บทที่ 3 วังหลวงสั่นสะเทือน!

1331 คำ
บทที่ 3 วังหลวงสั่นสะเทือน! เซี่ยหยู่หามุมลับ แอบเข้าสู่มิติ เปลี่ยนมาสวมชุดสีดำสนิท ภายใต้แสงจันทร์ นางเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วดุจแมวกลางคืน ดวงตาเปล่งประกายวาววับ เมื่อลัดเลาะมาถึงตำหนักฮองเฮา เซี่ยหยู่หยิบหน้ากากป้องกันสารเคมีออกมาสวม ก่อนจะเอาเครื่องพ่นสารละอองที่ผสมยานอนหลับสูตรล้มช้างออกมา รมควันคนทั้งตำหนักในพริบตาเดียว ภายในตำหนักฮองเฮาเต็มไปด้วยของหรูหรามากมาย นางแค่ขยับมือเบาๆ แก้วแหวนเงินทองทั้งหมดก็หายวับเข้ามิติ [ติ๊ง! ยอดเงินถึงเป้าหมาย ปลดล็อคประตูชั้น 2] เซี่ยหยู่กะพริบตาปริบๆ อดจะร้อง “โห!” ออกมาไม่ได้ แค่ตำหนักฮองเฮาก็อัพเกรดมิติได้แล้วเรอะ…สุดยอด! [ติ๊ง! ศูนย์การค้าเปิดใช้งานแล้ว] “ศูนย์การค้า…? อยากลองแวะเข้าไปดูจัง แต่เอาไว้ทีหลังละกัน” เด็กสาวเดินต่อจนมาถึงสวนหย่อมข้างตำหนัก นางยกมือกวาดเบาๆ ต้นไม้มงคล ดอกไม้หอมทั้งสวนก็ถูกเก็บเข้ามิติเรียบร้อย ศาลาทรงแปดเหลี่ยมสุดหรูก็ไม่เว้น เซี่ยหยู่วิ่งลัดเลาะไปยังตำหนักสนมต่อ กวาดเอาของใช้สมบัติเล็กน้อยติดไม้ติดมือมาด้วย สนมพวกนี้ไร้เส้นสาย สมบัติในตำหนักเลยน้อยนิด แต่ปากมากเกินความจำเป็น เซี่ยหยู่ไม่คิดจะปรานี มือเดียวก็กวาดเอาของมีค่าทั้งหมดของพวกนางมาจนเกลี้ยง เซี่ยหยู่เคลื่อนไหวต่อ ไม่นานนักก็มาถึงคลังหลวง พลันนั้น ดวงตากลมโตของนางก็ทอประกาย “โอ๊ะ ข้าวสาร ข้าวสาลี ข้าวขาว…กวาด!” “หีบเงิน หีบทอง…กวาด!” “แก้วแหวนเงินทอง กองอัญมณี…กวาดอีก!” “เครื่องบรรณาการ ไข่มุก ประการัง…เก็บเรียบ!” “ผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าฝ้าย…เก็บอย่าให้เหลือ!” [ติ๊ง! หอตำราเพิ่มเป็นระดับ 2] [โฮสต์ต้องการเรียนรู้เลยหรือไม่] “ได้สิ เรียนเลย” นางตอบ เพียงพริบตา พลังกาย พลังปราณพลันเพิ่มขึ้นอีกระดับ ร่างกายเบาสบาย เคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายลม ในขณะวิ่งไปตามเงามืด เซี่ยหยู่ยิ้มบางๆ ด้วยความพอใจ เมื่อความเหนื่อยล้าหายไปสิ้น เหลือเพียงความฮึกเหิม อีกทั้งท้องฟ้ายังไม่สว่างดี เซี่ยหยู่ไม่รอช้า มุ่งหน้าสู่ห้องเครื่องกับกรมแพทย์หลวง นางยังคงใช้แผนเดิม วางยานอนหลับ ก่อนจะกวาดเอาข้าวของทั้งหมดเข้ามิติรวดเดียว [ติ๊ง! ทรัพยากรในคลังถึงเป้าหมาย ปลดล็อคประตูชั้น 3] [ติ๊ง! ความรู้วิชาแพทย์ขั้นต้นเปิดใช้งาน] [ติ๊ง! ศูนย์การค้าเพิ่มเป็นระดับ 3] เซี่ยหยู่เก็บกวาดสมบัติในวังหลวงเข้ามิติอย่างเพลิดเพลินราวกับกำลังตามล่าขุมทรัพย์ เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังไม่หยุด ทว่าขณะวิ่งกลับตำหนักองค์หญิง ใจของนางกลับรู้สึกหนักหน่วง นอกกำแพงเมือง ชาวบ้านยังอดอยากท่ามกลางภัยแล้ง แต่ภายในวัง สมบัติของจักรพรรดิกลับล้นพระคลัง อาหารในห้องเครื่องก็สุดจะหรูหรา แสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิกับขุนนางชั่วขูดรีดประชาชนมาไม่น้อย คิดมาถึงตรงนี้ เซี่ยหยูก็กลับมาถึงตำหนักแล้ว เมื่อเห็นองค์หญิงกลับมาอย่างปลอดภัย ลี่ถิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก นางกำนัลผู้แสนภักดีไม่ได้ถามองค์หญิงว่าไปที่ใดมา ด้วยเกรงว่าองค์หญิงที่กลับมามือเปล่าจะเศร้าเสียใจ แต่กลับกล่าวปลอบเบาๆ “ไม่เป็นไรเพคะ ของขององค์หญิงหม่อมฉันจัดใส่หีบเรียบร้อยแล้ว แม้บางส่วนจะหายไปบ้าง แต่ก็ยังมากพอให้ใช้ชีวิตที่ชายแดนได้อีกสองสามปีเลยเพคะ” “อ้อ” เซี่ยหยู่ตอบสั้นๆ ก่อนจะนั่งพักเอาแรง รอเวลาออกเดินทางในรุ่งเช้า .. .. รุ่งอรุณมาเยือน ลี่ถิงช่วยองค์หญิงเซี่ยหยู่อาบน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ถึงใต้ตาของนางจะคล้ำเพราะนอนไม่พอ แต่เซี่ยหยู่ในวัย 16 ปีกลับเปล่งประกายความงดงาม ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวเนียนดุจไข่มุก ดวงตากลมโตซ่อนความดื้อรั้น จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้ม ความงามลงตัวราวถอดแบบจากหวงกุ้ยเฟยสมัยยังสาว ด้านองค์ชายสามเซี่ยอวี้อายุ 5 ขวบ ใบหน้าเล็กยังกลมแป้นแบบเด็กๆ แก้มยุ้ยนุ่มนิ่ม ดวงตาไร้เดียงสาแม้จะบวมช้ำเหมือนหมีแพนด้าเพราะร้องไห้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่โดยรวมแล้ว เจ้าตัวเล็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่ต่างจากพี่สาว ตอนเดินมาขึ้นรถม้า องค์ชายน้อยเดินผ่านพี่สาวหน้าตาเฉย และก้าวขึ้นรถม้าไปอย่างหน้าตาเฉย จะมีก็แต่แม่นมจื่อฮวาที่หยุดคารวะอย่างนอบน้อมให้กับองค์หญิง สองพี่น้องเกิดจากมารดาเดียวกันก็จริง แต่ด้วยวัยที่ต่างกันมาก ทั้งนิสัยที่เข้ากันไม่ได้ ทั้งคู่จึงไม่มีความสนิทสนมกันแม้แต่น้อย เซี่ยหยู่เห็นน้องชายเมินใส่ก็เพียงยักไหล่ ก่อนก้าวขึ้นรถม้าของตน ในสถานการณ์แบบนี้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่า ราชโองการครั้งนี้แม้ไม่ต่างจากการเนรเทศ แต่ฮ่องเต้สุนัขกลับไม่ได้ถอดถอนฐานันดร พวกนางจึงได้โดยสารรถม้า ทั้งยังมีแม่ทัพที่เพิ่งถูกแต่งตั้งกับทหารองครักษ์อีกสามสิบนายคุ้มกันไปตลอดทาง ขณะเซี่ยหยู่กำลังจะปิดผ้าม่านลง องค์ชายใหญ่เซี่ยไคเหริน ก้าวฉับเข้ามา แล้วยื่นห่อขนมกับถุงเงินเล็กๆ ให้น้องสาว “เสด็จพี่ใหญ่?” พี่น้องของเซี่ยหยู่มีมากมาย แต่กลับมีเพียงพี่ชายคนโตที่เกิดจากสนมชั้นเล็กๆ มาส่งอย่างนั้นหรือ แปลกจริง ตั้งแต่อายุ 14-15 เซี่ยไคเหรินก็จับดาบเข้าสู่สนามรบ พออายุครบ 20 บริบูรณ์ เขาก็ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ ดังนั้นใบหน้าของพี่ชายใหญ่คนนี้จึงบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มิได้เกลียดน้องๆ เพียงแต่รู้สึกเฉยๆ เท่านั้นเอง เซี่ยไคเหรินเกิดจากมารดาเผ่าหนี่ว์ เพราะอย่างนั้นจึงไม่อาจมีสิทธิ์ชิงบัลลังก์ เขาเองก็ไม่ได้สนใจ แล้วจะสิ้นเปลืองพลังงานคิดเรื่องบัลลังก์ไปทำไม “ขนมจากตำหนักข้า น้ำใจเล็กๆ รับไว้สิ” เซี่ยไคเหรินกล่าวเสียงขรึม “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพี่ ว่าแต่…” เซี่ยหยู่รับของพลางยิ้มแฉ่ง ก่อนจะแกล้งสอดส่ายสายตามองหาองค์หญิงองค์ชายองค์อื่น “เมื่อคืนมีโจรบุกวัง ของหายเกลี้ยงเหมือนพวกมันเดินได้เอง ทุกตำหนักวุ่นวายกันหมด เช้านี้ไม่มีใครมีกะจิตกะใจมาส่งเจ้าหรอก” เซี่ยหยู่ได้ยินแบบนั้นก็ตีหน้าหวาดผวา “ต้องเป็นผีแน่นอนเพคะ” “เฮอะ!” เซี่ยไคเหรินแค่นหัวเราะ “งมงายเหลวไหล ผีที่ไหนจะวางยานอนหลับแล้วค่อยขโมย” “จริงๆ แล้ว เมื่อวานตำหนักของข้ากับองค์ชายสามก็ถูกปล้นนะ ข้าวของหายเกลี้ยง เสด็จพี่ช่วยจับคนร้ายให้ทีเถิด หากปล่อยให้หายไร้ร่องรอยเช่นนี้ ศักดิ์ศรีราชวงศ์ต้าเซี่ยคงกลายเป็นเรื่องตลก” เซี่ยหยู่ฉวยโอกาสฟ้องเซี่ยไคเหริน ให้เขาจัดการเหล่านางกำนัลกับขันทีที่ใช้ความวุ่นวายจากราชโองการเก็บของในตำหนักหนีหาย เซี่ยไคเหรินไม่ใช่คนโง่ ย่อมเข้าใจความต้องการของเซี่ยหยู่ แม้เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเซี่ยไคเหริน แต่หากนึกถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีของราชวงศ์ การที่คนรับใช้ขโมยของเจ้านายย่อมเป็นเรื่องที่ไม่สมควร “ได้” เซี่ยไคเหรินตอบอย่างเคร่งขรึม “ขอบพระทัยเพคะ แล้วพบกันนะ” เซี่ยหยู่กล่าวลาด้วยรอยยิ้มที่สดใส เซี่ยไคเหรินพยักหน้าอีกครา “อืม...เอ๊ะ!?” อึดใจสั้นๆ ดวงตาเข้มดุจพญาเหยี่ยวพลันฉายความประหลาดใจ...แล้วพบกันหรือ? เซี่ยหยู่คงไม่ได้เข้าใจว่า นางกับองค์ชายสามถูกฮ่องเต้ส่งไปเมืองชายแดน เพียงให้ไปเดินเล่นหรอกกระมัง หือ!?
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม