“เปล่าสักหน่อย!” คาริสารีบเถียงเสียงใส พลางเอนตัวไปข้างหน้าอย่างอารมณ์ดี “ก็เฮียคิริวยกเฮียเดย์ให้ริสาแล้วนี่นา เฮียคิริวพูดเองเลยนะ ว่าให้เฮียเดย์มาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวให้ริสา เพราะงั้น ถ้าริสาไปลำปาง เฮียเดย์ก็ต้องไปด้วยสิ”
พูดจบ เธอก็ยันตัวชะโงกหน้าข้ามเบาะพนักหน้า มายื่นหน้าเกือบถึงคิริวกับเดย์ สีหน้าระรื่นจนเดย์ถึงกับเหล่มอง
“แล้วใครบอกว่าฉันจะเป็นบอดี้การ์ดให้เธอ ห๊ะ ยัยเด็กบ้า!”
เสียงของเดย์ขึ้นสูงอย่างอดไม่อยู่ ดวงตาเรียบเย็นจนเห็นเค้าความหัวเสียชัดเจน
คาริสากะพริบตาปริบ ๆ ก่อนแสร้งทำหน้างอน “นี่เฮียเดย์… ว่าริสาเหรอ”
“เออ! ก็พูดอยู่นี่ไง!”
“หยุด! หยุดทั้งคู่เลย!”
เสียงทุ้มต่ำของคิริวดังลั่นจนทั้งรถเงียบกริบในทันที
เขาขับรถไปพลาง สูดหายใจแรง ๆ เหมือนต้องรวบรวมสติไม่ให้บีบพวงมาลัยจนหัก “ฉันขับรถอยู่ อย่าทำให้ฉันต้องหักหัวรถลงข้างทางได้ไหม”
บรรยากาศเงียบไปอึดใจ ก่อนคาริสาจะหัวเราะแผ่ว ๆ
“โอเค ๆ เฮียใจเย็นน่า… ริสาแค่พูดเล่นเอง”
เดย์เหลือบมองกระจกหลัง แล้วพึมพำเบา ๆ แต่คิริวได้ยินชัด “พูดเล่นของเธอทีไร ฉันได้ปวดหัวทุกที”
“ริสาได้ยินนะ!” คาริสาพูดเสียงแข็ง “ปวดหัวมากหรือไง!”
“ใช่สิ!” เดย์สวนทันทีโดยไม่ต้องคิด ดวงตาคมวาบขึ้นมาจากความหงุดหงิดที่สะสมอยู่เต็มอก
“อ๋อเหรอ เฮียก็ไม่ต้อง—”
ยังไม่ทันที่คาริสาจะพูดจบ เสียงล้อรถบดถนนก็ดังแหลมขึ้นทันที ครืดดด!
แรงสะเทือนฉุดให้ทั้งคู่เงียบกริบ เมื่อคิริวบังคับพวงมาลัยหักเข้าข้างทางอย่างกะทันหัน
รถรูทสีดำคันใหญ่หยุดนิ่งสนิทกลางข้างทางที่มีแต่ความมืดและเสียงจักจั่นแว่วอยู่ราง ๆ
คิริวหันกลับมาทันที ดวงตาเข้มกดต่ำ น้ำเสียงเย็นเฉียบ “ลงไป…”
ไม่มีใครขยับ เขาเค้นเสียงต่ำลงกว่าเดิม
“ลงไปทั้งคู่”
คาริสาเบิกตากว้าง “เฮียคิริว! นี่มันกลางป่า—”
“ฉันบอกให้ลง!” เสียงทุ้มตวาดลั่นจนทั้งรถสะเทือน
เดย์สบตากับคาริสา รู้ดีว่าไม่ควรเถียงในจังหวะแบบนี้ เขาถอนหายใจหนัก ก่อนเปิดประตูรถออกไปเงียบ ๆ ส่วนคาริสาเม้มปากแน่นอย่างไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็จำใจเปิดประตูตาม
ลมเย็นเฉียบพัดเข้ามาปะทะหน้าพร้อมเสียงปิดประตู ปัง! ทิ้งไว้เพียงเงาไฟท้ายรถที่ยังสว่างอยู่ในความมืด
เสียงเครื่องยนต์คำรามก่อนรถหรูสีดำพุ่งออกไป ทิ้งเพียงกลุ่มควันบาง ๆ และแสงไฟท้ายที่ค่อย ๆ ลับหายไปในความมืด
เดย์กับคาริสายืนมองตามรถอย่างอึ้ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความเงียบจะถูกทำลายลงด้วยเสียงบ่นของเดย์
“เพราะเธอนั่นแหละ!” เขาหันมาจ้องเธอตาเขม็ง “เห็นไหม ตอนนี้ได้เรื่องเลย เดินกลับเองเถอะ!”
