอโคมแดงต่อ หากแต่ถ้อยคำนี้กลับทำให้เถียนหลิงนึกถึงเหตุการณ์ในโรงเตี๊ยมที่หลีกวนถงกระทำอุกอาจน่าละอายกับตน เดิมทีคิดจะพูดคุยให้รู้เรื่องแต่เกรงว่าคงทำไม่ได้แล้วกระมัง “ข้าไม่อยากกลับเข้าไปข้างใน...” เสียงที่สั่นราวคนสะเทือนใจทำให้คนฟังพยักหน้าตกลง จัดการอุ้มเถียนหลิงลงเรือลำน้อยด้วยความว่องไว สะกิดฝีเท้าเพียงแผ่วเบาก็ขึ้นมายืนบนเรือได้ในพริบตา อีกทั้งเรือที่ควรจะโคลงกลับไม่โคลงอย่างที่คิด บ่งบอกว่าคนผู้นี้มีวรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย “ปล่อยให้ข้านั่งของข้าได้หรือไม่” เถียนหลิงกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายบอกความต้องการของตน แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าเพียงเล็กน้อย เสร็จแล้วคนผู้นั้นก็หันไปพยักหน้าให้คนพายเพื่อเป็นสัญญาณให้ออกเรือได้ แต่กระนั้นเมื่อชายหนุ่มเห็นว่าเจ้าตัวนุ่มนิ่มในอ้อมแขนนี้ทำท่าไม่พึงพอใจก็ไม่ได้เมินเฉย หันมาอธิบายเหตุผลให้ฟังอย่างใจเย็น “ยามนี้ดึกมากแล้ว เจ้าใส่เสื้อผ้ามิใคร่จะเรียบร้อย ลมจากวสันต์ฤดูแม้ไม่แรงเท่าฤดูอื่นแต่มิอาจดูเบาได้เช่นกัน หากไม่ทำตัวให้อุ่นเข้าไว้ เกิดไม่สบายขึ้นมาก็เป็นเจ้าเองที่ลำบาก ทีนี้เข้าใจข้ารึยัง” เถียนหลิงได้ฟังแล้วก็นิ่งไปราวใช้ความคิด ก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงัก เพราะเมื่อได้มองให้เต็มตาแล้วนั้น ก็พบว่าตนแต่งตัวไม่เรียบร้อยอยู่จริงๆ จึงไม่คิดจะโต้แย้งอันใดอีก ความเปิดเปลือยของเนื้อกายที่โผล่ออกมาให้เห็น ตอนนี้แม้อยากจะเขินอายก็เกรงว่าจะไม่ทันการณ์แล้วกระมัง ดังนั้นทางที่ดีคือสงบปากสงบคำ แล้วทำตัวสุขุมเยือกเย็นให้สมกับเป็นญาติผู้ใหญ่ของเสี่ยวหลงเปาจะดีกว่า ผู้หลานจะได้ไม่อับอายขายขี้หน้าใครที่มีเขาเป็นอาไปมากกว่านี้ ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่เป็นทั้งอ๋องทั้งพระปิตุลาของฮ่องเต้จึงยอมนั่งซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดบุรุษแปลกหน้าไปเงียบๆ เหมือนลูกเจี๊ยบที่ถูกแม่ไก่กกไว้ก็ไม่ปาน เถียนหลิงเปลี่ยนความสนใจของตนไปไว้ที่ทิวทัศน์รอบข้างแทนกลิ่นหอมที่ส่งออกมาจากกายอีกฝ่าย เพราะกลิ่นหอมเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก... ในช่วงเทศกาลชีซี หนุ่มสาวส่วนใหญ่มักจะมาลอยโคมกระดาษในธารสายนี้ เพื่อขอพรเรื่องความรัก ดวงตาใสกระจ่างของเถียนหลิงมองโคมรูปทรงต่างๆ ล่องลอยผ่านหน้าไปอันแล้วอันเล่า แสงสีเหลืองนวลจากโคมไฟ สะท้อนเข้ากับนัยน์ตาคู่งามเกิดเป็นประกายวูบวาบ ชวนให้คนที่แอบมองอยู่ลุ่มหลงอย่างไม่รู้ตัว กระแสตื่นเต้นเล็กๆ ที่เจ้าตัวปกปิดไว้ด้วยการนิ่งมองอย่างสงบเพื่อไม่ให้เสียกิริยานั้น ดูไปก็คล้ายกับบุตรหลานจากตระกูลใหญ่ที่บิดามารดาพามาเที่ยวงานเทศกาลเป็นครั้งแรก