๙ ก้าวสำคัญ2

1306 คำ
ตีรณาขยับตัวเบาๆ พลางอ้าแขนออกรับลูกชายเข้าเต้าตามที่นางพยาบาลสอน วันนี้เป็นวันธรรมดา ป้าอิ๋วจึงไม่อาจมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะต้องไปสอนหนังสือที่โรงเรียน เดิมทีท่านจะจ้างคนมาอยู่เป็นเพื่อน ทว่าตีรณาเห็นว่าหล่อนพอช่วยเหลือตนเองได้จึงปฏิเสธท่านไป เพราะอย่างไรเสียช่วงเย็นท่านก็จะต้องมาอยู่เป็นเพื่อนอยู่ดี และพรุ่งนี้ก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องจ้างใครทั้งนั้น “แข็งแรงมากเลยนะคะเนี่ย พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว” นางพยาบาลเปรยยิ้มๆ มองหนูน้อยด้วยความเอ็นดู ตั้งแต่วันมาถึงวันนั้น ยังไม่เห็นหน้าพ่อเด็ก แต่ผู้ที่พบเจอมาทุกเหตุการณ์ก็พอเดาออก ตกเย็นป้าอิ๋วก็มาถึงโรงพยาบาล ท่านมองหลานชายด้วยสายตารักใคร่ “โอ๋ คนเก่งของย่าอิ๋ว” ป้าอิ๋วอุ้มหลานชายตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน “น่าเกลียดน่าชังอะไรขนาดนี้ลูก” ตีรณายิ้มขันขณะมองป้าอิ๋วหยอกล้อกับลูกชาย “นี่ถ้าพ่อเขามาเห็นจะรู้สึกยังไงบ้างนะ ลูกชายน่ารักขนาดนี้” ป้าอิ๋วเปรยออกมาโดยไม่ทันคิดอะไร ตีรณาเองก็ไม่ได้อะไรกับพ่อของลูกแล้วเช่นกัน จึงไม่ได้สะเทือนใจนักหนาเมื่อป้าอิ๋วกล่าวออกมาอย่างนั้น “ก็คงไม่รู้สึกอะไร อย่างที่บอก เขาอยากให้อิ๋วเอาลูกออกด้วยซ้ำ” หญิงสาวบอกท่าน แต่ไม่เคยบอกว่าถูกผู้ชายคนนั้นขืนใจ เพราะเกรงว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่และหากอาอี๊ดรู้ก็จะทำตัวเป็นหอกระจายข่าวพาเสื่อมเสียกันไปหมด เพราะเหตุนี้ผู้หญิงจึงตกเป็นเหยื่ออยู่ร่ำไป เพราะผู้หญิงยังอับอายและไม่กล้าที่จะเอาเรื่อง “ตี่...” ป้าอิ๋วสบตาหล่อนอย่างขอโทษในที “อย่าคิดมากค่ะป้าอิ๋ว ตี่ไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว ตอนนี้ในความคิดของตี่มีแค่ตาตฤณคนเดียวเท่านั้น เรื่องอื่นไม่มีความหมาย อย่างที่บอก นี่คือก้าวสำคัญของตี่ค่ะ” ป้าอิ๋วมองหลานสาวด้วยความภูมิใจ หลานของท่านเข้มแข็งเสียยิ่งกว่าคนเป็นพ่อด้วยซ้ำไป ยิ่งได้รับรู้เรื่องราวหลังจากออกจากบ้านหลังนี้ไป ทั้งตนและมารดาก็ยิ่งสงสารหลานสาวคนนี้สุดหัวใจ เพราะไม่เคยรู้ว่าต้องลำบากมากแค่ไหนเมื่อไม่มีทั้งพ่อและแม่ สายของวัน ตีรณาและลูกก็สามารถกลับบ้านได้ ขณะที่หญิงสาวนั่งอยู่ในรถเข็นโดยมีบุรุษพยาบาลพาไปส่งที่ทางเข้าด้านหน้า ใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณเก้าอี้หน้าโรงพยาบาลกำลังเขม้นมองมายังหญิงสาวด้วยความรู้สึกแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง จึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปหญิงสาวที่ตนเห็นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปหา “คุณตี่” คนที่นั่งอุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมแขนหันขวับไปตามเสียงเรียก แล้วก็ต้องนิ่งงันตัวเย็นเยียบเมื่อสบตาคนตัวสูงตรงหน้า “คุณโย” น้ำเสียงที่ครางชื่อของชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งออกมา ชี้ชัดว่าหล่อนคือตีรณาจริงๆ “คุณจริงๆ ด้วย ตอนแรกผมคิดว่าจำคนผิด” ผู้จัดการหนุ่มแห่งเดอะ ท็อป ไฟฟ์ฯ กล่าว พลางกวาดสายตามองอย่างละเอียดตามนิสัยรอบคอบ “เอ่อ” ตีรณายิ้มเจื่อน เพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอเจ้านายเก่าในสถานการณ์เช่นนั้น คนตัวสูงมองหล่อนและมองเด็กน้อยหน้าตาน่าชังในอ้อมแขนของหญิงสาวอย่างนึกสงสัย แต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องเป็นแม่ลูกกัน เพราะตีรณาดูอวบอิ่มขึ้นคล้ายคนเพิ่งคลอดลูกมาหมาดๆ “ลูกสาวหรือลูกชายครับ น่าเกลียดน่าชังจริงๆ” ตีรณาไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง หรืออีกทีก็ไม่รู้จะปิดบังอย่างไรจึงตอบออกไปอย่างจำนนในหลักฐาน “ลูกชายค่ะ เอ่อ คุณโยมาโรงพยาบาลเพราะป่วยเองหรือว่าพาใครมาคะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้เขาโฟกัสที่ลูกของหล่อน “อ้อ ผมพาพ่อมาหาหมอ พอดีว่าลื่นตกจากโต๊ะ ตอนนี้กำลังทำแผลอยู่ในห้องฉุกเฉินครับ” “ตายจริง เป็นอะไรมากไหมคะเนี่ย” หญิงสาวมีสีหน้าตกใจ “ไม่มากครับ” ชายหนุ่มตอบ พลางหลุบตามองหนูน้อยอีกครั้งอย่างพินิจพิเคราะห์ หญิงสาวรู้สึกไม่สบายใจกับสายตานั้นนัก พอดีกับที่ป้าอิ๋วขับรถมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล หญิงสาวจึงเอ่ยขอตัวกับชายหนุ่ม “ตี่ไปก่อนนะคะ” “เดี๋ยวครับ...” หญิงสาวชะงักงัน ขณะที่อีกฝ่ายมองหล่อนด้วยสายตารู้สึกผิด “ผมต้องขอโทษคุณ ที่ด่วนตัดสินเรื่องลูกค้าคนนั้นด้วยนะครับ” หญิงสาวยิ้มให้ชายตรงหน้าและมองด้วยแววตาปราศจากความขุ่นเคือง “ตี่ลืมไปหมดแล้วค่ะ ดีใจที่ได้เจอกันอีกนะคะคุณโย” “ครับ” ผู้จัดการหนุ่มยิ้มส่งหญิงสาว พอรถคันเล็กลับสายตา ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดหาใครบางคนทันที คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงในห้องชุดส่วนตัวกดรับสายทั้งที่ยังหลับตา “อืม ว่าไงคุณโย วันนี้คุณกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ไม่ใช่เหรอ” ผู้จัดการหนุ่มฟังคำถามของเจ้านายและมองตามท้ายรถยนต์ของตีรณาก่อนตอบเจ้าของเสียงแหบพร่าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน “ครับคุณไทม์​ ตอนนี้ผมอยู่โรงพยาบาล” คำตอบของผู้จัดการทำให้คนที่หลับตาคุยต้องลืมตาโพลง คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับมือขวาของเขาเข้าแล้ว “เกิดอะไรขึ้น” ร่างใหญ่โตผุดนั่ง หัวหูยุ่งเหยิง แต่กลับยังน่ามองอยู่ดี “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยกับพ่อผม ก็เลยพามาโรงพยาบาล แต่ที่ผมโทร.มารบกวนคุณไทม์ตอนนี้เพราะมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าครับ” คนฟังนั่งขมวดคิ้วนิ่วหน้า เรื่องอะไรของมันวะ... “เรื่องอะไร” ผู้จัดการหนุ่มนิ่งคิดอยู่อึดใจ ก่อนตอบออกไป “ผมพบคุณตี่ที่นี่โดยบังเอิญครับ” คนที่กำลังงัวเงียเตรียมล้มตัวลงนอนอีกรอบมีอันนิ่งค้าง สุ้มเสียงก็เงียบหายไปหลายอึดใจจนฝ่ายโน้นต้องร้องเรียกกลับมาเพราะคิดว่าสายหลุดไปแล้ว “คุณไทม์ครับ ยังอยู่ในสายไหมครับ” “อะ อืม ยังอยู่” ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจแผ่วเบา หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “แล้วทำไม มีอะไรหรือเปล่า หรือจะโทร.มาบอกผมแค่นี้” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจ ทำให้ผู้จัดการหนุ่มเริ่มลังเลว่าเขาควรบอกอีกฝ่ายดีหรือไม่ แต่อะไรบางอย่างในตัวของสองแม่ลูกทำให้เขาอยากบอก “มีอีกเรื่องครับ คิดว่าคุณไทม์อาจจะอยากรู้” คนฟังหรี่ตาแคบ เมื่อผู้จัดการเริ่มมีลูกล่อลูกชนแปลกๆ แล้วอะไรที่เขาจะอยากรู้ เรื่องของผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นเรื่องเก่าที่เขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เขาดันลิ้นกับกระพุ้งแก้มรู้สึกกระดากกับความคิดก่อนหน้า “มีอะไรก็รีบบอกมาเถอะ ผมง่วง” เขาบอกตามตรง หลายวันมานี้เวลานอนมีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก “คุณตี่เธอมาคลอดลูกครับ เด็กตัวอวบมาก หน้าตาน่าเกลียดน่าชัง เหมือน...@#%$?@#$%^&...” ทีปกรหูดับไปตั้งแต่ที่ผู้จัดการหนุ่มบอกว่าตีรณาคลอดลูกแล้ว จากนั้นเขาไม่ได้ยินอะไรอีกนอกจากเสียงหัวใจของตนเองที่ดังรัว ขนหัวลุกซู่ มือเย็นเยียบด้วยความรู้สึกยากที่จะบรรยายออกมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม