เกริ่นนำ ดอกบัวหยกในสระมรกต
เก้าสวรรค์ชั้นฟ้าเป็นอาณาจักรที่ภูตทุกตนปรารถนาขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน
หมายสถิตนิจนิรันดร์กาล
ภูตสาวตัวน้อยเองก็ปรารถนาเช่นกัน
นางมีนามว่าเล่ออัน ปีนี้นางอายุครบห้าร้อยปีแล้ว ทรวดทรงองเอวเริ่มมีส่วนเว้าส่วนโค้งอันงดงามเย้ายวน เนื้อนูนกลมกลึงเต็มไม้เต็มมือมากขึ้น นับว่าใกล้หลุดพ้นจากเด็กสาวตัวน้อยกลายเป็นสตรีวัยสะพรั่งเต็มตัวแล้ว
แต่พลังเซียนของหญิงสาวกลับยังคงห่างไกลลิบลับ
การขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของสรวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแห่งนี้ก็ห่างไกลมากโขเช่นกัน
หลังจากใช้เวลาเนิ่นนานลอบขึ้นมาจนถึงสวรรค์ ภาพในแววตาของภูตสาวตัวน้อยยามนี้พบว่ามีเทพหนุ่มและเซียนสาวประทับตราเข้าไปลึกถึงแก่นกลางใจจนตราตรึงยากดึงรั้งสติให้หวนกลับ เหล่าเทพเซียนกำลังพริ้วกายไปตามทางทอดยาวสีขาวพร่างพราวสว่างไสว ถักทอเส้นใยแห่งปรารถนาของเล่ออันให้ยิ่งลุกโชน พวกเขาย่อมเร่งรุดไปขึ้นทะเบียนชาวสวรรค์ต่อเบื้องพระพักตร์เง็กเซียนฮ่องเต้[1]
สักวันหนึ่งเถิด!
ต้องมีสักวันที่ภูตต่ำต้อยเช่นนางจะมีโอกาสนี้บ้าง
ดวงตากลมโตฉายความหนักแน่นออกมาท่วมท้นเล่ออันหมายมาดบำเพ็ญตนเพียรฝึกตบะอย่างแน่วแน่ยิ่งขึ้น
นางเบื่อหน่ายเหลือเกินกับการล่องลอยอยู่ระหว่างนรกและสวรรค์ ตำแหน่งและสถานที่เดียวซึ่งเหมาะสมคู่ควรกับสตรีงดงามเช่นนาง ย่อมเป็นเซียนสาวผู้เลอโฉมบนวิมานเมฆเก้าชั้นฟ้าเท่านั้น!
ทว่าวันเวลาช่างยาวนานและดูเหมือนยิ่งห่างไกล
ทั้งที่เล่ออันตั้งจิตอุทิศวิญญาณนำปรารถนาสูงสุดด้วยปราณบริสุทธิ์ทั้งหมดที่มีเช่นนี้แต่โชคชะตากลับมินำพา เนื่องจากสิบปีต่อมาเล่ออันทำเรื่องผิดมหันต์ วันนั้นภูตสาวพลาดพลั้งทำกลีบบัวช้ำหนักจนดอกหักออกจากลำต้น
นางจึงถูกลงทัณฑ์ขั้นรุนแรง
‘เจ้าภูตฉ้อฉล จงลงไปรับโทษให้สาสมเถิด’
ช่วยมิได้ที่สิ่งนี้คือดอกบัวหยกในสระมรกตอัญมณีซึ่งเฟินเยว่เทียนเฟยเลี้ยงไว้ดูเล่นด้วยปราณเซียนแห่งเทพธิดา
และช่วยไม่ได้อีกเช่นกันที่เฟินเยว่เทียนเฟยผู้นี้คือสตรีที่มีนิสัยเถรตรงรักความยุติธรรมสมกับตำแหน่งพระสนมที่เทียนจวิน[2]ทรงรักใคร่โปรดปราณเหนือสตรีทุกตนบนชั้นฟ้า
ทว่าสตรีด้วยกันย่อมดูออกว่าเฟินเยว่เทียนเฟยเพียงสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นไปในทิศทางเช่นนั้น
เพราะนิสัยส่วนตัวออกจะดื้อรั้นเอาแต่ใจมากกว่า
‘ตายจริง! แค่เพียงกัดดอกบัวถึงกับลงทัณฑ์เช่นนั้น’ เสียงสนมคนหนึ่งพลันทัดทาน
‘ข้าจำเป็นต้องปรานีหรือไร’
‘นางยังเด็กอยู่แท้ๆ ข้าจะไปฟ้องเทียนจวิน’
‘เจ้า..’
‘ทำไมเล่า เจ้าถือว่าเทียนจวินทรงโปรดจึงสั่งลงโทษผู้อื่นอย่างไร้การไตร่ตรอง ใช่ใช้อำนาจรังแกเกินไปหรือไม่’
‘ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร กล้าฟ้องก็ลองดู’
‘ข้ากล้าแน่’
‘บังอาจนัก ข้าจะตัดลิ้นเจ้า’
‘เข้ามาสิ’
แล้วสนมทั้งสองประมือกันไปมา ปล่อยเล่ออันร่วงหล่นจากฟ้า ท่ามกลางอสนีบาตฟาดทั่วนภา
‘อา...ช่างจิตใจคับแคบยิ่งนัก ข้าเพียงกัดไปคำหนึ่ง เผื่อได้รับพลังเซียนโดยมิต้องบำเพ็ญเพียรให้เหนื่อยเท่านั้น’
เสียงของเล่ออันลอยละล่องพร้อมร่างงามระหงที่ถูกขับไล่จากสวรรค์
สถานที่ลงทัณฑ์คือธรณีพื้นพิภพธรรมดา หากแต่กลับมีพวกบาปหนาไม่ธรรมดาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
การเดินทางของอสนีบาตฟาด รวดเร็วยิ่งกว่าแสง อากาศรอบกายกรีดผิวเนื้อจนแทบขาดวิ่น เล่ออันกระเด็นตกลงมายังโลกมนุษย์ในพริบตา
ยามที่ร่างของสาวน้อยกระแทกพื้นดินเกิดเสียงตุ้บ เป็นการกระแทกที่รุนแรงทำนางหูอื้อหนักยิ่ง สาวน้อยให้รู้สึกดวงตาพร่าเบลอสมองมึนงงชั่วขณะ
ครั้นตั้งสติได้พลันพบว่าไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว เฟินเยว่เทียนเฟยจิตใจคับแคบมากกว่าที่คิด
อีกฝ่ายส่งนางมาเกิดใหม่เป็นเด็กกำพร้าหรือไรกัน ถึงขนาดมิให้เสื้อผ้าติดกายมาเลยสักชิ้น!
“...!?”
เสียงพลั่กดังสนั่นหวั่นไหวเข้าไปถึงโสตประสาท
เล่ออันหล่นจากฟ้ากระแทกพื้นพสุธาจนเจ็บจุก ครั้นลุกขึ้นมาได้ก็พบว่าตนเองมิได้ลงมาจุตติในครรภ์ใคร ทั้งมิใช่เด็กทารกวัยแบเบาะอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเห็นตัวเองเป็นดรุณีวัยสาวสะพรั่ง
ซึ่งไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยสักชิ้น
นางเป็นหญิงสาวเรือนร่างเปลือยเปล่า
มีเพียงเส้นผมสีดำขลับที่ยาวสยายแผ่คลุมแผ่นหลัง
นอกนั้นถูกเผยจนสิ้น กระทั่งเนินเนื้อสะโพกผายยอดถันตั้งชัน ทุกสิ่งนั้น ชัดเจนถนัดตา
ครั้นเงยหน้าขึ้นจึงพบความจริงอีกประการหนึ่ง
นางหล่นลงมากลางกลุ่มบุรุษร่างใหญ่เป็นโขยง
“กรี๊ด...”
[1]จอมราชันแห่งเทพผู้ปกครองสวรรค์
[2]จอมราชันแห่งเทพผู้ปกครองสวรรค์หรือเง็กเซียนฮ่องเต้