เห็นแล้วพลอยทำให้นึกเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง คนพายที่บังเอิญไปเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เป็นนายที่หลุดออกมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยามเมื่อทอดสายตามองชายบำเรอผู้นั้น ก็พลันตกตะลึงไปชั่วขณะ หากจะให้อธิบายความรู้สึกของเขายามนี้ ก็คงจะเหมือนเห็นเรื่องผิดธรรมชาติ อย่างดวงจันทร์ตกทางทิศตะวันออก ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันตก ผีหลอกแล้ว... ผีหลอกแล้วจริงๆ ขณะที่ตื่นตาตื่นใจกับเหล่าโคมไฟนับร้อยพัน เถียนหลิงไม่ได้นึกเลยว่าการหายตัวไปแบบไม่บอกกล่าวก่อนของตนคืนนี้ จะสลักสำคัญขนาดที่ทำให้นายของแผ่นดิน เกิดอาการกระสับกระส่ายคล้ายคนวิกลจริต จะนั่งก็นั่งไม่ติดได้แต่เดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจ กระทั่งความอดทนต่อเรื่องท่านอาผู้นี้สิ้นสุดลง จึงถ่ายทอดคำสั่งลงไปยังขุนพลเบื้องล่าง ให้ทหารลับจิ่นอีเว่ย[2]ออกตามหาตัวพระปิตุลาจนทั่วเมืองหลวง! ทางฟากหลีกวนถงที่เดินตามเถียนหลิงมานั้น หางตาเห็นชายเสื้อสีขาวเดินตัดเข้าไปในสวนด้านข้างจึงเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อนนัก จะอย่างไรเสียก็มิอาจหนีตนพ้น ทว่าในเวลาต่อมา กลุ่มเมฆก้อนใหญ่พลันเคลื่อนคล้อยตามกระแสลม เข้าบดบังดวงจันทราที่เคยแจ่มแจ้ง กระทั่งความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งสวน หลังไวๆ ที่เห็นอยู่เมื่อครู่ก็หายไปจากครรลองสายตาราวภูติพรายมาบดบัง หลังจากปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้แล้ว หลีกวนถงก็สอดส่องหาผู้เป็นภรรยาคนแรกของตนต่อ แม้จะมองไม่ชัดนักแต่ก็พอคลำทางไปได้ เดินหาอยู่ไม่นานก็เจอร่างบอบบางในชุดขาวยืนหันหลังให้คล้ายรอตนอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ จะอย่างไรหลิงเอ๋อร์ผู้นี้ก็ไม่มีทางตัดใจจากเขาไปได้หรอก “...ข้าขอโทษ ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้ารอมาเนิ่นนาน” หลีกวนถงเอ่ยคำขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงเสียใจเป็นอย่างยิ่ง พลางก้าวย่างไปหาคนที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา คงจะโกรธเขามากกระมัง ก็สมควรอยู่หรอกที่จะนึกชัง เขาเองก็ใช่จะไม่เสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ถึงอย่างไรบุรุษก็มีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ ยิ่งคนที่ตำแหน่งทางการเมืองไม่มั่นคงเช่นเขา ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีภรรยาเพียงคนเดียว นึกถึงเมื่อครั้งที่ตนเป็นเพียงจ้งจี่ว์[3]กระจอกๆ เดินทางมาเมืองหลวงเพื่อสอบฮุ่ยซื่อ[4]เพียงลำพัง ยามนั้นมีแต่คนดูถูกเหยียดหยาม เจอครั้งสองครั้งยังพอว่า หากแต่การถูกกระทำเช่นนั้นใส่ทุกเมื่อเชื่อวันเข้า ต่อให้เป็นพุทธองค์ยังต้องระคายเคืองบ้างล่ะ นับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาเช่นเขา ภายนอกทำเป็นไม่หวั่นไหวกับถ้อยคำคน แต่ในใจเจ็บแค้นจนแทบกระอักเลือด หากไม่เป็นเพราะไปต้องตาคุณหนูตระกูลใหญ่เข้าจะมีวันนี้ได้หรือ? คนเรานั้นจะอาศัยเพียงความสามารถอย่างเดียวได้อย่างไร หากไม่มีอำนาจและทรัพย์สินคอยกรุ่ยทางไว้ให้ จะอย่างไรก็ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ คนที่พยายามกระเสือกกระสนเข้ามาสอบแบบตัวเปล่าไม่ใช่จะไม่มี แต่จำพวกนั้นกระทั่งตัวตายยังไม่ได้เป็นแม้แต่ทั่นฮวา[5]ก็มีให้เห็นถมไป เขาในวัยเยาว์ก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทำตัวเป็นสุกรสมองนิ่มคิดอะไรตื้นเขินเช่นนั้น แต่บัดนี้เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน หลีกวนถง ผู้ที่อยู่บนยอดเขาคนนั้น ...อาจจะตายไป นับตั้งแต่เขาเลือกเดินเข้าเส้นทางสายนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นจอหงวนจึงไม่ถือสาที่ถูกภรรยาหมางเมิน เมื่อเดินเข้ามาใกล้ในระยะเพียงเอื้อมมือถึงก็ฉุดร่างนุ่มนิ่มนั่นมากอดไว้อย่างแสนรักเหมือนเช่นวันวาน ยามที่ทอดทิ้งมามิได้เจอหน้า คนเรานั้นย่อมตัดสัมพันธ์กันได้ง่ายดาย ทั้งตอนนั้นเขายังมีไป๋ลั่วหลินที่เป็นสตรีดีพร้อมคอยอยู่เคียงข้าง หลีกวนถงย่อมไม่รู้สึกอะไรนักกับการทอดทิ้งภรรย***านนอกของตน แต่เมื่อได้กอดแล้วจึงตระหนักได้ว่า หากถึงคราวที่ต้องปล่อยมือแล้วจริงๆ ตนกลับมิอาจทำได้ ช่วงเวลาที่เป็นสามีภรรยาอยู่บนเขาด้วยกันนั้น แม้จะเป็นเวลาเพียงสามเดือนเศษแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของชายหนุ่ม ดังนั้นเพื่อเรียกช่วงเหล่านั้นกลับมาเขาจึงไม่รีรออีก จึงป้อนจูบเร่าร้อนให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจ ก่อนจะปลดเปลื้องพันธนาการทั้งมวลออกจากกายของกันและกัน สองมือตะปบบดคลึงไปทั่วร่างจนได้ยินเสียงครางหวานใสที่ไม่ได้ยินมานานหลุดออกมาเร้าอารมณ์เป็นครั้งคราว เมื่อถึงจุดที่เกินจะอดกลั้นก็จับร่างนั้นลงไปนอนบนกองอาภรณ์ที่ตนถอดทิ้งไว้ ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงรักรัญจวนใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อที่จะฉกฉวยทุกอย่างบนร่างเนื้อนี้ให้กลับมาเป็นของตนอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงทุ่มสุดตัวเพื่อเอาใจคนรักที่แง่งอน กว่าจะเสร็จสมก็กินเวลาไปมากโข ลืมไปแล้วว่าตนนั้นมีคู่หมั้นที่พามาด้วย “ท่านช่างรุนแรงยิ่ง...คิกคิก แต่ข้าก็ชอบนัก” หลังจากเสร็จสมก็มีเวลาให้พักหายใจหายคอขึ้นมาบ้าง ชายบำเรอนาม หงจิ๋วหมิง จึงมีโอกาสได้เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรก เขานั้นถูกซื้อตัวให้มารอบริการนายท่านที่ประสงค์ออกมาเปลี่ยนบรรยากาศนอกห้องหอ ยังมิทันได้ตกลงเจรจาสิ่งใดก็ถูกจับรวบรัดตัดตอนเสียแล้ว เมื่อไฟราคะถูกจุดขึ้นแล้วยังจะพูดอันใดได้อีกนอกจากปล่อยเลยตามเลย กว่าจะได้พูดก็หลังจากที่นายท่านผู้นี้อิ่มหนำแล้ว หลีกวนถงได้ฟังแล้วคล้ายถูกทุบตีจนมึนงง เสียงพูดของคนที่นอนสิ้นแรงอยู่บนอก หาใช่เถียนหลิงภรรยาบนเขาของตนไม่ ต่อให้เสียงเปลี่ยนไป แต่เขาก็มั่นใจได้ว่าหลิงเอ๋อร์ไม่มีทางพูดจาคล้ายคนไร้ยางอายเช่นนี้แน่! ในขณะที่เบื้อใบ้อยู่ กลุ่มเมฆที่บดบังแสงสว่างไว้ก็ได้เคลื่อนตัวจากไป เมื่อจันทร์กระจ่างฉายชัด ชายหนุ่มจึงได้เห็นใบหน้าคราตาของคนที่ตนพึ่งจะสุขสมด้วยแบบเต็มตา อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด นี่ไม่ใช่หลิงเอ๋อร์ของเขา... แม้รูปร่างจะใกล้เคียงกัน ใบหน้าก็เรียกได้ว่าหมดจดน่ามอง แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจเทียบกับอีกคนหนึ่งไปได้ หลีกวนถงพลันรู้สึกประดักประเดิดขึ้นมา พยุงกายของตนขึ้นแล้วเก็บเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายขึ้นมาสวมใส่เงียบๆ ไม่รู้จะเอ่ยวาจาใดออกไปดีจึงจะเหมาะสม ด้วยเพราะชายหนุ่มมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นาน เลยไม่ทราบถึงกิจกรรมแปลกประหลาดในสวนแห่งนี้ ตอนนี้จึงรู้สึกคล้ายตนกำลังข่มเหงรังแกชาวบ้านอยู่ หากเขาเป็นคุณชายปกติคงจะไม่เป็นไร แต่ยามนี้ตนพึ่งจะก้าวขึ้นมามีหน้ามีตา หากถูกฟ้องร้องย่อมไม่ดีต่อหน้าที่การงานเป็นแน่ “ขอบคุณ ข้าต้องไปแล้ว” ทางที่ดีรีบไปก่อนจะมีผู้ใดมาพบเห็นจะดีกว่า “เดี๋ยวสินายท่าน... จิ๋วหมิงยังอยากให้นายท่าน รัก กับจิ๋วหมิงมากกว่านี้อีกหน่อยแท้ๆ “ เสียงออดอ้อนที่ใช้เรียกลูกค้ามานักต่อนักดังขึ้นอย่างยั่วยวน ท่าทางที่เต็มไปด้วยจริตจะก้านและชั้นเชิง ดูร้อนรักเป็นอย่างยิ่ง หากแท้จริงแล้ว หงจิ๋วหมิงแทบจะเค้นฝีมือทุกหยาดหยดของตนออกมา เมื่อนายท่านที่แสนจะหล่อเหลาแถมยังเอาใจเก่งผู้นี้ทำท่าจะจากไป คนผู้นี้ดีกว่าตาแก่หงำเหงือกที่อยู่ในหอเป็นไหนๆ จะอย่างไรก็ต้องทำให้อีกฝ่ายติดอกติดใจตนให้ได้ ร่างเปลือยเปล่าจึงเดินเข้าไปซบไซร้อกแกร่งทันที “ข้าหนาว...” กิริยาออดอ้อนเช่นนี้ ชายใดเล่าจะทนได้ จอหงวนหนุ่มก็เช่นกัน หลีกวนถงหายใจแรงหลับตาลง ก่อนจะรวบกอดร่างเล็กแล้วปล่อยให้ความต้องการของตนครอบงำทุกการกระทำ ----------------------------------------------------------------------------------------------- [1] 1 จั้ง ประมาณ 3.3 เมตร [2] จิ่นอีเว่ย (***) องครักษ์เสื้อแพร มักใช้ในราชการลับ โดยขึ้นตรงกับฮ่องเต้ [3] จ้งจี่ว์ บัณฑิตระดับภาค [4] สอบฮุ่ยซื่อ การสอบระดับประเทศ [5] ทั่นฮวา ผู้ที่สอบได้อันดับสาม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม