ฟางซินหันมองสองนายบ่าวแล้วกล่าวว่า “เจ้าเข้าได้แต่สาวใช้ซือโถวต้องรอด้านนอก ห้องตรวจสินค้าก่อนนำวางขายข้าต้องตรวจราคาตามบัญชีก่อนหากสิ่งใดหายไปผู้ที่อยู่ด้านในจะต้องรับผิดชอบ”
“ได้ๆ” หันไปหาสาวใช้ “รอข้าด้านนอก” รีบเดินตามเข้าไปด้านในห้องจนประตูปิดลงซือโถวจึงเดินไปนั่งตรงข้ามกับห้องนั้น มีบ่าวชายยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องสองคน
---+++++---++++---------+
หีบสินค้าใบแรกถูกฟางซินสั่งให้เถ้าแก่เปิดออก ด้านในมีสร้อยคอทองคำ มุก พลอยหลากหลายสี พร้อมใบรายการของสินค้าถูกส่งเข้ามือของฟางซิน ไป่เยว่ชิงลอบมองด้วยสายตาแวววาว ความอยากได้ฉายชัดออกมาบนใบหน้าจนน่าเกลียด
“งดงามยิ่งนัก ข้ามิเคยเห็นมุกงามขนาดนี้มาก่อน” เยว่ชิงชี้ไปที่มุกเม็ดใหญ่สีชมพูขนาดเท่ากำมือเด็กทารก
“นี่เป็นมุกจากแม่น้ำที่ลึกที่สุดทางตอนใต้แต่ถูกย้อมมาหลากหลายวิธีแล้วหาใช่สิ่งของราคาแพง” ฟางซินโป้ปด อันที่จริงมุกเม็ดนี้มิใช่ของหาง่ายและมิได้ถูกย้อมมาแถมราคาที่นางตั้งขายสูงถึงเจ็ดร้อยตำลึงทองเกือบครึ่งของราคาสินค้าในหนึ่งหีบด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นรึ…แต่สวยงามมากข้าขอจับได้หรือไม่” เงยหน้ามองสหาย
“มิได้หรอก..ประเดี๋ยวจะเป็นรอย” หันมองเถ้าแก่ “เอาไปใส่กล่องด้วย” เถ้าแก่ใช้ผ้าขาวรองมือแล้วจับไข่มุกเม็ดนั้นไป “เดี๋ยวข้าจะหาพลอยสีเหลืองสว่างราคาสูงให้เจ้าดีหรือไม่?” หันหน้ามาแสร้งยิ้มทำท่าโง่งม “ของที่มิเคยมีผู้ใดในเมืองหลวงได้จับต้อง”
“ดียิ่งนัก…ขอบใจเจ้ามากสหาย ขอบใจมาก” ไป่เยว่ชิงยิ้มตื่นเต้น จนเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเค่อฟางซินจึงยื่นพลอยสีเหลืองเม็ดใหญ่ครึ่งฝ่ามือให้นางแล้วกล่าวว่า
“นี่เป็นพลอยจากหินในหุบเขาxxx หายากที่สุดในหลายแคว้นราคาเท่ากับครึ่งหนึ่งของสินค้าที่ข้าได้มาทั้งสามหีบนี้เลยล่ะ” ฟางซินเห็นดวงตาสหายสั่นไหวตื่นเต้น “ข้ายินดียกให้เจ้า”
“ขอบใจเจ้ามาก ขอบใจ” รีบจับพลอยขึ้นมาดูชม “สวยงามจริงๆ ข้าจะนำไปทำเครื่องประดับดีหรือไม่?”
“ดีสิ..เจ้าจะสั่งทำที่ร้านของข้าเลยก็ได้ข้าไม่คิดราคาทั้งค่าพลอยทั้งค่าจ้างทุกอย่าง” ยิ้มหวาน
“ตกลงๆ ข้าทำที่ร้านเจ้า” จับมือตู้ฟางซินเขย่าขึ้นลงอย่างดีใจ
“จินเมี่ยว…ส่งนางไปหาลุงมุ่ย”
“เจ้าค่ะ” จินเมี่ยวยิ้มและจัดการตามที่คุณหนูสั่งทันที ลุงมุ่ยคือคนทำเครื่องประดับในร้านของนางมีฝีมือระดับปานกลางไม่ได้แย่เพียงแต่ความละเอียดในการแกะงานไม่ดีเท่าช่างในวัยหนุ่ม จินเมี่ยวรู้ดีว่าต้องทำยังไงต่อ
คล้อยหลังคุณหนูไป่ เถ้าแก่ก็กล่าวขึ้นมาว่า “พลอยเม็ดนั้นในเมืองหลวงราคาเท่ากับรถม้าเพียงหนึ่งคันแถมมิมีผู้ใดนำมาทำเครื่องประดับ คุณหนูยกให้นางไปมิคิดว่าวันข้างหน้านางจะโกรธเคืองคุณหนูหรือขอรับ”
“ช่างนางเถิด สตรีเห็นแก่ตัวข้ามินับว่าเป็นสหายที่ดีได้ หากวันหน้านางรับรู้ว่าสิ่งที่ข้ามอบให้นั้นราคาถูกแสนถูกแล้วมาโกรธเคืองข้า ข้าก็มิใส่ใจ” ก้มหน้าลงราคาสินค้าและพูดต่อ “หากวันใดที่นางมาดูของที่ร้านโดยมิมีข้ามาด้วยหวังว่าเถ้าแก่คงรู้นะว่าต้องทำอย่างไร”
“ขอรับ” เถ้าแก่รับคำ ‘เพิ่มราคาสินค้าสินะ’
ผ่านไปครึ่งชั่วยามทุกอย่างในห้องจัดการราคาสินค้าก็แล้วเสร็จตู้ฟางซินเดินออกมาจากห้องตามหลังมาด้วยเถ้าแก่
“ปิดกุญแจและเฝ้าห้องนี้ไว้อย่างดีที่สุดพรุ่งนี้ก็ทะยอยนำสินค้าออกมาวางขายทีละยี่สิบชิ้นรอสินค้ากลุ่มใหม่เข้ามาค่อยขายชุดเดิมออกจนหมด” ยื่นมือไปหาเถ้าแก่ที่ส่งกล่องไข่มุกสีชมพูที่มีเพียงม็ดเดียว “ข้าจะเอาสิ่งนี้ไปให้แม่ใหญ่” ซุกไว้ในแขนเสื้อแล้วเดินนำทุกคนออกมาด้านนอกที่เป็นร้านค้าเครื่องประดับทั่วไป
“คุณหนูเจ้าคะ” จินเมี่ยวเดินปรี่เจ้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม
“มีสิ่งใด?”
“คุณหนูไป่ให้ลุงมุ่ยทำพลอยเป็นเครื่องประดับติดบนผมเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว” ฟางซินยิ้มแล้วเดินไปหาไป่เยว่ชิงที่นั่งจิบชา “เยว่ชิง หากเจ้าจะกลับจวนก่อนข้าก็เชิญกลับได้เลยข้าต้องไปดูร้านอื่นอีกเดี๋ยวเจ้าจะเบื่อ หากมีสิ่งของใดมาใหม่ข้าย่อมเก็บไว้ให้เจ้า..ดีหรือไม่” ทำหน้าตาประจบประแจง
“ดีๆ อย่าลืมนะแล้วข้าจะช่วยเจ้าเรื่องหาคู่ครองที่ดีเอง” ไปเยว่ชิงยิ้มอ่อน
“ขอบใจเจ้ายิ่งนัก” ทั้งคู่เดินไปหน้าร้านพูดคุยเรื่องสัพเพเหระจนไป่เยว่ชิงขึ้นรถม้าไป
“คุณหนูจะทนนางไปถึงเมื่อใดเจ้าคะ”
. “นั่นสิ..ข้าจะทนสตรีเช่นนี้ได้นานเท่าใดกัน” มองจนรถม้าลับไปจากสายตา “ไปร้านผ้าเถอะ…ผ้าไหมคราวก่อนเหลืออีกกี่พับกันนะ” นางกล่าวออกมาแต่มิได้อยากรู้คำตอบ
“เจ้าค่ะ” สองนายบ่าวเดินไปตรวจร้านค้าที่เป็นของสกุลตู้เกือบทั้งแถบของถนนกินเวลาไปร่วมสองชั่วยามกว่าฟางซินจะได้กลับไปสอนบัญชีร้านกับตู้ฟางอิน
------++++++-----++++++-------
บนรถม้าสกุลไป่
“สตรีหน้าโง่” ไป่เยว่ชิงนั่งกระหยิ่มยิ้มย่องเอ่ยคำว่าถึงตู้ฟางซินให้สาวใช้ฟัง “หากองค์ชายทั้งสองพระองค์กลับมาเมื่อใดอย่าคิดว่าข้าจะช่วยนาง”
“สิ่งใดมีค่า สินค้ามาใหม่ๆ นางก็สรรหามาให้คุณหนูทั้งหมดสีหน้าก็ดูโง่งมหากคุณหนูช่วยทำให้นางพบเจอองค์ชายสักครั้งขี้คร้านนางจะยกเครื่องประดับนั้นให้ทั้งหีบนะเจ้าคะ”
“งั้นเหรอ..หึหึ เสียดายที่มุกเม็ดนั้นเป็นของย้อมมาขาย..แต่ก็ช่างเถอะข้าได้พลอยเม็ดงามมาแล้วมิเสียแรงที่ไปรอนางแต่เช้า” นั่งคิดถึงรูปเครื่องประดับที่ลุงมุ่ยวาดให้นางดูแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“บ่าวสั่งอาหลุนให้มาดักกลั่นแกล้งแม่สื่อทุกคนที่มาบ้านนางตามที่คุณหนูบอกแล้วนะเจ้าคะ”
“ดี!!”
“55555/55555” สองนายบ่าวหัวเราะออกมาร่วมกันอย่างพอใจ
------------๑--------
วันเวลาผันผ่านไปจนเกือบครึ่งปีบ้านสกุลตู้ก็มิเคยได้มีโอกาสเปิดต้อนรับแม่สื่อจากที่ใดเลย ความกลุ้มใจบังเกิดแก่บุพการีของตู้ฟางซิน
“ทำเช่นไรดีเล่าท่านพี่” แม่ใหญ่กับแม่รองพากันนั่งหน้าเครียด
“จะให้ทำเช่นใดเล่าหรือพวกเจ้าจะให้ข้าเป็นฝ่ายส่งแม่สื่อไปทาบทามบุรุษแทนเรื่องมันจะได้จบง่ายขึ้น” ด้วยความที่ฟางซินเป็นบุตรสาวคนโตอีกทั้งยังเป็นบุตรที่เกิดจากฮูหยินเอกจะให้ทำเรื่องงามหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร “สุดท้ายแล้วถ้าหากนางยังมิได้ออกเรือนภายในสองปีนี้พวกเจ้าก็คงต้องทำใจไว้ครึ่งหนึ่งว่านางคงจะเป็นสาวเทื้อ” ถอนใจยาว “เฮ่อออ..หากเป็นเช่นนั้นข้าก็หาได้สนใจผู้ใดไม่ นางเป็นบุตรสาวของข้าทั้งยังเก่งกาจเรื่องค้าขาย ในวันข้างหน้านางก็จะเป็นสาวเทื้อผู้ร่ำรวยที่สุดในเมืองหลวง”
ตู้ฟางซินกับจินเมี่ยวที่ยืนอยู่หน้าห้องโถงได้ยินทุกสิ่งที่บิดามารดาของนางกล่าวก็ให้สะท้อนใจหลังจากนี้นางคงต้องเอาใจไป่เยว่ชิงเพิ่มขึ้นอีกนิดเพื่อให้นางช่วยเหลือเรื่ององค์ชายสามแม้สุดท้ายแล้วนางจะต้องเป็นหนึ่งในพระสนมก็คงมิเป็นไรอย่างน้อยก็คงพอที่จะทำให้สกุลนางมิต้องขายหน้ากระมัง แม้มิชอบใจนักแต่นางคงต้องทน สองนายบ่าวเดินออกจากหน้าประตูห้องโถงเสียงสาวใช้คนสนิทก็กล่าวขึ้นมา
“คุณหนูอย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ…ข้าในยามนี้ใกล้จะ18หนาวแล้วยังมิมีชายในดวงใจเลยนะเจ้าคะ” จินเมี่ยวเดินตามพร้อมกล่าวปลอบ
“ข้าเป็นบุตรสาวคนโตนะจินเมี่ยวอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสิบหกหนาว จนแล้วจนรอดก็มิมีสกุลใดส่งแม่สื่อมาสักคน” หันกลับมามองสาวใช้ “หากข้ามิได้ออกเรือนเจ้าจะอยู่เคียงข้างข้ามั้ย?”
“อยู่สิเจ้าคะ..หากคุณหนูยังมิออกเรือนบ่าวก็จะอยู่กับคุณหนูไม่ออกเรือนเช่นกันเจ้าค่ะ!!” จินเมี่ยวเอ่ยเสียงหนักแน่นแล้วสองคนก็พากันหัวเราะเดินต่อไปยังหน้าบ้านที่มีรถม้าจอดรออยู่
“ไปโรงเตี๊ยมเงาพระจันทร์นะ ข้านัดกับคุณหนูไป่ที่นั่น” ตู้ฟางซินบอกกับอาเฉาบ่าวชายที่ขับรถม้าให้กับนาง
“ขอรับคุณหนู” อาเฉาขึ้นนั่งด้านหน้ารอจนจินเมี่ยวขึ้นมานั่งเคียงคู่แล้วมั้งหมดก็ ออกเดินทาง
-------------------๑---------
โรงเตี๊ยมเงาพระจันทร์
“เมื่อวานคุณชายหลินส่งแม่สื่อมาบ้านข้า..ช่างน่าขบขันยิ่งนักข้าพันวันปักปิ่นมาเพียงสองเดือนแต่ก็มีบุรุษมากมายรอมาสู่ขอมิได้ว่างเว้น ข้าทำได้เพียงบอกกล่าวปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวลเพราะคงต้องรอตบแต่งเข้าไปเป็นพระชายา” ไป่เยว่ชิงจิบชาและลอบยิ้ม
“เจ้าเป็นสตรีที่บุรุษใดต่างก็ต้องการ ทั้งกิริยา มารยาทและเป็นถึงบุตรีท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายใครๆ ก็ต่างพากันเข้าหา มิใช่สตรีที่เป็นบุตรสาวพ่อค้าเช่นข้า” ฟางซินขี้คร้านจะใส่ใจกับคำพูดเยาะเย้ยถากถางของนางจึงทำได้แค่ป้อยอนางไปวันๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ชอบ
“ขอบใจเจ้า ที่เจ้าพูดมาล้วนถูกต้องทุกสิ่ง เช่นนี้แล้วหากองค์ชายรองเสด็จกลับมาคราวใดข้าจะต้องพาเจ้าเข้าวังไปลอบมององค์ชายสามด้วยเป็นแน่” ทำสีหน้าเคลิ้มฝัน
‘นางพูดอย่างไร? เหตุใดต้องไปลอบมองด้วยเล่ามิใช่ว่านางรู้จักคุ้นเคยกับองค์หญิงองค์ชายในวังหลวงแล้วหรอกหรือ’ ฟางซินมองเยว่ชิงด้วยสายตาโง่งมแต่ก็คร้านจะใส่ใจ
“หกวันก่อนหน้านี้ข้าพบกับ ‘จูเหม่ยเซียน’ สตรีหน้าตาธรรมดาแต่กลับเป็นถึงพระสหายขององค์ชายรองและองค์ชายสาม ข้ามิชอบหน้านางเท่าใดนักหากวันนี้นางมาลอบมองเราสองคนอีกข้าจะมิยอมนางแล้ว”
จูเหม่ยเซียนที่ไป่เยว่ชิงพูดถึงนั้นตู้ฟางซินเคยพบเจอมาหลายคราแต่มิเคยได้พบปะพูดคุยเพราะอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวของท่านเสนาบดีจูขนาดมองแค่ไกลๆ ตู้ฟางซินยังรับรู้ได้ว่านางงดงามมาก งามจนผู้พบเห็นต่างจะต้องพากันเหลียวมอง อีกทั้งนางยังเย่อหยิ่ง มิสนใจผู้ใดนัก ‘น่าแปลกที่นางเป็นบุตรีเสนาบดีเช่นเดียวกันเหตุใดจึงมิคบหากันเป็นสหาย’ เรื่องนี้ฟางซินก็คร้านจะใส่ใจ
“อีกเพียงสามวันจะถึงวันประชันบุพผางามข้ารู้ว่านางจะต้องขึ้นประชันกับข้าแน่ เจ้ามีของประดับใดมาใหม่บ้างหรือไม่ฟางซิน” ไป่เยว่ชิงมองสหายอย่างคาดหวัง
“มีสิ..ไว้ข้าจะดูให้” ฟางซินรับคำ
ตึ่งๆๆ ตั่งๆๆ!! เสียงเอะอะโวยวายด้านนอกประตูดังขึ้น “โจร!!!! จับโจรเร็วเข้า!!!!!! “ ตุบๆๆๆ ตับ ตึ่งๆๆๆๆ เสียงฝีเท้าวิ่งกันเต็มไปหมด ตู้ฟางซินเปิดประตูออกไปดูด้านนอก ความชุลมุนพาดผ่านสายตาจนเสียงกรีดร้องดังขึ้นตรงบันได
“ว๊ายย!!!!! คุณหนู!!!”
ตู้ฟางซินมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งวิ่งลนลานลงจากบันไดและชนเข้ากับสตรีที่กำลังเดินขึ้นมาอย่างแรง ร่างเล็กอ้อนแอ้นผงะหงายหลังตกลงจากบันไดไปหลายขั้นฟางซินได้แต่ยกมือขึ้นกุมหน้าอกด้วยความตกใจ
“นั่นมันจูเหม่ยเซียนนี่นา” ไป่เยว่ชิงที่เดินมายืนทางด้านหลังเอ่ยขึ้น “ฮะๆๆ สมน้ำหน้า”
‘เห็นผู้อื่นเจ็บตัวนางยังจะหัวเราะได้อีก’ นางมองลงไปด้านล่างเห็นผู้คนต่างเดินกันขวักไขว่ เสี่ยวเอ้อที่เป็นหญิงต่างเข้ามาช่วยกันอุ้มคุณหนูจูเหม่ยเซียนขึ้นรถม้าแล้วจากไป