คาริสาขมวดคิ้วทันที “เฮียต่างหากล่ะ อย่ามาโทษริสาเลยนะ! ก็ผิดกันทั้งคู่นั่นแหละ”
“ฉันผิดตรงไหน!”
“ก็ตรงที่ขึ้นเสียงกับริสาไง!”
“เพราะเธอน่ะมัน…” เดย์กลั้นคำต่อท้ายไว้ได้ทัน พ่นลมหายใจยาวอย่างระงับอารมณ์ แล้วตวัดสายตาไปทางถนนที่ทอดยาวไร้แสงไฟ “ช่างเถอะ… เดินไปเถอะ ก่อนจะมีรถสวนมา”
คาริสาทำหน้ายุ่ง ๆ ก่อนสะบัดผมอย่างหงุดหงิด “ได้! เดินก็เดิน”
ทั้งคู่เริ่มก้าวไปตามถนนสายเปลี่ยว เสียงฝีเท้าและเสียงหายใจแผ่วของกันและกันดังแทรกอยู่ในความเงียบของค่ำคืน
บรรยากาศระหว่างพวกเขาเต็มไปด้วยแรงตึงเครียดที่ไม่รู้ว่าเป็นความโกรธ… หรือบางอย่างที่เริ่มก่อตัวโดยไม่รู้ตัว
ทั้งคู่เดินเทียบกันไปเรื่อย ๆ บนฟุตบาทที่มีเพียงแสงไฟถนนสลัว ๆ ส่องนำทาง เสียงลมกลางคืนพัดผ่านเป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าที่ดังสลับกันอย่างแผ่วเบา
เวลาผ่านไปนานพอให้ความเงียบเริ่มกลืนกินบรรยากาศ คาริสาเริ่มเดินช้าลงทีละนิด ทุกก้าวเหมือนถูกถ่วงด้วยความเมื่อยและรองเท้าส้นสูงปลายแหลมที่เริ่มกัดจนเจ็บ
เธอก้มมองเท้าตัวเอง ส้นเท้าแดงช้ำจนรู้สึกแสบร้อน ก่อนจะเม้มปากแน่นแล้วเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เดย์ที่เดินนำอยู่หันกลับมามอง เห็นอีกฝ่ายชะงักเล็กน้อยก็ขมวดคิ้วถามขึ้นเสียงทุ้ม
“เป็นอะไร”
คาริสาเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเล็กน้อย ก่อนรีบส่ายหัว “ปะ…เปล่า ไม่มีอะไร”
เดย์จ้องอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาคมนิ่งเหมือนอ่านทะลุถึงความเจ็บที่อีกฝ่ายพยายามปิดบัง แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเงียบ ๆ แล้วหันกลับไปเดินต่อโดยไม่พูดอะไรอีก
ทว่าความหงุดหงิดที่อัดแน่นอยู่ในอกกลับทำให้เดย์หยุดฝีเท้ากะทันหัน เขาหันกลับมาทันทีโดยไม่ทันคิด
คาริสาที่กำลังก้มมองเท้าอยู่ไม่ทันตั้งตัว ชนเข้ากับอกแกร่งเต็มแรง
“โอ๊ยยย!” เธอร้องเบา ๆ พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผาก “หยุดเดินก็ไม่บอก!”
เดย์ไม่ตอบอะไรสักคำ เพียงสบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนถอดเสื้อสูทตัวหนาออกจากตัว แล้วคลุมเข้าที่ไหล่ของคาริสาอย่างเงียบ ๆ
“อ…อะไร คลุมทำไม” เสียงของเธอสั่นนิด ๆ ทั้งจากลมและความงง
“มันดึกแล้ว ลมมันเย็น คลุมไว้ เดี๋ยวไม่สบาย” เขาพูดเสียงเรียบ ก่อนก้มตัวลง นั่งย่อตัวลงตรงหน้าเธออย่างระมัดระวัง
คาริสาขมวดคิ้วนิด ๆ “เฮียเดย์… จะทำอะไร…”
ยังไม่ทันพูดจบ เดย์ก็ค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับข้อเท้าเธออย่างระวัง ก่อนถอดรองเท้าส้นสูงปลายแหลมออกจากเท้าทั้งสองข้าง แล้วถือมันไว้ในมือแน่น
จากนั้นเขาหันหลังให้เธอ แล้วพูดเสียงนิ่งเรียบแต่หนักแน่น
“ขึ้นมา”
คาริสากะพริบตาปริบ ๆ “อะไรนะ?”
