ตอนที่ 11 หัวใจที่สั่นไหว

1925 คำ
เกวียนเคลื่อนที่ผ่านเขตชานเมืองหลัวหยางมาได้พักใหญ่ หลินซือหยูรู้สึกถึงความหนักอึ้งในอก ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเพราะมีกลุ่มเมฆบดบังแสงแดด เสียงล้อเกวียนดังกรอบแกรบบนถนนฝุ่นแดงดังเป็นจังหวะประสานกับเสียงลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ เธอมองไปที่จ้าวหย่งเฉินที่ขี่ม้าสีน้ำตาลเข้มนำหน้า ชุดเกราะของเขายังเปื้อนคราบเลือดแห้งจากศึกเมื่อเช้า ใบหน้าคมเข้มของเขาดูตึงเครียด แต่ดวงตาที่เย็นชาของเขาเริ่มมีแววของความไว้วางใจในขณะที่หันมามองเธอ “หยุดพักที่ริมแม่น้ำหลัวหยางสักหน่อยแล้วกัน” หย่งเฉินสั่งทหารที่ขี่ตามหลัง เสียงของเขายังคงทุ้มและน่าเกรงขาม แต่มีน้ำหนักของความเหนื่อยล้าที่ซ่อนอยู่ ทหารทั้งหมดพยักหน้ารับและเริ่มตั้งค่ายชั่วคราวใกล้ลำธารที่ไหลผ่านต้นไม้ใหญ่ “เหมือนฝนจะตกเลย” ซือหยูพูดขึ้นเมื่อเริ่มได้กลิ่นดินชื้นและใบไม้เปียกลอยมาแตะจมูก ขณะที่กำลังลงจากเกวียนด้วยความช่วยเหลือหย่งเฉินที่เดินเข้ามายื่นแขนให้เธอเกาะเพื่อก้าวลงพื้นดินได้สะดวก หลังจากที่เธอเอ่ยทักเพียงไม่นานท้องฟ้าก็ดำมืดในเวลาเพียงชั่วพริบตา ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นหยดใหญ่ ๆ เสียงฝนกระทบใบไม้และเต็นท์ดังก้องไปทั่วบริเวณ ซือหยูรีบวิ่งเข้าไปในเต็นท์ที่หย่งเฉินจัดให้ เธอสั่นเทาด้วยความหนาว ขณะที่ชุดผ้าไหมสีครามของเธอเปียกชุ่มและแนบติดลำตัว “นี่มันหนาวเกินไป!” เธอบ่น ขณะที่ห่อตัวด้วยผ้าคลุมที่หย่งเฉินให้ไว้ก่อนหน้า จี้หยกที่ห้อยคอร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับเตือนเธอถึงอันตรายจากสภาพอากาศ เธอสัมผัสมันเบา ๆ และเห็นภาพวาบหนึ่ง วูบ! ‘เธอเห็นหลินซือเยว่ในชุดโบราณยืนริมแม่น้ำหลัวหยางท่ามกลางฝนที่กำลังตกหนัก หญิงผู้นั้นถือจี้หยกในมือก่อนจะล้มลงด้วยความเจ็บป่วย จากนั้นก็มีชายในชุดเกราะรีบเข้าไปพยุงขึ้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย’ นี่มันกำลังต้องการจะบอกอะไรกับฉัน เมื่อภาพหายไป เธอเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะหันมองไปยังประตูทางเข้าเต็นท์เมื่อได้ยินว่ามีคนเปิดเข้ามา เธอพบจ้าวหย่งเฉินยืนอยู่ตรงนั้นในชุดเกราะเปียกฝน ดูเผิน ๆ ก็เหมือนกับชายหนุ่มที่อยู่ในภาพที่เธอเห็นผ่านจี้หยก เธอค่อนข้างจะมั่นใจแล้วว่าภาพในนิมิตนั้นต้องเป็นหลินซือเยว่กับจ้าวหย่งเฉินอย่างแน่นอน ใบหน้าคมเข้มของเขาดูเปียกชื้น ผมสีดำสยายลงมาปรกบนหน้าผากจากการเปียกฝน แววตาที่เคยเย็นชาเริ่มอ่อนลงเมื่อมองเธอ “เจ้าหนาวไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฉัน... ฉันหนาวมาก” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ด้วยความอ่อนแอที่ดูน่าสงสาร หย่งเฉินเดินเข้ามาใกล้ หยิบผ้าแห้งจากมุมเต็นท์มาคลุมไหล่ของเธออย่างระมัดระวัง ฝ่ามือของเขาสัมผัสไหล่ของเธอเบา ๆ ทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ลอยมาจากร่างของเขา “เจ้าไปนั่งใกล้กองไฟเถิด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและอบอุ่นราวกับลมเย็นที่กลายเป็นสายฝนที่ห่วงใย ขณะที่พาเธอไปนั่งใกล้กองไฟที่ทหารจุดไว้ด้านนอกเต็นท์ ใต้ผ้าใบที่นำมาขึงเพื่อกันฝนอีกทีหนึ่ง ฝนยังคงตกอย่างหนัก แต่แสงไฟจากกองไฟสะท้อนในดวงตาของเขา ทำให้ซือหยูมองเห็นความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ใต้ความแข็งกร้าวนั้น “คุณก็มีมุมแบบนี้เหมือนกันนี่นา” ซือหยูบอกพลางอมยิ้มเล็ก ๆ “เจ้าหมายถึงอะไร” “ฉันหมายถึง คุณก็ดูเป็นคนดีเหมือนกัน” “ภาษาของเจ้าฟังยากยิ่งนัก แต่เอาเถอะ อีกเดี๋ยวข้าจะให้หมอมาดูเจ้า” หย่งเฉินพูด ขณะที่มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยราวกับเธอคือสมบัติล้ำค่าที่เขากลัวจะเสียไป “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันแค่หนาวเท่านั้นเอง” ซือหยูตอบ แต่ไม่นานร่างกายของเธอเริ่มสั่นเทากับลมหนาว เธอไอออกมาเบา ๆ หย่งเฉินขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาคลาคล่ำไปด้วยความกังวล “เจ้าไม่ดูแข็งแกร่งเหมือนที่พูด” “คุณห่วงใยคนอื่นเป็นด้วยเหรอ” เธอเอ่ยปากถามเบา ๆ ด้วยความอยากรู้ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นท่าทีแบบนี้จากเขามาก่อน “ข้าไม่ทิ้งคนที่ช่วยข้า” “ฉันก็แค่ป้องกันตัวเอง ยังไม่อยากรีบตาย” “เจ้าเก่งมาก ในศึกเมื่อเช้านี้” เขาเอ่ยชมพร้อมยกยิ้มบาง ๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูอบอุ่นขึ้นไม่น้อย แค่ก ๆ!! ซือหยูไอออกมาเบาๆ ในระหว่างนั้น “ข้าว่าเจ้าไม่สบายแล้วล่ะ เดี๋ยวข้าจะให้ทหารรีบไปตามหมอมาให้เจ้า” เขาพูดก่อนจะสั่งทหารให้หายาสมุนไพรและผ้าห่มเพิ่ม ทหารรีบวิ่งไปตามคำสั่ง ซือหยูรู้สึกถึงความอบอุ่นจากน้ำเสียงและสายตาของเขา ตึกๆ ตึกๆ หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาในทันที เธอไม่ค่อยคุ้นชินกับภาพตรงหน้าสักเท่าไหร่นัก เพราะปกติคนแข็งกร้าวอย่างหย่งเฉิน แทบจะไม่ค่อยสนใจใยดีเธอ แต่วันนี้กลับดูแลเธอดีเป็นพิเศษ ทำให้หัวใจของเธอมันเกิดอาการหวั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาคงดูแลฉันตามหน้าที่... แต่ทำไมหัวใจฉันถึงเต้นเร็วขึ้นล่ะ จี้หยกที่ห้อยคอไว้ร้อนขึ้นอีกครั้ง เธอสัมผัสมันแล้วเธอก็เห็นภาพ ‘หลินซือเยว่ล้มลงในห่าฝนก่อนจะมีชายในชุดเกราะใบหน้าคล้ายหย่งเฉินช่วยพยุง เส้นผมเปียกของชายคนนั้นตกลงบนใบหน้าของหญิงสาว ขณะที่ดวงตาของเขามองเธอด้วยความรักลึกซึ้ง’ นี่มันความทรงจำของเธอ หรือฉันกำลังฝันกันแน่ เธอคิดขึ้นในระหว่างนั้น ใบหน้าของหย่งเฉินในชีวิตจริงและในภาพจากจี้หยกเริ่มซ้อนทับกันในใจของเธอ เวลาผ่านไปราว ๆ สองชั่วโมง แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อากาศเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกที จากที่ไม่ได้รู้สึกอะไร ซือหยูก็เริ่มรู้สึกตัวร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น หน้าผากเริ่มชื้นเหงื่อ และไอหนักขึ้น “เจ้าเป็นอย่างไรบ้างหรือ” หย่งเฉินเอ่ยถาม “ฉันหนาว” “เจ้ารอข้าเพียงครู่ เดี๋ยวข้ากลับมา” หย่งเฉินบอกพลางรีบเดินออกไป ไม่นานเขาก็กลับเข้ามาพร้อมยาสมุนไพรและผ้าห่ม “ดื่มซะ” เขาพูด ขณะยื่นชามยาให้เธอ กลิ่นสมุนไพรขม ๆ ลอยมาแตะจมูก เธอจิบยาแล้วทำหน้าเหยเก “มันขมเกินไป!” “ถ้าอยากหายต้องทน” หย่งเฉินยิ้มเล็ก ๆ เป็นครั้งแรก ริมฝีปากของเขาคลายลงด้วยความอบอุ่นที่ทำให้ซือหยูใจสั่น ขณะที่เช็ดหน้าผากของเธอด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น ฝ่ามือของเขาสัมผัสผิวของเธออย่างระมัดระวัง ปลายนิ้วของเขาคลอเคลียกับแก้มของเธออย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ซือหยูรู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ลอยขึ้นในอก “เจ้าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและอบอุ่นราว ดวงตาของเขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอราวกับกำลังค้นหาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจเธอ ซือหยูมองเขาด้วยดวงตาที่เริ่มพร่ามัวจากไข้ ใบหน้าของเขาดูใกล้ชิดจนเธอสามารถเห็นรอยแผลเป็นเล็ก