chapter 1 ใคร...ในรถ

1981 คำ
chapter1  chapter1 ใครในรถ อ็อด…….อ็อด…..อ็อด เสียงแจ้งเตือนดังก้อง เรียกสติคนที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้นให้หลุดออกจากพวังค์ เกนหลง ละจากสิ่งที่ทำอยู่ก่อนจะปาดหลังมือเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายทั่วกรอบหน้าสวย ดวงตากลมโตที่เคยซุกซนตามวัยบัดนี้เต็มไปด้วยความอ่อนล้าโรยแรง เด็กสาววัยย่างเข้าสิบเจ็ดปรือหนังตาที่แทบจะต้านทานความเหน็ดเหนื่อยของร่างกายไม่ไหวขึ้นมองนาฬิกาแขวนพนังเรือนใหญ่เหนือหัวอีกครั้ง เพื่อยืนยันสิ่งที่หูได้ยิน เบื้องหน้าเข็มนาฬิกาวิ่งทวนไปเรื่อยๆตามที่ควรจะเป็น ก่อนจะหยุดลงที่ตัวเลขเดิมดังคาด ‘เลิกงานแล้วสินะ’ เกนหลงรำพึงในใจเพียงชั่วครู่ร่างกายที่ตรากตรำงานหนักมาทั้งวันจึงค่อยๆระบายลมหายใจออกมาเบาๆ “จะเที่ยงคืนแล้ว” ริมฝีปากสีธรรมชาติเอ่ยออกมาคล้ายคนกำลังคิดไม่ตก ดวงหน้าที่เคยสดใสซีดขาวราวกระดาษเมื่อในหัวผุดนึกถึงสถานที่ที่เธอต้องไปหลังจากนี้ เด็กสาวรีบหันซ้ายแลขวาสำรวจอุปกรณ์ก่อนจะจัดเก็บมันให้ครบครันตามหน้าที่ แม้จะยังไม่มากอายุเท่าคนอื่น แต่เกนหลงก็ไม่เคยทำงานน้อยกว่าใครเลยสักนิด เพราะเจ้าตัวคิดว่าโรงงานแปลรูปเนื้อสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด ไม่ใช่ใครก็เข้าได้ โดยเฉพาะเด็กสาวต่างถิ่นอย่างเธอ เกนหลงจึงมุมานะ ตั้งใจขายแรงงานอยากหนักจนในที่สุดความพยายามก็ตอบแทนเธอ เกนหลงสามารถเบียดเพื่อนร่วมรุ่นขึ้นมาเป็นพนักงานประจำได้ในวัยเพียงสิบเจ็ดปี และนั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตเธอ “เมื่อไรจะหลุดพ้นจากกะบ่าย” เด็กสาวสบถเบาๆในรำคอถึงช่วงเวลาทำงาน ที่เด็กสาวกล้าพูดออกมาจากปากว่าไม่มีใครชอบช่วงเวลานี้ กะบ่าย กะที่ผู้คนขนลุกชันและหวาดกลัวกันมากที่สุด ให้พูดกันตามตรง ใครจะอยากเลิกงานค่อนคืนกัน ยิ่งเป็นโรงงานที่อยู่นอกเขตชุมชน ทั้งอ้างว้าง และมืดมิด โรงงานที่มักต้องฆ่าสัตว์เอามาแปลรูป ตกกลางคืนเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังระงมไหนจะกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาลอยมาตามลมจนอบอวนหน้าคลื่นเ**ยนอาเจียนนั่นอีก แม้โรงงานแห่งนี้จะมีการจัดสวัสดิ์การบ้านพักใว้ให้กลับพนักงานทุกคน แต่ว่าก็ว่าเถอะ จากที่กล่าวมาข้างต้น ใครกันอยากจะมาอยู่ ถึงยอมมาอยู่ น้อยคนที่จะทนอยู่ได้นาน หนึ่งในนั้น ก็คือคนไร้ทางเลือกอย่างเกนหลง ความคิดฟุ้งซ่านพลันสะดุดลงเมื่อเสียงกริ่งดังระงม เด็กสาวลอบมองนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะนึกถึงระยะทางสันจรจากตรงนี้ไปถึงในเมือง ยิ่งคิดใจดวงน้อยยิ่งบีบรัดจนทั้งร่างออกอาการกระสับกระส่าย จนกระทั่งเงาร่างของใครคนนึงเดินก้าวเข้ามาในระยะไกล้ เสียงฝีเท้าที่มักได้ยินยามค่อนคืนทำเอาเด็กสาวขมวดหัวคิ้วจนชนชิด จนเมื่อร่างโผล่พ้นออกจากเงารัตติกาลเครื่องหน้างดงาม ทว่านัยน์ตาดุดันของผู้จัดการสาวก็ปรากฏสู่สายตาคนตัวเล็ก เกนหลงสูดกลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากร่างอวบอิ่มตรงหน้าเข้าไปจนเต็มปอด สองในตากลมโตพราวระยับเมื่อผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา “พี่แจ่มจ้ะ” เสียงแหบหวานเอ่ยเรียกผู้จัดการสาวที่ห่างกันเกือบรอบเบาๆ ทั่วทั้งดวงหน้าเปร่งประกายไปด้วยความหวัง เกนหลงจำได้ดีว่าอีกฝ่ายมีรถยนต์ และหากเป็นไปได้ วันนี้ เธอจะใจกล้าขอติดรถพี่แจ่มออกไปสักหน่อย อย่างน้อย แค่จนถึงถนนใหญ่ก็ยังดี…… หากแต่สิ่งที่คิดในหัวก็พลันถูกพับเก็บเมื่อถูกสายตาเย็นชาของอีกฝ่าย ตวัดมองนิ่งๆเกนหลงสำผัสได้ถึงความเกลียดชังจากผู้จัดการสาวได้อย่างชัดเจนแม้เจ้าตัวจะไม่พูดออกมาเลยสักคำ แจ่มจันทร์ หรือพี่แจ่ม ที่เด็กสาวเรียก ทำเพียงจ้องเกนหลงกลับนานนับสิบนาที เสี้ยวหน้าเรียบนิ่งปรากฏร่องรอยเเห่งความสงสัยชั่วครู่ ก่อนที่มุมปากสีสดจะผุดรอยยิ้มอ่านยาก “พี่แจ่มจ้ะ….หลงขอรบกวนติดรถพี่ออกไปด้วยได้ไหมจ้ะ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ เกนหลงจึงตัดสินใจเอ่ยประโยคที่ใจคิดด้วยท่าทางพินอบพิเทา แม้เพียงจะขอความช่วยเหลือ เด็กสาวยังไม่กล้าปรือตามองผู้จัดการสาวตรงๆ ดวงหน้างามหมดจรดหลุบลงมองพื้น เสียงหัวใจที่เคยสงบเงียบเริ่มเต้นโครมครามดังขึ้นมาเป็นระยะ เกนหลงคาดหวังด้วยความริบหรี่ ว่าผู้จัดการคนสวยจะตอบรับความปรารถนาของเธอ จนกระทั่ง.. “อืม…จะไปก็รีบตามมา” คล้ายดังเสียงประทัดจีนระเบิดในใจ ร่างแบบบางแทบลอยเหนือพื้น เกนหลงฉีกยิ้มจนสองข้างแก้มขึ้นขีดเล็กๆ มือน้อยรีบสารวนเก็บข้าวของใส่กระเป๋าก่อนจะรีบวิ่งตามคนแก่กว่าออกไป เสียงสตาร์ทรถยนต์ดังกระหึ่มอยู่ตรงหน้า แสงไฟสีเหลืองนวลสาดกระทบอาบทั้งร่างเด็กสาว เกนหลงยกมือป้องดวงตาที่พลันขัดเคืองจากแสงไปเมื่อครู่ก่อนที่ดวงตาสีอ่อนจะปรือมองไปยังรถหรูอีกครั้ง “หืม” เสียงแหบหวานพึมพำในรำคอ หัวคิ้วเรียวขดรัดอีกรอบเมื่อในรถที่ควรมีแต่ผู้จัดการสาวกลับมีใครอีกคนนั่งอยู่เคียงกัน เงาที่เกนหลงคุ้นตาเหลือเกิน มือน้อยกดกระชับมีดสีเงินจนลึกสุดกระเป๋า เกนหลงกำมันแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ปี๊ป!” เสียงแตรรถลากยาวหนึ่งครั้ง เกนหลงสะดุ้งเฮือก เสียงที่ดังแหวกอากาศเมื่อครู่ดังพอจะเรียกสติคนตกในพวังค์ให้กลับมาเข้าที่ และมันก็ดังพอให้เด็กสาวรับรู้ถึงอารมณ์ของคนในรถด้วยเช่นกัน เกนหลงสลัดความสงสัยที่ผุดขึ้นเต็มหัวออกไปจนหมด นัยน์ตาสีอ่อนเบนมอง โรงงานผลิตเนื้อแปลรูปอีกครั้ง สายลมยามค่อนคืนผัดโชยผ่านร่างบางอยู่วูบนึง หากอต่มันเย็นวาบจนขนอ่อนแถวต้นคอขาวลุกชัน ประกอบกลับที่บัดนี้ทั้งโรงงานมืดสนิท คงเหลือเพียงแผนกที่เกนหลงทำเท่านั้น ที่ยังหลงเหลือสิ่งมีชีวิตอยู่ แม้พื้นฐานเกนหลงจะเป็นคนขี้เกรงใจมากแค่ไหน เด็กสาวก็ไม่อาจทำใจกล้ายืนตรงนี้ต่อแม้สักครึ่งนาที “เอาวะ..ตายเป็นตาย” ร่างบอบบางของเด็กสาววัยสิบเจ็ดเดินตัวลีบมายืนข้างรถ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจคว้าเปิดที่ประตูหลัง “นั่งข้างหน้าสิ” มือขาวละออกจากประตูหลังอัตโนมัตทันทีที่รับคำสั่ง เกนหลงช้อนสายตามองไปยังหน้ารถอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตำแหน่งคนขับถูกสับเปลี่ยนเป็นพี่แจ่ม แทนพี่จะเป็น เฮียอากรณ์ ผู้ที่เป็นสามี ดวงหน้าหวานก็พลันผุดร่องรอยแห่งความสงสัยขึ้นมาเป็นรอบที่สามของวัน ‘เพราะพี่แจ่มเป็นคนขี้หึง จึงแทบไม่มีครั้งไหนเลย ที่แกจะปล่อยให้เฮียอากรณ์คลาดสายตา..แล้วทำไม..’ “มองหาใคร”เสียงเย็นเยียบคล้ายอากาศในวันฝนตกเอ่ยถามออกมาเรียบนิ่งผู้จัดการสาวเอ่ยด้วยเนื้อเสียงสุภาพหากแต่เต็มไปด้วยความกดดันจนเกนหลงขวัญกระตุก ดวงตากลมโตหลุบลงมองหน้าตักตัวเองตามความเคยชิน ก่อนจะตอบคำถามเสียงสั่น “ป่าวจ้ะพี่แจ่ม…หลงแค่คิดว่าพี่แจ่มนั่งเบาะหน้า พอพี่แจ่มให้หลงนั่ง หลงเลยสงสัยว่าใครจะขับจ้ะ” เกนหลงตอบพาซื่อ เลี้ยงจะเอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นก่อนขึ้นรถ “ไม่ต้องมาคิดแทนฉัน” “อย่าสอดรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ ฉันส่งเธอได้แค่ปากทาง ถ้าอยากไปด้วยกัน ก็นั่งเงียบๆ” แผ่นหลังงามตั้งตรงแบบอัตโนมัติ ความเย็นของเครื่องปรับอากาศรถหรู ค่อยๆไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุด ร่างเล็กก็พลันหดห่อไหล่ด้วยความสะท้าน หากแต่มันไม่ได้มีเพียงแค่ความเย็น มันกลับมีกลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่างโอบล้อมไปทั่วทั้งรถคันนี้ด้วย เกนหลงย่นจมูก เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าทวีความรุนแรงเรื่อยๆ คล้ายกลับมันอยู่ไกล้แค่ปลายจมูก คนตัวเล็กเริ่มนั่งไม่ติดเพนาะหากยังได้รับกลิ่นนี้ไปอีกสักหน่อย ไม่แคล้วคงได้พ่นอาเจียนออกมาจนเปลอะไปทั่วรถหรูคันนี้แน่ “พี่แจ่ม..หลงขอเปิดกระจกหน่อยได้ไหมจ้ะ เหมือนว่ากลิ่นสาบเนื้อจะติดตัวหลงมา เดี๋ยวมันจะเหม็นไปทั้งรถของพี่แจ่ม” มือที่จับพวงมาลัยพลันชะงักกึก แจ่มจันทร์เบนสายตามองลูกน้องสาว นัยน์ตาสีอำพันกระตุกสั่นไหว ก่อนจะกลับเป็นปกติในเสี้ยววินาทีเดียวกัน “ไม่ต้องเปิด” “รถฉันพึ่งล้างมา” “ถึงแล้ว รีบลงไป” เสียงแหบติดดุเอ่ยออกมาทันทีที่รถเก๋งคันหรูเทียบจอดติดฟุตบาท แม้จะยังงงอยู่บ้างแต่เกนหลงก็ยังคลายมือออกจากปีกจมูกมายกไหว้คนแก่กว่าด้วยท่าทางนอบน้อม ร่างบอบบางรีบก้าวลงรถ พร้อมปิดประตูให้อย่างแผ่วเบา เเละเพราะจุดที่ลงเป็นฝั่งเดียวกลับทางที่รถสัญจรผ่าน เกนหลงจึงต้องรีบย้ายตัวเองมายืนฝั่งฟุตบาท ดวงตากลมโตสอดส่ายหาที่ทางที่พอจะพักพิงได้บ้าง และดูเหมือนโชคจะเข้าข้างคนตัวเล็กอยู่ไม่น้อย เมื่อห่างออกไปราวสองร้อยเมตร ปรากฏเป็นศาลารอรถขนาดเล็กตั้งกระง่านอยู่ เครื่องหน้าหวานระบายยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเบนสายตากลับไปมองคนรถเก๋งคันหรูที่ยังจอดอยู่อีกครั้ง เกนหลงนึกขอบใจที่แจ่มอยู่เหมือนกัน และเผลอผุดความคิดในใจที่ว่า อีกฝ่ายคงเป็นห่วงเธออยู่บ้าง ถึงยังไม่เคลื่อนรถออกไปไหน ร่างบอบบางจึงโน้มตัวลงไปมองแนบข้างกระจกใสอีกครั้ง ก่อนจะพงะหงายหลัง เมื่อมีดวงตาอีกคู่มองสวนออกมาด้วยแววตาดุดัน “ถอยออกไป!” เข้มตวาดออกมานอกรถ มันดังก้องในหููไปจนถึงเส้นประสาท กราฟหัวใจที่พึ่งกระเจิงจากภาพก่อนหน้าสั่นกระตุกคูณสอง เกนหลงมั่นใจว่าเมื่อครู่ เธอดูดีแล้ว ในรถคันหรู ไม่มีใครอื่น นอกจากเธอและพี่แจ่ม แล้วคนในรถมาได้อย่างไร? ความคิดในหัวแตกกระเจิง กระตุ้นให้ขนอ่อนลุกชันไปทั้งร่าง ขณะที่เสียงตวาดยังดังก้อง ในหู รัวรับกลับเสียงหายใจหอบกระชั้นของเธอ เด็กสาวปลายตามองไปยังเบาะหน้าอีกครั้งหวังจะเห็นความตระหนกจากผู้จัดการสาวเช่นกัน แต่ผิดคาด พี่แจ่มที่นั่งอยู่ในรถกลับนิ่งงัน อีกทั้ง ในตาสีอำพันติดดุ ยังทิ้งความสนใจทั้งหมดลงที่ศาลาตรงหน้าแทน ความไม่ปกติค่อยๆกลืนกินความคิดเด็กสาวทุกห้วงขณะความคิด เด็กสาววันสิบเจ็บกอดกระชับกระเป๋าผ้าไปเก่าแน่น ร่างเล็กไม่กล้าแม้จะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยซ้ำ กระทั่งเสียงปลดล้อคของรถหรูดังขึ้น เกนหลงหลับตาปี๋เด็กสาวม่มีความกล้าปรือมองสำรวจรถหรูเป็นครั้งที่สอง และไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากพี่แจ่มเช่นกัน สาวร่างเล็กรีบพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ไปยังศาลาตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม