ปัง!
“ช้าไปเจ็ดนาที” ฉันลงจากวินมอเตอร์ไซต์ด้วยอาการที่เรียกว่ากระโดดลงจากเบาะจนรถพี่วินแทบจะล้มด้วยซ้ำ ค่าวันสิบห้าบาทแต่ฉันยอมจ่ายไปยี่สิบบาทโดยที่ไม่เอาตังค์ทอน เขาก็น่าจะเห็นว่าฉันโดดลงจากรถเสร็จก็วิ่งใส่เกียร์หมาหน้าตั้งมาขึ้นรถของเขาแล้วยังจะเอาอะไรอีกแค่เจ็ดนาทีเอง
“ขอโทษค่ะ”
“ภาระฉิบหายเลยว่ะ”
“เอ้า! มีนไม่ได้บังคับให้คุณเกรย์มารับนะ” ถ้าอยู่มหาลัยตอนรับบทคนไม่รู้จักกันสามารถเรียกเขาเหมือนเพื่อนปกติได้แต่ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยไปตีซี้แบบนั้นมีนาตายหยังเขียดแน่
“เธอไม่ได้บังคับฉันแต่เธอไปอ้อนให้พ่อมาบังคับฉัน”
“ไม่ใช่เลย”
“หุบปาก อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่”
“ยังไม่ได้อ้าอย่าพูดมั่ว”
“อย่ามาเถียงนะมีนา”
“ไม่ได้เถียงมีนแค่บอกว่ายังไม่ได้อ้า นี่ถ้าอ้าต้องแบบนี้ นี่ ๆ ๆ อ้า~” ฉันหันไปหาแล้วอ้าปากใส่ให้เขาเห็นชัด ๆ ว่าถ้าอ้าปากมันต้องแบบนี้!
“แม่งกวนตีน”
บรื๊น!
“กรี๊ด! คุณเกรย์จะขับรถกระชากทำไมเนี่ย!”
“รถฉัน ไม่พอใจก็ลงไปเดิน” ยิ่งว่ายิ่งทำใส่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะขับรถได้อุบาทว์อะไรนักหนาทั้งที่รถแน่นเต็มทั้งถนนซะขนาดนี้
“ลงไปเดินได้นะ แต่คุณเกรย์ไปเคลียร์กับคุณลุงเองแล้วกัน จอดสิเดี๋ยวมีนลงไปเดิน”
ขวับ!
“หุบปากเดี๋ยวนี้ยัยคนสวน!”
“...ชิส์!” ฉันนิ่งมองหน้าเขาที่เกรี้ยวกราดมากแต่สุดท้ายก็จิ๊ปากใส่แล้วหันหน้าไปมองถนนข้างหน้า
“กวนตีน” เขาด่าฉันเบา ๆ แล้วก็เปิดเพลงดังลั่นรถ เพลงบ้าอะไรก็ไม่รู้ดนตรีหนักเป็นบ้าแค่ฟังระดับเสียงธรรมดาก็ชวนปวดหูแล้วแต่นี่ดันมาเปิดเสียงดังจนลั่นเพื่อแกล้งฉันอีก
“หนวกหู!” สุดท้ายทนไม่ไหวฉันก็ตะโกนเพราะเพลงของเขามันน่ารำคาญมาก!
“เสือก!” พอฉันตะโกนลั่นรถเพื่อบอกเขาก็ตะโกนกลับมาจนลั่นรถเหมือนกัน แถมยังเป็นคำที่...
เออ! กูไม่เสือกแล้วก็ได้ ถ้าหูกูหนวกมึงก็หนวกเหมือนกันนั่นล่ะวะไอ้บ้าเกรย์!
-ครึ่งชั่วโมงต่อมา-
“หูจะแตกสักวัน” พอรถเลี้ยวเข้าจอดในโรงจอดรถของบ้านเขาก็ปิดเพลงส่วนฉันก็อดบ่นอุบอิบออกมาไม่ได้ ปวดหูจริง ๆ ไม่ใช่แค่ปวดหูแต่เพลงมันดังแล้วก็ฟังนานเกินไปจนปวดหัวแล้ว
“โง่ให้หูแตกก็หูหนวกไป” อีกคนก็สวนกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบจากนั้นเขาก็ลงจากรถเดินลิ่ว ๆ เข้าบ้านไปเลย
เหอะ! น่าหมั่นไส้ เจอคนแบบนี้ทุกวันได้ประสาทแดกตายแต่เพราะชอบล้วน ๆ หรอกนะเลยพอทนได้สุดท้ายเลยไม่ประสาทแดกตาย!
เฮ้อ! มีนาเอ้ย ควรหมั่นไส้เขาหรือหมั่นไส้ตัวเองก่อนกันแน่ เวลาปะทะคารมกับเขาก็แอบด่าเขาในใจแทบตลอดเวลาอยู่หรอกแต่สุดท้ายลึก ๆ ในใจก็ชอบทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ใกล้เขานั่นแหละ
รักแรกนี่เนอะ จากแอบปลื้มเปลี่ยนเป็นแอบชอบจนกลายเป็นแอบรัก รักล้นใจเลยด้วยซ้ำ
รักนะ...คุณเกรย์
-เวลาต่อมา-
“นี่จ้ะ กินเยอะ ๆ นะจ้ะ” คุณผู้หญิงของบ้านตักอาหารใส่จานให้ฉัน ใจดีค่ะแต่คงจะเนียนกว่านี้ถ้าคุณฤดีไม่ตักหอยแมลงภู่ให้
“คุณ”
“คะ”
“หลานแพ้หอยแมลงภู่นะ” แล้วก็เป็นคุณลุงเสมอที่เป็นฝ่ายบอกเพราะหลายครั้งที่คุณฤดีเลือกตักแต่อาหารที่ฉันแพ้เหมือนจงใจ
“อุ้ย! ตายจริงป้าขอโทษนะจ้ะ เฮ้อ! ป้าลืมไปเลยว่าหนูกินยาก เสียของเลยเสียดายของจัง”
“...ขอโทษนะคะ” ฉันรู้ว่าโดนเหน็บ แล้วประโยคตอนท้ายก็คล้ายจะกดดันให้ฉันเสียดายของกินในบ้านที่ฉันเป็นกาฝากแต่จะให้รับผิดชอบเหรอ? ไม่มีทางฉันไม่ได้ตักมาเองนี่คะ
“เฮ้อ! ป้าก็พยายามจำแล้วนะจ้ะหนูมีนว่าหนูไม่กินอะไรบ้าง เสียดายของจังหนูก็รู้ว่าป้าไม่ชอบกินทิ้งกินขว้าง”
“เอามาเดี๋ยวกินเอง” เสียงคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามฉันพูดขึ้นทุกสายตาเลยหันไปมองเขา
“เกรย์จะกินทำไมจ้ะลูกอาหารมันอยู่ในจานหนูมีนแล้วอย่าเลยจ้ะ”
“ก็เสียดายไม่ใช่รึไง เอามาจะกินให้มันจบ ๆ หรืออาฤดีจะกินเอง?”
“เอ่อ...ทิ้งไปก็ได้จ้ะไม่เป็นไรหรอกอาก็แค่บ่นตัวเองเฉย ๆ ที่ไม่จำว่าหนูมีนไม่กินอะไรบ้างจนเผลอตักให้ทำเสียของ” ฉันเกลียดคำนี้ได้ไหมนะ จงใจพูดมากเลยว่ะไอ้คำว่าฉันไม่กินอะไรบ้างเนี่ย ไม่ได้อยากเลือกกินแต่มันแพ้แล้วจะให้ทำยังไง
“ไม่ใช่ไม่กินแต่เขากินไม่ได้ครับอาฤดี”
“...” ฉันแทบจะร้องไห้ที่เขาพูดเหมือนปกป้อง แต่เปล่าหรอกเขาก็แค่ออกโรงเพราะไม่ชอบความแอบจู้จี้ของแม่เลี้ยงฉันก็เลยพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วยก็แค่นั้นเอง
“อาก็หมายความแบบนั้นไงจ้ะ” คุณฤดีหน้าเสียไปนิดหน่อยแต่ก็ปรับมายิ้มได้ปกติในเวลารวดเร็วส่วนเขาก็เลิกสนใจคุณฤดีแล้วหันมามองฉันอีกครั้ง
“เอามา”
“ไม่เป็นไร ทิ้งก็ได้ค่ะ”
“เอามา” เสียงเย็นของเขาทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก เอาอาหารที่ตัวเองไม่กินให้ลูกชายผู้มีพระคุณทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกันแถมผู้มีพระคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้ น่าเกลียดตาย
“เอาให้เกรย์มันกินแทนไปเถอะหนูขิง ของชอบมันด้วย ฮึ ๆ ๆ”
“...ค่ะ” เพราะเป็นคำสั่งของคุณลุงฉันเลยต้องตักหอยแมลงภู่แล้วเอื้อมไปวางบนจานของเกรย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วก็สัมผัสได้ถึงรังสีไม่ดีบางอย่างซะด้วยสิ
ขอโทษนะคะที่ทำให้รู้สึกขัดใจแต่หนูไม่ได้เป็นคนทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้นะคะคุณฤดี
“คราวหลังถ้ามีนามาบ้านไม่ต้องทำอาหารที่แพ้นะน้านวย จำให้ได้ว่ามีนาแพ้อะไรแล้วก็ไม่ต้องทำ”
“เอ่อ...ค่ะ” ดูอาการก็รู้ว่าพี่นวยก็อยากทำแบบนั้นแต่เพราะมีคนสั่งให้ทำเมนูที่ฉันแพ้เกินครึ่งของเมนูอาหารทั้งหมดเลยต้องทำต่างหาก ก่อนถึงมื้ออาหารน้านวยจะเดินมาบอกฉันก่อนเสมอว่าทำเมนูไหนไว้ให้ฉันกินบ้าง ถึงจะไม่ได้บอกทุกอย่างตรง ๆ แต่แค่นี้ก็รู้แล้วว่าน้านวยมาบอกเพราะเอ็นดูและสงสาร
“แล้วก็จำไว้อย่าให้ผมเห็นอาหารที่มีนาแพ้เสิร์ฟบนโต๊ะอีกไม่งั้นจะด่าให้หมดไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”