หลังจากพนักงานห่อของเสร็จเรียบร้อย ก็จัดใส่ถุงแบรนด์อย่างประณีต ก่อนที่เดย์จะก้าวเข้าไปรับมาถือไว้ทั้งหมดโดยไม่ต้องให้คาริสาพูดอะไร
“ขอบคุณนะคะ” เธอพูดแค่สั้น ๆ แล้วก็หมุนตัวเดินออกจากร้านไปทันที ราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น
เดย์มองแผ่นหลังบาง ๆ นั่นแล้วส่ายหน้ายิ้มบาง ๆ อย่างระอา ก่อนจะถือถุงทั้งหลายตามออกมา
จากหนึ่งถุง กลายเป็นสาม จากสามกลายเป็นเจ็ด จนตอนนี้แขนทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยถุงแบรนด์หรูที่เรียงกันจนแทบมองไม่เห็นลำตัว
คาริสาเดินนำหน้าอย่างอารมณ์ดี แวะร้านโน้นร้านนี้ไม่หยุด ทั้งเสื้อผ้า เครื่องสำอาง รองเท้า และเครื่องประดับ ดวงตาเป็นประกายตลอดเวลาเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่
“เฮียเดย์ ถือไหวไหมคะ?” เธอถามพลางหันมายิ้ม แต่ในน้ำเสียงกลับฟังดูเหมือนแกล้งถามมากกว่าห่วงจริง
“ไหว…” เดย์ตอบเสียงเรียบ ทั้งที่สีหน้าเริ่มบ่งบอกว่าคงใกล้สุดแรงแล้ว “เธอจะซื้ออีกเยอะไหม?”
“ก็แค่อีกสองสามร้านเองค่ะ” คาริสาพูดพลางยิ้มหวาน ดวงตาเป็นประกายเจ้าเล่ห์ “เฮียถือเก่งนี่นา ถืออีกนิดคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
หลังจากนั้น คาริสาก็ยังเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ต่อไม่หยุด มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถุงแบรนด์หรูอีกสามสี่ใบกว่าจะพอใจ
แต่พอเดินไปได้สักพัก ความเหนื่อยเริ่มแล่นเข้ามาแทนที่ความตื่นเต้น ขาพาร่างบางชะลอลง ก่อนจะถอนหายใจยาว
“เฮียเดย์… ริสาหิวอ่ะ” เธอบ่นเสียงอ้อนอย่างคนหมดแรง “ไปหาอะไรกินกันไหม?”
เดย์เลิกคิ้ว มองถุงเต็มสองแขนของตัวเอง “แล้วของพวกนี้ล่ะ?”
คาริสาเม้มปากแล้วชี้นิ้วไปทางเขา “เฮียเดย์ก็เดินไปเก็บที่รถก่อนสิ ของเยอะแบบนี้จะถือไปกินข้าวด้วยหรือไงคะ?”
“ก็มีแต่ของเธอทั้งนั้นไหมล่ะ” เขาพูดเสียงเรียบแต่แฝงแววขำในน้ำเสียง
หญิงสาวหันมาค้อนใส่ทันที ดวงตาวาวเล็กน้อย “ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ ช่วงนี้ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า ออกคอลเลกชันใหม่มา ริสาก็ต้องรีบซื้อสิ เดี๋ยวหมดก่อน”
เดย์มองถุงในมือแล้วยกคิ้วขึ้นนิด “อืม… งั้นก็รออยู่แถวนี้ อย่าไปไหน เดี๋ยวฉันรีบเอาของไปเก็บแล้วกลับมา”
คาริสายิ้มมุมปากน้อย ๆ “ได้เลยค่ะ รับรองว่าริสาอยู่ตรงนี้แน่นอน ไม่หนีไปไหนแน่”
“แน่ใจนะ?” เขาถามเสียงเรียบแต่แฝงแววขำในดวงตา
“แน่สิคะ” เธอตอบพลางยกมือขึ้นเป็นสัญญา “สาบานเลยค่ะ เฮียรีบไปเถอะ ริสาจะนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ”
เดย์พยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป เสียงรองเท้าหนังของเขาดังแผ่ว ๆ ท่ามกลางเสียงผู้คนในห้าง
คาริสามองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับตา ก่อนจะหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่จังหวะที่คาริสาหมุนตัวจะเดินไปนั่งรอ เด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งวิ่งพรวดเข้ามาจากอีกทางชนเข้ากับเธอเต็มแรง
ปึก!
“อ๊ะ~” คาริสาอุทานเบา ๆ ก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อยที่เซจนล้มลงนั่งกับพื้นตรงหน้า
“โอ๊ย…” เสียงเล็ก ๆ หลุดออกมาพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้ากลมใสเงยขึ้นมองเธอ ดวงตากลมโตเริ่มคลอไปด้วยน้ำใส ๆ
คาริสารีบเข้าไปดู พลางเอื้อมมือไปจับไหล่เด็กน้อย “โอ้ย ตายแล้ว! น้องเป็นอะไรหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหนไหม?”
ทันทีที่เธอเอ่ยถาม เด็กชายตัวเล็กในชุดเสื้อยืดลายการ์ตูนก็เบะปาก น้ำตาเริ่มไหลออกมาทันที
“อื้ออ… พี่สาวครับ ปลาวาฬอยากเจอแม่ครับ…” เสียงเล็ก ๆ สั่นเครือปนสะอื้น
คาริสามองหน้าเขา ก่อนจะยิ้มอ่อนแล้วพูดเสียงนุ่ม “โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ น้องชื่อปลาวาฬใช่ไหมคะ”
“ครับ…” เด็กชายพยักหน้า น้ำตายังไหลพรากแต่พยายามกลั้นไว้
“แล้วปลาวาฬเดินหลงกับคุณแม่เหรอคะ?”
เด็กน้อยพยักหน้าอีกรอบ ทั้งเสียงสะอื้น ทั้งจมูกแดงนิด ๆ จากการร้องไห้
คาริสายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เบา ๆ “โอเค ไม่ต้องร้องนะครับ เดี๋ยวพี่จะช่วยพาปลาวาฬไปหาแม่เอง ดีไหม?”
“จะ…จริงนะครับ?” เด็กน้อยเงยหน้ามองด้วยแววตาเปียกชื้นแต่เต็มไปด้วยความหวัง
“จริงสิคะ” คาริสาพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะก้มลงจนตาอยู่ระดับเดียวกัน “พี่ชื่อริสานะ แต่ถ้าปลาวาฬอยากเรียกพี่ว่าพี่คนสวยก็ได้นะ”
ปลาวาฬเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ทั้งน้ำตา “พี่คนสวย…”
คาริสาหัวเราะตาม “ใช่ครับ พี่คนสวยจะพาไปหาแม่เอง โอเคไหม?”
เด็กน้อยพยักหน้าแรง ๆ เหมือนจะบอกว่าเชื่อเธอสุดใจ
“งั้นปลาวาฬต้องหยุดร้องไห้ก่อนนะครับ” คาริสาพูดเสียงนุ่ม พลางยิ้มอ่อนให้ “เราเป็นผู้ชาย เราต้องเก่ง ต้องไม่ร้องไห้… เข้าใจไหมเด็กดี”
เด็กชายพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะยกแขนเล็ก ๆ ขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อย ๆ จนจมูกแดงนิด ๆ
คาริสาหัวเราะเบา ๆ อย่างเอ็นดู “ดีมากครับ เก่งมากเลย”
เธอเอื้อมมือไปจับมือน้อย ๆ ของเขาไว้แน่น “งั้นไปกันเลยนะ เดี๋ยวพี่พาไปที่ประชาสัมพันธ์ เราจะได้เจอแม่เร็ว ๆ”
“ครับ” ปลาวาฬตอบเสียงเบา ก่อนจะเดินตามเธอไปอย่างว่าง่าย
ทั้งคู่เดินผ่านโซนร้านอาหารและคาเฟ่ เสียงเด็ก ๆ หัวเราะดังแทรกมาจากทุกทิศ ด้านข้างมีโต๊ะหลายตัวที่เด็กวัยใกล้ ๆ กันกำลังนั่งกินไอศกรีมกับพ่อแม่อย่างมีความสุข
ปลาวาฬที่เห็นภาพนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย สายตาจับจ้องอยู่ที่โคนไอศกรีมในมือเด็กคนหนึ่งอย่างลืมตัว
คาริสาเหลือบตามอง เห็นแววตาแวววาวคู่นั้นแล้วก็อมยิ้ม “อยากกินเหรอ?”
เด็กชายสะดุ้ง รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ปะ…เปล่าครับ”
“แน่ใจเหรอ?” เธอแกล้งถามเสียงอ่อน “อยากกินก็บอกพี่สิ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อ”
ปลาวาฬเม้มปากแน่น “แต่… ปลาวาฬไม่มีเงินครับ”
คาริสาหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะก้มลงพูดใกล้ ๆ “ไม่ต้องมีเงินหรอกครับ เพราะพี่คนสวยคนนี้จะเลี้ยงเอง”
ดวงตาของเด็กชายเบิกกว้างขึ้นทันที “จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ” เธอยิ้มกว้าง “เพราะงั้น ปลาวาฬอยากกินรสไหน เลือกได้เลยนะครับ”
เด็กชายยิ้มกว้างทันทีเหมือนลืมร้องไห้ไปเลย เขาจับมือเธอแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปยังร้านไอศกรีมใกล้ ๆ
เมื่อเดินมาถึงหน้าร้านไอศกรีม กลิ่นหวานหอมของช็อกโกแลตและวานิลลาอบอวลไปทั่วจนปลาวาฬทำตาโตทันที
คาริสาก้มลงถามเสียงนุ่ม “ปลาวาฬเอารสอะไรดีครับ?”
เด็กน้อยหันมามองหน้าเธอ ดวงตาเป็นประกาย “ปลาวาฬชอบกินช็อกโกแลตครับ!”
คาริสายิ้มกว้าง “งั้นเหมือนกันเลย” เธอหันไปบอกพนักงานอย่างไม่ลังเล “เอาช็อกโกแลตสองโคนค่ะ”
“ได้เลยค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มตักไอศกรีมใส่โคนอย่างคล่องแคล่ว
ระหว่างรอ คาริสาหันกลับมามองเด็กชายที่ยืนยิ้มตาเป็นประกายอยู่ข้าง ๆ เธอ “ชอบขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ครับ!”
คาริสาหัวเราะอีกครั้ง จังหวะนั้นเองที่พนักงานยื่นไอศกรีมสองโคนมาให้
“ได้แล้วค่ะ ช็อกโกแลตสองโคน”
เธอรับมาแล้วยื่นให้เด็กชายก่อน “ของปลาวาฬครับ”
“ขอบคุณครับ!” เด็กชายรับไว้ด้วยท่าทีดีใจสุด ๆ ก่อนจะรีบเลียคำแรกด้วยความตื่นเต้น
คาริสามองแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ ความรู้สึกอุ่นในอกแผ่ซ่านโดยไม่รู้ตัว จนไม่ทันเห็นสายตาของใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใกล้ ๆ ด้านหลัง…
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่ชวนสะดุด
“ตามหาตั้งนาน… ที่แท้มานั่งกินไอศกรีมกับเด็กนี่เอง”
เธอชะงัก หันขวับกลับไป
“เฮียเดย์…”