ว่าแล้วก็กัดฟัน ระบบลืมไปหรือเปล่าว่าตอนนี้เธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ทำไมภารกิจแต่ละอย่างเสี่ยงชีวิตทั้งนั้น… ถ้าจะเยอะขนาดนี้ไม่ส่งเธอเข้าสวมร่างผู้ชายไปเลย ให้รู้แล้วรู้รอด!
“เริ่มต้นทำภารกิจ เป้าหมายกำลังเคลื่อนที่ทิศตะวันตก ห่างจากจุดที่คุณอยู่หนึ่งจุดห้าร้อยเมตร”
จ้าวเฟิงอยากจะกลอกตา ไม่บอกล่ะว่าหนึ่งกิโลเมตรกับอีกห้าร้อยเมตร
แต่บ่นในใจไปก็เท่านั้น จึงหันมาจับมือพี่สาวบอกว่าอยากออกไปเดินเล่น ยังไม่อยากเข้าบ้านเพื่อซื้อขนม
“พี่กุ้ยเหมย ฉันอยากไปเดินเล่น อยากหาขนมกิน”
“เอาสิ ถ้าอย่างนั้นฉันกับเสี่ยวเฟิงไปเดินเล่นก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ เด็กคนนี้ยังต้องบำรุงอีกมาก”
หมอฝูไม่ขัด เขายังต้องไปติดต่อเพื่อนเก่าเพื่อหาแหล่งซื้อสมุนไพรที่เชื่อถือได้ อีกทั้งตอนนี้ยังเย็นไม่มาก ให้พวกเธอได้สนุกบ้าง ดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน
จ้าวเฟิงเดินไปตามที่ระบบบอก แต่เธอกลัวโจวกุ้ยเหมยจะได้รับอันตราย จึงหาข้ออ้างให้อีกฝ่ายแยกไปอีกทาง ส่วนเธอเดินฝ่าผู้คนเพื่อมองหาเป้าหมาย
“เท่าที่เห็น ไม่มีใครสวมเครื่องแบบ อาจเป็นไปได้สูงว่าพวกเขามาพักผ่อน หรือทำภารกิจลับที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตน” จากการวิเคราะห์คร่าวๆ มันยากที่จะหาตัวทหารคนดังกล่าว แต่เธอยังต้องมองว่าใครที่น่าจะเป็นไปได้
ครั้งหนึ่งเธอเกือบช่วยคนผิด อีกนิดคุณนายหลีจะถูกรถชน แต่เธอกลับเจ็บตัวแทน ทั้งหมดมันเพราะความใจร้อน ตอนนี้เธอไม่อาจตัดความน่าจะเป็นออกไปได้เลย
มีสติเข้าไว้จ้าวเฟิง!
เดินวกไปวนมาอยู่ในละแวกนั้น มีพ่อค้าหาบเร่นั่งซุกตัวอยู่ข้างกำแพง มองผ่านๆ ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หางตาเธอกลับเห็นวัตถุที่ซ่อนไว้ในกระบุงสีดำเมื่อม คราวนี้จ้าวเฟิงไม่กล้าละสายตาไปจากเขา แต่ก็ไม่กล้ามองตรงๆ เช่นกัน เพียงเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น
ในเมื่อเจอตัวสายลับ การหาเป้าหมายจะไม่ยากอีกต่อไป…
“เหลือเวลาทำภารกิจอีกสี่นาที! ภารกิจช่วยชีวิตจะเริ่มขึ้นแล้ว”
“สี่นาที? แสดงว่าเขาต้องอยู่แถวนี้แล้ว”
จ้าวเฟิงจับจ้องพวกสายลับ เห็นว่าเขามองไปที่ใด เธอก็มองตาม จนได้เห็นชายหญิงคู่หนึ่งที่คล้ายคนรักเดินกอดแขนเที่ยว หากแต่ลักษณะเด่นตามจังหวะก้าวเดินที่ลงอย่างมั่นคง ยิ่งสังเกตจะยิ่งเห็นว่ามันลงแทบจะพร้อมกันทุกการขยับ นี่คือบุคลิกของทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี
ขอบคุณความเข้มงวดของปู่ ที่มักจะพูกกลอกหูตอนไปเยี่ยม ทำให้เธอมีข้อมูลมาประกอบการวิเคราะห์ เป็นคนช่างสังเกตถ้าต้องการ
สองขาค่อยๆ เดิน มือสองข้างกอดอกมองดูเหมือนหาสิ่งที่น่าสนใจเพื่อซื้อ เพราะมีประสบการณ์เจ็บตัว เธอจึงไม่วิ่งไปช่วยผลักหรือดึงเป้าหมาย แต่เลือกเสี่ยงไปใกล้คนที่น่าจะเป็นสายลับ
ถึงอย่างนั้น เพราะความปลอดภัยจึงไม่ไปอยู่ประชิดตัว แค่รอจังหวะขัดขวางไม่ให้ทำสำเร็จ เชื่อว่านอกจากทหารคู่ชายหญิง น่าจะมีคนอื่นอยู่ในละแวกนี้
“โอ้มีถั่วคั่วทรายด้วย! แม่ค้าขายยังไง” เจอของดีเข้าแล้ว สิ่งนี้แหละที่จะช่วยให้รอดตาย
ทำท่าซื้อถั่วกองใหญ่ แต่พอคิดว่าอาจทำให้แม่ค้าเสียใจจึงเหมาหมด เพราะอีกเดี๋ยวเธอจะต้องใช้มันปกป้องตัวเอง
“เริ่มแล้ว!”
“ย้าก!!!!!” พอจ่ายเงินปุ๊บ จ้าวเฟิงก็ยกถาดทรายร้อนๆ สาดใส่สายลับที่หยิบปืนขึ้นเล็งจะยิง ทำให้เขาเสียโอกาสยิงพลาด แต่เสียงปืนที่ดังก็มากพอจะทำให้คนแตกตื่น
ปัง! ปัง!
“กรี๊ดดดด!!!!!”
“มีคนยิงปืน หมอบลงเร็ว!”
แม้แต่แม่ค้าเองยังคลานหนีหัวซุกหัวซุน ไม่สนสาแหรกถั่วสักนิด อย่างน้อยก็มีคนเหมา เงินนอนอยู่ในถุงเสื้อ ของค่อยกลับมาเก็บทีหลัง
“ใคร! มันกล้าสาดทรายที่ร้อนใส่ฉัน!” สายลับที่ยิงพลาดหันกลับมาหาคนที่ลอบกัด
จ้าวเฟิงที่ลืมโยนถาดทิ้งมีหลักฐานคามือ ปล่อยให้หล่นตุบ! แต่ไม่ทันเพราะเขาเห็นเธอแล้ว
“แหะๆ พอดีมือมันลื่นไปนิด” คำแก้ตัวนี้ไม่พูดยังดีเสียกว่า
“แกตาย!!!!”
“หว๋าช่วยด้วย!!!” ก่อนจะให้คนช่วยถือคติต้องช่วยตัวเองก่อน คว้าอะไรได้ก็ขว้างใส่ไม่ให้เขายิงถนัด ยังเต้นเป็นกบกระโดด
ปืนรุ่นนี้มันต้องเล็งเป้า ที่จริงจะรุ่นไหนหากอยากแม่นก็ต้องเล็งก่อนทั้งนั้น จ้าวเฟิงรู้ดีว่าเขาต้องประหยัดกระสุนถึงกล้าเสี่ยง ถ้าเป็นแบบแม็กกาซีนละก็… คงยิงรัวไม่มอง
เสียงคนยังกรีดร้องเพราะหวาดกลัว ฝูงชนวิ่งหนีกันอลหม่านวุ่นวาย
“หยุด! อย่าขยับ วางปืนลงซะ”
“ฝันไปเถอะ!” เสียงตะโกนจากอีกฝั่ง ทำให้ทราบว่ายังมีสายลับอีกสองคน
ปัง! ปัง! ปังๆๆๆๆ!!!! พวกเขาต่างยิงปืนใส่กัน ไม่ได้สนใจเธออีก คงคิดว่าฆ่าคนให้ได้ก่อนค่อยจัดการเด็กทีหลัง
“ตายล่ะหว๋า! แบบนี้จะช่วยเป้าหมายยังไงดีล่ะ”
“คำเตือน! สถานการณ์อันตราย! หากเป้าหมายเสียชีวิตภารกิจจะล้มเหลว”
จ้าวเฟิงกัดฟัน ในหัวครุ่นคิดเร็วจี๋!
“หมอบลง!”
มือของคนคุ้นเคยดันหัวเล็กๆ ให้หมอบต่ำหลบวิถีกระสุนได้ทันการณ์
“พี่กุ้ยเหมย!”
“เธอเนี่ยนะ ขยันหาเรื่องให้ตัวเองอยู่เรื่อย พวกสายลับจะไม่ปล่อยคนที่เป็นภัยคุกคามไว้ รวมถึงคนที่ทำลายแผนการ จะต้องฆ่าให้ตาย”
“หา! ฉันทำเพราะไม่อยากตายนะ”
“ถ้าอย่างนั้นทางรอดเดียวคือต้องจัดการเขาก่อน”
“แล้วต้องทำยังไงล่ะ พวกเขามีปืน”
โจวกุ้ยเหมยเม้มปากก่อนสายตาจะปะทะกับของในกระจาด ที่อยู่ไม่ไกล
“เห็นนั่นมั้ย”
“พี่กุ้ยเหมย! เอาจริงหรือ?” จ้าวเฟิงเบิกตากว้าง เมื่อเห็นว่าพี่สาวหมายถึงอะไร
“ถ้าเขาไม่ถูกจับ เธอตายแน่!”
“จัดไป! ถ้าจับไม่ได้ก็ให้ถูกวิสามัญไปเลย” กลัวเขานะไม่อยากทำบาป แต่กลัวตายมากกว่า
“งั้นเราพุ่งออกไปพร้อมกัน แยกกันจัดการคนละฝั่ง”
“ฉันเชื่อฟังพี่”
นัดแนะกันเสร็จสรรพ รอจังหวะที่สองฝ่ายเติมกระสุน โจวกุ้ยเหมยผลักไหล่จ้าวเฟิงพร้อมพุ่งออกไปเช่นกัน
สองคนเล็งกระจาดคนละอัน คนหนึ่งคว้าฮัวเจียว (พริกไทยเสฉวน) อีกคนคว้าถาดพริกป่น ล้วนเป็นเครื่องเทศที่ออกฤทธิ์ร้อนแรง จับได้แล้วก็สาดออกไป โดนไม่โดนยังมีอีกหลายกระจาด
“อ๊ากก!!! แสบตา”
“ฮัดชิว! โอ๊ยๆ น้ำ ใครก็ได้ขอน้ำที”
แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะแม่น หรือลมเป็นใจ สายลับทั้งสามคนต่างถูกความร้อนแรงเข้าจู่โจม แม้ปืนยังไม่เอา วิ่งเช็ดตาหาน้ำอย่างทรมาน และถูกรวบตัวได้ในที่สุด
“สำเร็จ! ฮัดเช้ย!”
“นี่อย่าเช็ดหน้าเชียวนะ! เดี๋ยวจะแสบแบบพวกเขา”
เกือบไป! ถ้าโจวกุ้ยเหมยคว้าไว้ไม่ทันจ้าวเฟิงคงขยี้จมูก แต่มันฉุนง้า..!
“ฮัดเช้ย!”
“ภารกิจสำเร็จ! โฉนดที่สวนสมุนไพรสิบเอ็ดไร่จะถูกส่งมอบในอีกสิบห้านาที พร้อมคนสวนที่มากประสบการณ์”
“เย้! รอดตายแล้วเรา”
จ้าวเฟิงที่จะจามต่อ หายเป็นปลิดทิ้ง กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ เธอจะเปิดร้านยา มีสวนสมุนไพรเป็นของตัวเอง แบบนี้ยังต้องกลัวจะหาแหล่งซื้อไม่ได้อีกหรือ ต่อให้ถูกกลั่นแกล้งก็ตาม
“ต้องขอบคุณเธอสองคนมาก ที่ช่วยเราจับตัวสายลับได้ สามคนนั้นแอบแทรกเข้ามาในเมืองเพื่อสืบความเคลื่อนไหว เพื่อทำลายความมั่นคง โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ทราบ”
นายทหารไม่ได้บอกรายละเอียดเพิ่มเติม เขาเพียงกล่าวขอบคุณ ชื่นชมไหวพริบของสองพี่น้องที่สังเกตถึงความผิดปกติ แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้คู่รักปลอมที่ออกทำภารกิจจับตาการค้าของเถื่อนต้องยกเลิก เมื่อตัวตนถูกเปิดเผย
“เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน และหวังว่าพวกเขาจะได้รับโทษ บอกตามตรงนะคะว่ากลัวจะออกมาแก้แค้น”
“วางใจได้เลยครับ พวกเขาจะได้รับโทษสูงสุด ออกมาทำร้ายใครไม่ได้อีก”
จ้าวเฟิงสะกิด บอกว่าอยากล้างมือ โจวกุ้ยเหมยจึงขอตัวหลบออกมา เธอเกรงว่าจะถูกคนตระกูลซ่งค้นพบ ตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอจะรับมือ
“พี่กุ้ยเหมย เราไปทางนู้นเถอะ ฉันยังไม่ได้อะไรเลย”
“เป็นเธอที่วิ่งหาแต่เรื่อง แล้วอยากกินอะไร จะได้พาไปถูก”
“เจียงซีหนันกวาเจี้ยง (ฟักทองแผ่นปรุงรส) ซื้อกลับไปกินเล่น เผ็ดๆ เค็มๆ หอมอร่อย”
“ได้สิ ไปทางนี้” โจวกุ้ยเหมยยิ้ม จูงมือเด็กหญิงไปซื้อของกินที่ต้องการ ยังได้มาเพิ่มอีกหลายอย่าง
“มองอะไรอยู่”
“ป้าเจียง ฉันเหมือนจะเห็นคุณนายเลย”
“ตาฝาดน่า คนตายไปแล้วจะเห็นได้ยังไง”
“จริงๆ นะ เห็นเดินซื้อของอยู่ตรงนั้น”
“เหลวไหล! มีที่ไหนมองให้ดีๆ”
“ไม่มีจริงด้วย คงเป็นคนหน้าเหมือน”
“รู้ตัวก็ดี อย่าเผลอพูดออกไปเชียว ไม่อย่างนั้นคงได้ขุดหลุมนั้นขึ้นมาดู คราวนี้สยองแน่”
“ก็จริง คิดแล้วขนลุก”
“ไป กลับบ้าน”
แม่บ้านกับคนรับใช้บ้านซ่งเดินกลับไป โจวกุ้ยเหมยจึงค่อยออกมาจากฝูงชน
“พี่กุ้ยเหมย พี่ว่าเขาจะเห็นเรามั้ย”
“เห็นแน่ แต่คงไม่เอาไปพูดหรอก ไม่อย่างนั้นทั้งบ้านจะไม่สงบอีก”
“พี่แน่ใจหรือ ว่าจะไม่เป็นไร”
“สองคนนั้นคนหนึ่งคือนางเจียง อีกคนเป็นหลานสาว ทั้งคู่ขี้ขลาดตาขาว ไม่ใช่คนที่สำคัญอะไร ดังนั้นพูดหรือไม่พูดก็ไม่มีรางวัล แต่ถ้าเป็นคนของคุณนายผู้เฒ่า นั่นไม่แน่”
ดีที่โจวกุ้ยเหมยไหวตัวทัน ไม่ปล่อยให้ถูกมองนานจนมั่นใจว่าใช่ และโชคดีเมื่อคนที่พบเธอเป็นพวกปลายแถวที่สอพลอไม่เก่ง
“เสี่ยวเฟิง พรุ่งนี้ไปหาเต๋อข่าย ถามเขาว่าร้านของเก่าที่หัวถนนหมายเลขสิบหกมีคนซื้อไปแล้วหรือยัง ถ้ายัง วานเธอช่วยออกเงินซื้อร้านนั้นกลับมาให้ฉัน”
“ขอถามได้ไหมว่าทำไม หรือว่า…มันคือร้านของตระกูลโจวที่ถูกแย่งไป!”
“ไม่ใช่แบบนั้น มันคือร้านส่วนตัวของฉัน ที่ฝากขายตอนลำบาก ทำเลไม่ถือว่าดีแต่ก็ไม่แย่ ทว่าคนกลับคิดว่าทำเงินยากจึงขายได้ถูกมาก ฉันต้องการมันคืน”
“พี่คงมีแผนแล้ว ได้! เรื่องนี้ฉันจะจัดการให้ แต่มีข้อแม้นะ”
เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เธออยากมีส่วนร่วม เพราะดูจากการจัดการของโจวกุ้ยเหมยไม่เหมือนคนโง่เลย ออกจะไหวพริบเยี่ยม เดาว่าต้องมีแผนใหญ่ เกาะขาแน่นๆ เขาไว้อาจรวยไม่รู้เรื่อง
“ได้สิ บอกข้อเรียกร้องของเธอมา ฉันรับปาก”
“พี่ไม่กลัวฉันจะเอาเปรียบ?”
โจวกุ้ยเหมยส่ายหน้ายิ้มๆ “ต่อให้เธอขอชีวิต ฉันก็ให้ได้”
“ไม่ขนาดนั้นสักหน่อย ฉันแค่อยากเป็นหุ้นส่วนหากกิจการไปได้ดี เงินที่ลงคือทุนสำหรับเริ่มต้น”
จ้าวเฟิงตกใจกับความคิดของพี่สาวตรงหน้า จะว่าไปโจวกุ้ยเหมยไม่ได้ถามที่มาที่ไปของเธอ หลายอย่างที่เธอทำตัวแปลกก็ไม่ใส่ใจนัก คล้ายว่ารู้อยู่แล้ว
“คิดอะไรอยู่ ไหนบอกว่าหิวข้าว กลับบ้านกัน”
เดินผ่านแผงหมูสดโจวกุ้ยเหมยเหลียวมอง จ้าวเฟิงจึงคิดว่าเธอคงอยากซื้อกลับไป
“พี่กุ้ยเหมยเราสามารถซื้อหมูกลับบ้านได้นะ ฉันพกเงินมาพอ”