“ขึ้นมา” เขาย้ำอีกครั้งโดยไม่หันกลับ “รองเท้าเธอมันกัดจนเลือดซิบแล้ว ไม่เห็นหรือไง ทำไมถึงปล่อยให้มันกัดแบบนั้น”
น้ำเสียงนั้นไม่ดัง ไม่ดุ แต่กลับแฝงแรงอารมณ์ที่ทำให้คาริสาเงียบลงทันที เธอก้มมองส้นเท้าตัวเองที่แดงช้ำ ก่อนจะเม้มปากแน่นอย่างรู้สึกผิด
เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ วางมือบนไหล่กว้างของเขา แล้วปีนขึ้นหลังไปอย่างเงียบ ๆ
ลมหายใจอุ่นของเธอแตะต้นคอเขาแผ่ว ๆ จนเดย์รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองเต้นแรงผิดจังหวะ
“เฮียเดย์นี่น่ารักจัง…”
เสียงของคาริสาแผ่วเบา แต่แฝงรอยยิ้มในน้ำเสียง เธอแกว่งขาไปมาเบา ๆ เหมือนเด็กที่กำลังเล่น “แต่ริสาหนักนะ เฮียเดย์ไม่หนักเหรอ?”
เดย์ถอนหายใจยาวเบา ๆ แต่ปากกลับตอบอย่างเรียบ ๆ
“หนักสิ หนักมากด้วย”
“เฮีย!” คาริสาโวยขึ้น พร้อมยกมือฟาดไหล่เขาเบา ๆ “นี่เฮียว่าริสาอ้วนเหรอ”
“ฉันพูดหรอ?” เดย์ตอบนิ่ง ๆ ไม่แม้แต่จะหันมา “มีแต่เธอนั่นแหละที่พูดเองเออเอง”
คาริสาเงียบไปครู่ ก่อนหัวเราะเบา ๆ “ก็จริงของเฮียเนอะ”
รอยยิ้มบางแตะริมฝีปาก เธอเอนตัวลงช้า ๆ ซบหน้าลงกับแผ่นหลังของเขา ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาผ่านผ้าสูทบาง ๆ ที่คลุมอยู่
เดย์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาเพียงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงท่ามกลางลมเย็นของค่ำคืน เสียงรองเท้าแตะพื้นดังก้องเป็นจังหวะเดียวกับลมหายใจของทั้งคู่
และในความเงียบนั้น… ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นโดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัวเลย
เดย์ยังคงเดินไปเรื่อย ๆ บนถนนสายเปลี่ยวที่ทอดยาวสุดสายตา เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องอยู่ใต้แสงไฟถนนที่กระพริบเป็นจังหวะ ลมกลางคืนพัดแผ่ว ๆ ปะทะใบหน้า แต่ความอบอุ่นจากร่างเล็กที่ซบอยู่บนหลังกลับทำให้เขาไม่รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย
“นี่… ทำไมเงียบ”
เดย์เอ่ยถามเสียงเบา พลางเหลือบมองไปข้างหลัง แต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอแผ่วเบาแนบต้นคอ
เขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจยาวเบา ๆ ราวกับยอมแพ้ให้ความดื้อรั้นของหญิงสาวที่ตอนนี้หลับอย่างไร้เดียงสาอยู่บนหลังเขา
เดย์เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแสงไฟหน้ารถส่องวาบเข้ามาใส่ดวงตา รถหรูสีดำเงาพุ่งเข้ามาจอดเทียบช้า ๆ เสียงเบรกดัง ครืดดด อย่างนุ่มนวล ก่อนที่กระจกหน้ารถจะเลื่อนลง
คิริวนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ดวงตาคมมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ขึ้นรถ” เสียงทุ้มของเขาดังสั้น ๆ แต่ชัดเจน
เดย์ปรายตามอง ก่อนหัวเราะในลำคอเบา ๆ “กูนึกว่าจะปล่อยให้กูเดินถึงคฤหาสน์ซะอีก”
คิริวแค่นเสียง “อยากให้เดินจริง ๆ ด้วยซ้ำ แต่เห็นแบกยัยนั่นอยู่เลยสงสารหลังมึงมากกว่า”
เดย์หัวเราะในลำคออีกครั้ง ก่อนค่อย ๆ ก้มลงอุ้มคาริสาไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง แล้วก้าวขึ้นรถไปอย่างเงียบ ๆ
ไฟท้ายรถหรูเคลื่อนห่างออกไปในความมืด ทิ้งไว้เพียงลมกลางคืนที่ยังพัดเอื่อยและถนนสายยาวที่เงียบสงบอีกครั้ง…