“ขอบคุณค่ะ” กาญธิดาขอบคุณเลขาของพี่ชายแล้วเดินไปที่ลิฟต์กลับห้องทำงานของตัวเองเพราะที่นี่แยกมาจากโรงแรมเป็นออฟฟิศสำนักงานใหญ่ที่ดูแลโรงแรมรีสอร์ทในเครือทั้งหมดและเธอกับพี่ชายพี่สะใภ้ก็จะแบ่งกันออกไปดูแลตรวจตราโรงแรมทุกสาขาในต่างจังหวัด
กฤติธีก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่เขาไม่ได้เอาใจใส่วธูทั้งที่เมื่อก่อนเขาจะดูแลน้องสาวทั้งสองเป็นอย่างดีแต่หลังจากแต่งงานความสัมพันธ์ของเขากับวธูก็เปลี่ยนไปมันอึดอัดเพราะพันธะที่ผูกมัดไว้แม้จะเต็มใจแต่งงานแต่มันมีเมฆหมอกบางๆขวางกั้นเขากับวธูทำให้ไม่สนิทใจกันเหมือนเมื่อก่อน ชายหนุ่มขับรถไปก็คิดไปจนกระทั่งถึงบ้านสวน
“ถึงแล้วครับนาย” สาครบอกเจ้านายเบาๆแล้วลงจากรถไปเปิดประตูให้เจ้านาย
“อ่อ ขอบคุณครับพี่คร” ชายหนุ่มขอบคุณสาครแล้วลงจากรถมองบ้านทรงไทยหลังใหญ่ที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก แต่พอโตขึ้นก็ไม่ค่อยได้มาและไปเรียนต่อต่างประเทศก็นานทีปีหนึ่งจะมาไหว้คุณตาคุณยายสักครั้งหนึ่ง
“สวัสดีครับพี่นอม พั้นซ์ล่ะครับ” กฤติธีถามแม่บ้านที่เดินมาต้อนรับเขาถึงรถ
“น้องพันซ์นอนพักที่ห้องค่ะ”
“แล้วอาการเป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามพี่เลี้ยงของภรรยาสาว
“ก็ตัวร้อนค่ะ คุณยายให้กินข้าวกินยาและพี่เช็ดตัวให้แล้วก็รอดูอาการอยู่ค่ะ คุณเทมส์ก็รู้ว่าน้องพั้นซ์ดื้อหากอาการไม่หนักจริงก็ไม่ไปหาหมอหรอกค่ะ” นอมพูดอย่างรู้ดีเพราะเธอดูแลวธูกับอนินทร์มาตั้งแต่เด็กจึงรักใคร่สองพี่น้องมาก
“งั้นผมไปดูพั้นซ์ก่อนนะครับ ถ้าไม่ดีขึ้นผมจะพาไปโรงบาลครับ” ร่างสูงเดินขึ้นบันไดไปบนบ้านผ่านชานเรือนที่มีซุ้มอยู่กลางชานเรือนและฝั่งซ้ายขวาเป็นห้องฝั่งละสองห้องและตรงกลางเป็นห้องนั่งเล่นของครอบครัวแต่เขาเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ส่วนห้องของตายายอยู่ฝั่งขวา
“ก๊อกกๆๆ..”
“เข้ามาเลยค่ะพี่นอม” วธูบอกนอมที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและแม่บ้านดูแลบ้านของตายายด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“แอ๊ดด..”
“พี่นอมไม่ต้องมาดูพั้นซ์บ่อยหรอกค่ะ พั้นซ์ดีขึ้นแล้วค่ะ” วธูบอกแม่บ้านทั้งที่หลับตาอยู่และเธอกำลังจะเคลิ้มหลับ
“ดีขึ้นจริงเหรอ”
“ค่ะ..”เสียงหวานตอบเบาๆก่อนจะเอะใจว่าไม่ใช่เสียงของนอมแต่เป็นเสียงของสามีแล้วลืมตาขึ้นมองดูเขา “มาได้ยังไงคะ”
“นั่งรถมา แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นคะ แล้วพี่เทมส์รู้ได้ยังไงว่าพั้นซ์ไม่สบายหรือว่าแทมมี่บอกคะ” วธูถามเขาเบาๆเพราะปกติเขาไม่ได้สนใจเธอก็มีแค่กาญธิดาที่รู้ว่าเธอไม่สบาย
“ใช่ แทมมี่บอกพี่ แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะไปหาหมอมั้ย” กฤติธีถามภรรยาสาวแล้วนั่งลงขอบเตียงยกมือแตะหน้าผากคนป่วยที่หน้าแดงก่ำแต่ยังอวดเก่งใส่เขาก็อดหมั่นไส้ไม่ได้
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ พันซ์กินยาแล้วนอนพักสักหน่อยก็หายแล้วค่ะ” คนป่วยตอบเบาๆทั้งที่ยังปวดหัวอยู่ลินยาไปแล้วก็รู้สึกง่วง
“งั้นนอนพักซะ ถ้ายังไม่ดีขึ้นพี่จะพาไปหาหมอ” ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเขากับวธูไม่เหมือนเดิมตั้งแต่แต่งงานความเป็นพี่น้องหายไปกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
“พี่เทมส์ไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงพั้นซ์ที่นี่มีคุณยายกับคุณตาและป้านอมแล้วค่ะ” เธอไม่อยากรบกวนเวลาของเขาเดี๋ยวแฟนของเขาก็ว่าเธออีกและเธอกเบื่อมากที่ทิชาภรณ์ส่งข้อความมาต่อเธอแต่ไม่เคยบอกใครและพยายามไม่สนใจแต่นับวันก็ยิ่งแรงขึ้นแต่เธอก็ไม่คิดจะบล็อกไลน์และเฟสบุ๊คของทิชาภรณ์และก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน
“หลับตาไปเลย ไม่งั้นพี่จะพาไปหาหมอ และพี่จะนั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้โอเคมั้ย” กฤติธีพูดจบก็เดินไปนั่งที่โต้ะทำงานของเธอที่อยู่ริมหน้าต่างซึ่งทุกอย่างยังเหมือนเดิมยกเว้นรูปหมู่ที่มีเขากับน้องสาวและเจ้าของห้องหายไปแล้วมีรูปของน้องสาวกับเจ้าของห้องมาตั้งแทนแล้วหันไปมองคนป่วย
วธูมองตามหลังสามีที่บอกว่าจะอยู่เฝ้าเธออย่างไม่เข้าใจพอเขาหันมาก็พลิกตัวหันลังให้เขาแล้วหลับตาลงทันทีจากที่ง่วงก็ทำให้เธอเกร็งและลืมอาการปวดหัวจนฝืนทนความง่วงไม่ไหวก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยา
กฤติธีได้ยินเสียงหายใจดังสม่ำเสมอเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินย่องเบาไปดูคนป่วยที่อวดเก่งแล้วถอนหายใจและคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหากเขาไม่มีพันธะสัญญากับแฟนสาวไว้ก่อนก็คงไม่เป็นแบบนี้และวธูก็ไม่ได้ผิดแต่คนผิดคือเขาเองที่คิดว่าทิชาภรณ์เหมาะสมกับเขาและเกือบจะได้แต่งงานกัน แต่เขาทำไม่ได้หากเขาไม่แต่งงานกับวธูและมีทายาทด้วยกันธุรกิจโรงแรมที่เขาบริหารอยู่ก็จะต้องยกให้วธูบริหารเพราะผู้ใหญ่สัญญากันว่าจะให้หลานแต่งงานกันหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญา ฝ่ายที่ผิดสัญญาก็ต้องยกธุรกิจทั้งหมดที่ร่วมหุ้นกันให้อีกฝ่ายดูแลและพวกเขาก็จะได้แค่เงินปันผลเท่านั้น แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายแต่งงานกันแล้วภายในสองปีหากทั้งสองมีทายาทด้วยกันก็จะอนุญาติให้หย่ากันได้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆและธุรกิจทั้งหมดก็หารสองช่วยกันบริหารต่อไป ทำให้เขาผิดสัญญากับแฟนสาวและทิชาภรณ์ก็หนีอายไปอยู่อังกฤษและเขาก็ให้สัญญาว่าอีกสองปีจะหย่ากับวธูแล้วแต่งงานกับเธอ แต่ตอนนี้เขายังไม่มีลูกกับวธูและเขาก็ไม่ยอมให้ลูกเกิดมาเพราะพันธะสัญญาที่ปู่ของเขากับตาของวธู ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆแล้วเดินออกไปจากห้องนอนของภรรยาแล้วลงไปหาคุณยายชวนชมชั้นล่าง
“สวัสดีครับคุณยาย” กฤติธียกมือไหว้ยายของภรรยา
“น้องหลับแล้วเหรอลูก” ยายชวนชมถามหลานเขยอย่างเอ็นดูและเธอไม่เห็นด้วยกับคำสัญญาของสามีกับปู่ของกฤติธีแต่ก็ขัดขวางไม่ได้เพราะพวกเขายึดมั่นคำสัญญาที่มีต่อกันไว้
“ครับ คุณยายจะทำอะไรครับ” กฤติธัมองยายชวนชมเช็ดใบตองวางเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ
“ยายว่าจะทำขนมกล้วยกับขนมตาลให้น้องน่ะลูก ยัยพั้นซ์เขาชอบกิน” ยายชวนชมตอบหลานเขยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ผมช่วยครับ” ร่างสูงอยู่ในชุดทำงานก็ปลดกระดุมข้อมือแล้วพับแขนเสื้อขึ้นทีละข้างก่อนจะนั่งลงตรงข้ามยายชวนชม
“เทมส์ไม่ไปทำงานเหรอลูก”
“บ่ายนี้ไม่มีงานด่วนครับ ผมว่าจะอยู่ดูพันซ์ก่อนหากไม่ดีขึ้นผมจะได้พาไปหาหมอครับ” หากเขากลับบ้านพ่อแม่ของเขาต้องด่าเขาแน่ที่ไม่ดูแลลูกสาวสุดที่รักของท่าน
“ขอบใจมากลูกที่มาดูแลน้อง”
“ก็พันซ์เป็นภรรยาของผมนี่ครับ ที่ผ่านมาผมไม่ได้ดูแลเอาใจใส่พั้นซ์เพราะงานเยอะแต่ต่อไปผมจะพยายามดูแลน้องครับ” เขาคิดว่าจะทำได้แต่วธูต้องให้ความร่วมมือด้วยและทุกวันนี้วธูก็เอาแต่หลบหน้า
“แต่เป็นแค่ภรรยาในนามไม่ใช่เหรอลูก” ยายชวนชมพูดตรงๆและเธอไม่เคยมีเวลาได้คุยกับกฤติธีแบบนี้บ่อยและตั้งแต่ชายหนุ่มแต่งงานกับหลานสาวของเธอก็แค่มาทานอาหารด้วยกันแล้วกลับเท่านั้น
“ถึงพั้นซ์จะเป็นภรรยาในนามแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของผม ในเมื่อพันซ์ไม่สบายผมก็ต้องดูแลน้องครับ” และเขาก็ไม่ได้นอกกายเธอด้วย ถึงแม้จะเจอแฟนสาวเขาก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับทิชาภรณ์เพราะไม่อยากทำให้ตัวเองเสียชื่อเสียงเพราะมันจะกระทบถึงธุรกิจของพวกเขาด้วย
“แล้วจะเป็นไปได้มั้ยลูก ถ้าเทมส์กับพั้นซ์จะรักกันเป็นสามีภรรยากันจริงๆน่ะ” ยายชวนชมถามหลานเขยเพราะทั้งสองผูกพันกันมาตั้งแต่เด็กถึงแม้จะห่างกันช่วงไปเรียนต่อแต่พอกับมาก็ยังรักใคร่กันดีท่านกับสามีและปู่ย่าของกฤติธีหวังว่าทั้งสองจะรักกันและอยู่ด้วยกันเป็นคู่สามีภรรยากันจริงๆและนี่จะครบปีแล้วแต่ทั้งสองยังไม่มีวี่แววจะรักกันและเรื่องมีหลานคงต้องทำใจปล่อยให้ทั้งสองเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง
“ผมขอโทษครับคุณยาย” เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันแต่วธูก็คงคิดเหมือนเขาเพราะทุกวันนี้เธอแทบจะไม่คุยไม่มองหน้าเขาหากไม่จำเป็นและยกเว้นต้องประชุมทำงานร่วมกันและออกงานด้วยกันเท่านั้น
“ไม่เป็นไรลูก แต่ระหว่างที่ยังมีพันธะผูกพันกันอยู่ก็อย่าให้มีข่าวเรื่องผู้หญิงก็แล้วกัน ยายขอแค่นี้แหละ” ยายชวนชมขอร้องหลานเขยยังไงก็ได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากัน
“ครับคุณยาย” เรื่องนี้เขารับปากเพราะเขาไม่อยากมีปัญหาเพิ่มแค่วธูกับทิชาภรณ์เขายังแก้ปัญหาไม่จบเขาไม่อยากหาเหาใส่ตัวเพิ่มอีก
“งั้นก็ช่วยยายเช็ดใบตองนี่ก็แล้วกันลูก ยายจะไปกวนแป้งก่อน” ยายชวนชมบอกหลานเขยอย่างเอ็นดูก่อนจะลุกไปนวดแป้งที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้
กฤตธีช่วยยายชวนชมเช็ดใบตองทำขนมในครัวใต้ถุนบ้านล้อมรอบด้วยต้นไม้ร่มรื่นมีลมพัดโชยเย็นสบายตลอดเวลาทำให้จิตใจของเขามันสงบนิ่งและผ่อนคลายแม้จะหนักใจเรื่องงานเรื่องครอบครัวและแฟนสาวที่เขาไม่รู้ว่าจะขบยังไง
“ตู้ดดๆๆ..” เสียงโทรศัพท์ของชายหนุ่มดังขึ้นขณะกำลังเช็ดใบตองเพลินๆ
“ครับแม่”
“เทมส์อยู่ไหนลูก” คุณกนกขวัญถามลูกชายเมื่อได้ข่าวว่าลูกสะใภ้ไม่สบายกลับไปบ้านสวน
“ผมอยู่บ้านสวนครับแม่ น้องพั้นซ์ไม่สบายผมเลยมาดูตอนนี้กินยาและหลับไปแล้วครับ” แม่คงรู้ข่าวจากน้องสาวตัวดีที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนรักและเจ้ากี้เจ้าการกับเขาตลอด
“งั้นก็ดีแล้วลูก ยังไงน้องพั้นซ์ก็เป็นภรรยาของเทมส์” คุณกนกขวัญก็อยากได้วธูมาเป็นสะใภ้จริงๆเพราะไม่ชอบแฟนของลูกชาย
“ครับแม่ งั้นแค่นี้นะครับ ผมกำลังช่วยคุณยายทำขนมอยู่ครับ”
“ได้ๆลูก งั้นเทมส์ก็ดูน้องให้ดีนะลูก”
“ครับคุณแม่” ชายหนุ่มมองบนแล้วกรอกตาไปมาเพราะใครๆก็รักและเอ็นดูวธูผิดกับนริสราที่เป็นลูกสาวของลุงเข้มกับภรรยาคนที่สองที่แม่เขาไม่ชอบทั้งแม่ทั้งลูกเพราะนารีกระจ่างลักลอบเป็นชู้กับลุงเข้มจนมีลูกด้วยกันและอายุรุ่นเดียวกับอนินทร์และเป็นที่มาของการหย่าร้างของเขมรินกับงามเนตรแล้วงามเนตรก็พาวธูกับอนินทร์ก็อยู่กับพ่อแม่ที่บ้านสวนเมืองนนท์แล้วแม่ของวธูกับอนินทร์เสียชีวิตด้วยโรคร้ายตอนวธูอายุสิบหกจึงทำให้สองพี่น้องขาดแม่และมีตายายคอยเลี้ยงดูด้วยความรักมาตลอดทำให้ทั้งสองรักตายายมากกว่าพ่อของตัวเองถึงแม้ลุงเข้มจะทำงานบริหารโรงแรมแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือมีสิทธิ์ขาดเพราะทรัพย์สินธุรกิจทั้งหมดของตาสนั่นเป็นของหลานสาวกับหลานชายส่วนลุงเข้มเป็นแค่อดีตลูกเขยก็มีหน้าที่ดูแลบริหารรับเงินเดือนและเงินปันผลที่ตาสนั่นแบ่งให้อย่างยุติธรรมแม้ลุงเข้มจะทำผิดต่อภรรยาแต่ฝีมือการทำงานนั้นไม่ด้อยกว่าใครและเขาทำงานเพื่อลูกทั้งสองและชดเชยความผิดให้กับอดีตภรรยาผู้ล่วงลับ
เวลาผ่านไปจนเย็นวธูก็อาการดีขึ้นตัวไม่ร้อนและไม่ปวดหัวทำให้กฤติธีกลับบ้านพร้อมกับขนมที่คุณขายให้เอาไปฝากปู่ย่าและพ่อแม่ทำให้เขาต้องเข้าไปบ้านใหญ่เพื่อรับประทานอาหารเย็นกับพวกท่าน ส่วนภรรยาสาวก็ค้างคืนที่บ้านสวน
เวลาผ่านไปหกเดือน
“เหลืออีกแค่ปีเดียวเท่านั้นพี่เทมส์ก็ทนเห็นหน้าพั้นซ์เอาหน่อยละกันค่ะ” เสียงหวานบอกสามีที่แต่งงานกันได้หนึ่งปีและทำสัญญาร่วมกันว่าครบสองปีก็หย่ากันได้เลยโดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถห้ามได้แต่พวกเขาต้องมีทายาทหนึ่งคนไม่งั้นจะเสียหุ้นให้อีกฝ่ายซึ่งตอนนี้ทั้งสองตระกูลมีคนละห้าสิบเปอร์เซ็นต์แต่สิทธิ์บริหารอยู่ฝ่ายตระกูลมหัทธกิตติรัตน์เพราะอติพลเป็นทายาทสายตรงของปู่นิธิปส่วนเขมรินเป็นแค่ลูกเขย