ในห้องโถงโอ่โถงประดับด้วยม่านสีหม่น กลิ่นธูปยังไม่จางหายจากการสวดส่งวิญญาณลู่ชิงชิง
เสียงแจกันกระเบื้องกระทบพื้นดัง ขณะที่ไป๋เยี่ย ระเบิดอารมณ์ด้วยฝ่ามือกระแทกโต๊ะไม้ล้มลงจนแจกันแตกเป็นเสี่ยง
“ใครมันบังอาจ ใครมันกล้าสังหารภรรยาข้าในจวน ขโมยหลานสาวข้าไปต่อหน้า”
ดวงตาของเขาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทาด้วยโทสะ ทั้งความเศร้า ความเสียหน้า ความตายภรรยานั้นไม่ได้เสียใจไปมากกว่าการหายตัวไปของหลานสาว ความคลั่งไคล้ที่มีต่อไป๋ซืออวี่หลอมรวมกันอย่างบิดเบี้ยว
ข้างกายมีทหารยามวัยหนุ่มคุกเข่ารายงานเสียงหนักแน่น
“จากร่องรอยในห้อง สันนิษฐานได้ว่านางถูกลอบวางยากำหนัด เหมือนว่าคุณชายลู่จะเข้ามาช่วยแต่ถูกสังหาร นายหญิงกับบ่าวข้างกายเองก็คงจะเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกสังหารตามไปเช่นกัน และชายที่น่าจะเป็นคนร้าย สวมชุดองครักษ์ของจวนนายอำเภอจาง ตอนนี้เรายังตามตัวไม่พบ”
“สารเลว!” ไป๋เยี่ยตวาดลั่น ตบโต๊ะอีกครั้งจนบ่าวไพร่รอบข้างสะดุ้งเฮือก
เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ดวงตากวาดไปทั่วทั้งห้อง ก่อนชี้นิ้วกร้าวไปยังหัวหน้าหน่วยทหารยาม
“ข้าต้องการตัวไป๋ซืออวี่กลับมา ไม่ว่าตายหรือเป็น และชายที่พานางหนีไปข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ”
ทุกคนในห้องหมอบต่ำจนหน้าผากแนบพื้น ไม่กล้าหายใจแรง ท่ามกลางอำนาจที่ปกคลุมอยู่ทั่วห้อง
ค่ำวันนั้น ห้องบูชาบรรพบุรุษสกุลไป๋ ไฟสลัวในห้องบูชาสะท้อนเงาใบหน้าของไป๋เยี่ยในกระจกทองเหลือง
เขายืนเงียบอยู่นาน มองรูปวาดของภรรยา แต่สายตากลับเหม่อไปยังภาพวาดของสตรีอีกคนที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง จางมู่ฟางมารดาของไป๋ซืออวี่
ใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะ ความทรงจำที่เขายังไม่เคยลืม ความรักที่แปรเปลี่ยนเป็นความคลั่งไคล้
“เจ้าหนีข้าไปปรโลกแล้ว เจ้ายังจะให้ลูกสาวเจ้าหนีข้าไปอีกคนหรือ” เสียงแผ่วเบา แฝงความใคร่กระหายในทุกถ้อยคำ
ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปที่ภาพวาดนั้น เอาใบหน้าแนบกับกระดาษแล้วสูดกลิ่นราวกับว่ากำลังดมกลิ่นกายสตรีข้างในภาพแล้วยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหยาบโลนทางความคิด
************************
กลางดึกในหุบเขาทางตะวันตก ร่างของสวี่จื่อเฟิงโอบประคองไป๋ซืออวี่ที่ยังอ่อนแรงและความหวาดหวั่นเอาไว้แน่น
สองวันแล้วที่เขาพานางหลบหนีเข้ามายังป่าแห่งนี้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดพักได้ เพราะต้องคอยย้อนกลับไปกลบร่องรอยฝีเท้าอยู่บ่อยครั้ง แล้วพานางหนีอย่างยากลำบากเพราะไป๋ซืออวี่คิดจะหนีจากเขาอยู่ตลอดเวลา
“อีกนิดเดียว ทนอีกนิด” จื่อเฟิงกระซิบแผ่วที่ข้างหูนาง ดวงตาเข้มคมกวาดมองทางเบื้องหน้าอย่างระวัง พานางตัดเข้าทางลับที่เขาเคยสำรวจไว้ก่อนหน้านี้ สู่เส้นทางบนภูเขาที่ทอดลึกเข้าไปในหุบเขา ใช้เวลาเดินเท้าหลายชั่วยาม กว่าจะถึงกระท่อมไม้ที่เขาเคยพักรักษาตัวยามที่บาดเจ็บจนกลับไปที่เรือนไม้ของหลี่ฉางเฟยไม่ไหว และเป็นสถานที่ลับที่เขารู้เพียงผู้เดียว
ไป๋ซืออวี่มองเขาด้วยแววตาสับสน นางยังคงกลัวเขา กลัวความเหี้ยมโหดในดวงตานั้น กลัวมือที่ฆ่าคนได้โดยไม่ลังเล แต่นางก็รู้ดีเช่นกันว่าหากไม่มีเขา ป่านนี้นางคงถูกลู่หานและป้าสะใภ้จัดฉากไปแล้ว
“ข้าควรเกลียดเจ้า” นางเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าคงอยากถาม ว่าข้าพาเจ้ามาทำไม”
“...” ไป๋ซืออวี่ไม่ตอบ
“เพราะไม่มีที่ใดปลอดภัยสำหรับเจ้าอีกแล้ว ข้าไม่อาจวางใจให้ใครดูแลเจ้าได้นอกจากตัวข้าเอง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด แต่สำหรับนางก็ยังน่ากลัวกว่าอยู่ดี
“แล้วข้าจะวางใจเจ้าได้อย่างไร” นางส่ายหน้า น้ำตาไหลอย่างเงียบๆ ไหล่เล็กสั่นเทาเล็กน้อยด้วยความกังวล
“เจ้าไม่ต้องเชื่อคำพูดข้า แต่จงดูจากสิ่งที่ข้าทำ... ต่อให้โลกทั้งใบเกลียดข้า แต่ข้าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องแม้แต่ปลายผมของเจ้าอีก” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงแผ่ว
ดวงตาของเขาสั่นไหว เป็นครั้งแรกที่ในแววตานั้นมีทั้งความเจ็บปวดและหวาดกลัว ไม่ใช่ความกลัวจากศัตรู แต่เป็นความกลัวว่านางจะจากเขาไป
“ในป่านี้ ไม่มีใครตามเราเจอ ข้าจะหาอาหาร น้ำ และสมุนไพรให้เจ้าทุกวัน เจ้าไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่กับข้าก็พอ” เขากล่าวแล้วพยายามจะยิ้มให้นาง ทว่ารอยยิ้มนั้นทำให้นางยิ่งหวาดกลัว เขาจึงต้องหุบยิ้มลงไป
ไป๋ซืออวี่หลุบตาลง มือของนางยังสั่น แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง กลับมีเพียงคำพูดแผ่วเบา
“ตกลง แต่เจ้าต้องสัญญาจะไม่ข่มเหงข้าโดยไม่เต็มใจ”
“ข้าสัญญา” สวี่จื่อเฟิงนิ่งไป ก่อนพยักหน้าช้าๆ
ภายใต้หลังคาหญ้าแพรก ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องลงมาทางหน้าต่าง เขาให้นางพักอยู่ในกระท่อมคับแคบนั้น แล้วออกไปนอนเฝ้าหน้าประตู แม้จะเหน็บหนาวกาย แต่เมื่อนางอยู่ใกล้หัวใจเขากลับรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
************************
เช้าวันแรกในป่า หมอกขาวคลี่คลุมไหล่เขา ภายในกระท่อม ไป๋ซืออวี่นั่งกอดเข่าอยู่มุมหนึ่ง ใบหน้านางซีดเซียวและไม่ยอมสบตาเขาเลยสักครั้ง
สวี่จื่อเฟิงหันกลับมาอย่างช้าๆ เขาไม่พูดอะไร เพียงเดินเข้าไปวางถ้วยน้ำอุ่นและผลไม้ที่เก็บได้วางไว้ตรงหน้าของนาง ก่อนจะนั่งลงห่างออกไป สายตาคมกริบกวาดมองปลายนิ้วมือตนเองอย่างเลื่อนลอย
“ข้าทำลายทุกอย่าง” เสียงของเขาเบา ราบเรียบแต่เต็มไปด้วยแรงอัดอั้น
“ทั้งภารกิจ ทั้งตัวตนของข้า ข้าไม่ควรลังเล แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าทนเห็นเจ้าถูกทำร้ายไม่ได้” เขากำมือแน่น ไป๋ซืออวี่ไม่พูดอะไร นางเพียงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเบือนหน้าหนี มือของนางยังคงสั่นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงภาพเลือดที่เปื้อนมือเขาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา
“เจ้ากลัวข้าใช่หรือไม่” เขาถามตรงๆ
“เจ้าข่มเหงข้าแม้จะเพราะฤทธิ์ยานั่น แล้วฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ข้าจะไม่กลัวได้อย่างไร” นางตอบเสียงสั่น
ดวงตาของสวี่จื่อเฟิงหม่นลง
“ข้าถูกเลี้ยงมาเพื่อฆ่า ถูกฝึกมาให้ไร้หัวใจ ไม่รู้จักคำว่ารักหรือเมตตา” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ
“จนกระทั่งได้พบเจ้า ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าข้าอยากมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคน”
ไป๋ซืออวี่กำเสื้อคลุมแน่น หัวใจเต้นระรัว กลัวว่าเขาจะทำร้ายนางหากไม่ยินยอมมอบหัวใจให้
“แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่เจ้าเป็น” นางพูดเสียงแผ่ว
เขานิ่งไป มองมือของตนเองแล้วพูดเบาๆ
“ไม่... มันเปลี่ยน อย่างน้อยข้าก็ไม่อยากให้มือคู่นี้เปื้อนเลือดต่อหน้าเจ้าอีก”
ความเงียบทอดผ่านระหว่างทั้งสอง มีเพียงเสียงนกร้องไกลๆ จากยอดไม้
ไป๋ซืออวี่ลอบมองเขาอีกครั้ง ในความเงียบสงบดวงตาคมกริบของเขาอ่อนลงเพียงเล็กน้อย ความเย็นชาเริ่มละลาย แต่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและรอยแผลในใจของเขาที่แม้แต่นางเองก็ยังดูออกว่านักฆ่าผู้นี้ผ่านอดีตที่เจ็บปวดมามาก
************************