ๆ ที่มุมปากจากสงครามที่ผ่าน ๆ มา “คุณ... คุณดูไม่โหดเหมือนที่ฉันคิด” เธอพูดออกมาโดยไม่ทันคิด เสียงของเธออ่อนโยนราวกับสายฝนที่ตกลงมา หย่งเฉินหยุดชะงัก ดวงตาของเขามีแววของความประหลาดใจและบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น “ข้าเป็นแม่ทัพ ไม่ใช่คนโหด สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงหน้าที่และความรับผิดชอบของข้า” เขาพูดก่อนจะยิ้มเย็น ๆ อย่างอ่อนโยน ริมฝีปากของเขาคลายลงด้วยความอบอุ่นที่ทำให้ซือหยูรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น “นั่นสินะ คุณพูดถูกแล้ว” “แต่ถ้าเจ้าโกหกข้า ข้าก็อาจจะต้องโหดขึ้น” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความเมตตาและความสนใจลึก ๆ ซือหยูหัวเราะเบา ๆ แม้จะป่วย ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อไม่ใช่เพียงจากไข้ “ฉันไม่เคยโกหกค่ะ... ฉันแค่ไม่รู้จะบอกอะไร” เธอมองเขาด้วยสายตาที่เริ่มอบอุ่นขึ้น ดวงตาของเธอจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ราวกับพยายามค้นหาความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจของเขา เช่นเดียวกับที่เขาทำกับเธอ เขามีบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึก... ปลอดภัย หย่งเฉินมองเธอนิ่ง ๆ ดวงตาของเขามีแววของความอ่อนโยนที่เขาไม่เคยแสดงมาก่อน “ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามาจากไหนกันแน่?” เขาถาม แต่น้ำเสียงของเขาเบาลงและเต็มไปด้วยความสนใจที่ลึกซึ้ง ราวกับเขาต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ “ฉัน... ฉันมาจากแดนไกล” ซือหยูตอบอย่างซื่อสัตย์ ถึงเธอจะไม่ได้โกหก แต่เธอก็ยังไม่กล้าบอกทั้งหมด เธอไม่กล้าบอกความจริงที่ว่าเธอย้อนเวลามาจากโลกอนาคต “แดนไกลที่ว่า มันคือที่ใด นี่ต่างหากที่ข้าอยากรู้” “มันไกลมาก คุณไม่รู้จักหรอกเชื่อฉัน เอาไว้ฉันพร้อมเมื่อไหร่ ฉันจะเล่าให้คุณฟังทุกอย่างเลย” “ข้าไม่ชอบคนเสียสัจจะ” “ฉันมีสัจจะมากพอที่จะไม่หลอกคุณ” หย่งเฉินพยักหน้า ใบหน้าของเขาคลายลงด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ทำให้ซือ หยูรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัว “ดี... จำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดีแล้วกัน” เขาพูดก่อนจะลุกขึ้นไปตรวจการลาดตระเวน ตึกๆ ตึกๆ หัวใจของเธอเต้นแรงหลังจากที่เขาเดินออกไป เป็นครั้งแรกที่เดินได้ใกล้ชิดกับเขามากขนาดนี้ ซือหยูมองตามเงาของเขาจนลับตาไปกับสายฝน ที่ใจเต้นแรงแบบนี้ เป็นเพราะฉันป่วยหรืออะไรกันแน่... จี้หยกส่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง เธอประหลาดใจเพราะช่วงนี้ดูเหมือนว่ามันจะมีปฏิกิริยาที่บ่อยขึ้นอย่างน่าสงสัย เธอกำมันไว้ในมือก่อนที่ภาพในหัวจะปรากฏขึ้น วูบ! ‘เธอเห็นภาพของหลินซือเยว่ หญิงสาวในชุดครามหน้าตาคล้ายเธอยืนอยู่ริมแม่น้ำหลัวหยางกับชายในชุดเกราะที่ดูยังไงก็คือหย่งเฉิน ก่อนที่ทั้งสองจะยิ้มให้กันใต้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านสายฝน’ เธอเห็นเพียงเท่านั้นก่อนที่ภาพจะหายไป นี่มันความทรงจำของซือเยว่ หรือฉันกำลังฝันถึงหย่งเฉินกันแน่ ใบหน้าของหย่งเฉินในชีวิตจริงและในภาพจากจี้หยกเริ่มซ้อนทับกันในใจเธออย่างจริงจังจนเกือบจะแยกไม่ออก ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความหนาวเย็นจากสายฝน แต่ก็อบอุ่นด้วยการกระทำของแม่ทัพจ้าวและปริศนาที่ยังคงรอคอยเธออยู่ข้างหน้า แบบที่เธอไม่อาจคาดเดาได้เลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม