“พ่อกับแม่ล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเมื่อพี่สาวเงียบไป
“แม่อยู่หลังบ้าน พ่อออกไปข้างนอก ว่าแต่เพื่อนแกได้เรื่องของจันทร์บ้างหรือเปล่า”
คิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยยามถูกถามถึงคนที่ทิ้งเขาไป
“พอได้เรื่อง มีคนเห็นจันทร์ขึ้นรถประจำทางที่ขนส่งเมื่อวาน”
พอได้ฟังดังนั้นอัจฉราก็ขยับตัวด้วยความตื่นเต้น สีหน้าและแววตาดูดีใจชัดเจน
“จันทร์ไปที่ไหน”
เสียงผ่อนลมหายใจยาวดังออกมาจากคนตรงหน้า คิ้วเข้มชนกันก่อนตอบออกมา
“ราชบุรี”
คนฟังนิ่วหน้าแล้วครุ่นคิดถึงใครสักคนที่จันทร์กระจ่างอาจรู้จัก
“พี่อัจพอจะรู้ไหม ว่าจันทร์มีเพื่อนหรือคนรู้จักอยู่ที่นั่นบ้างหรือเปล่า”
“พี่ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าจันทร์น่าจะพอมีคนรู้จักอยู่บ้าง”
หญิงสาวสบตาน้อง พอดีกับที่มารดาเดินเข้ามาหา
“ว่าไงเรา ได้เรื่องได้ราวบ้างไหม” นางมนพรนั่งลงข้างลูกชาย แล้วกวาดสายตามองใบหน้าคมเข้มที่ดูจะหยาบกร้านและทรุดโทรมลงเพียงชั่วข้ามคืน
“พอได้บ้างครับ”
“เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลยละทีนี้” อัจฉราเปรย ทำให้คนเป็นน้องนิ่งเงียบ ส่วนมารดาได้แต่ถอนหายใจยาว
“ถ้าอิชย์ตบแต่งกับน้องให้เรียบร้อยอย่างที่แม่เคยบอก เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้น”
อัจฉราทำเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ ส่วนต้นเรื่องได้แต่ขบเม้มริมฝีปาก
“ต่อให้แต่ง ต่อให้มีลูกมันก็ไม่ได้การันตีว่าคนคนหนึ่งจะทนได้ตลอดชีวิตหรอกนะแม่ เป็นหนูหนูก็ไม่ทนหรอก มีเยี่ยงอย่างที่ไหน มีเมียอยู่ทั้งคนยังไปนอนเฝ้าแฟนเก่า ปล่อยให้เมียนั่งตบยุงรอเพราะความเป็นห่วง ไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน ใจคอคนเรานี่นะ บางทีก็ดำเสียยิ่งกว่าอีกาอีก นี่เขาก็ไปแล้ว เปิดทางให้อย่างดีเลย จะว่าไป เห็นนุ่มนิ่มแบบนั้น เวลาตัดใครสักคน แม่ตัดฉับเลยจริงๆ ไปแบบไม่ร่ำลากันสักคำ”
“พูดมากไปแล้วเรา” นางมนพรปรามลูกสาว ส่วนอัจฉราไหวไหล่เบาๆ แม้จะเห็นใจน้องชายแต่ความหมั่นไส้มีมากกว่า ขณะเดียวกันความเห็นใจจันทร์กระจ่างยังนำหน้าไปไกล
นางมนพรปรายตาค้อนลูกสาว ก่อนหันมามองลูกชายที่เอาแต่นั่งนิ่ง ทว่าในความเงียบขรึมสีหน้าของเขาเผือดลง เรื่องนี้ตัวท่านกับสามีรับรู้เป็นคนสุดท้าย ทั้งโกรธและตำหนิลูกชายไปไม่น้อย ที่ทำอะไรไม่คิดถึงใจคนเป็นเมีย
“แม่ไม่อยากซ้ำเติมหรอกนะ แต่เรื่องนี้แกผิดเต็มๆ ถ้าอยากได้เมียคืนก็รีบตามหาให้เจอ แต่ถ้าไม่ได้รักเมียคนนี้แกก็ปล่อยเขาไปเถอะ สักวันคงจะมีผู้ชายดีๆ เห็นคุณค่าเห็นความสำคัญ ไม่ต้องมาคอยเอาอกเอาใจคนที่ไม่รักตัวเอง...เฮ้อ แกนะแก ทำเพชรหลุดมือแล้วรู้ไหม”
เมื่อได้ฟังน้ำคำตำหนิแกมคร่ำครวญของมารดา ภายใต้อกกระด้างข้างซ้ายทั้งร้อนรนและโกรธขึ้ง แต่ไม่รู้ว่าจะโกรธใครดี ระหว่างตัวเอง เหมือนแพรหรือเมียที่ทิ้งเขาไป ขณะเดียวกันก็นึกค้านคำพูดของมารดาเต็มที่
จันทร์กระจ่างเป็นเมียของเขา หล่อนรักเขา จะเป็นของเขาเท่านั้น...
อาการนิ่งเงียบ ทำเหมือนจะรับฟังนั้นเป็นเอกลักษณ์ของอิชย์มาช้านาน ทว่าแท้จริงกลับตรงกันข้าม ทุกคนในบ้านจึงต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเขาดื้อเงียบ อิชย์ไม่พูดไม่เถียงก็จริงแต่เขาไม่เคยทำตามใจใครนักหรอก และต่างรู้ดีว่าเมื่อไรที่เขาอยู่ในอาการนิ่งเงียบ ไร้การโต้ตอบ นั่นแปลว่าชายหนุ่มกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างอย่างแน่นอน
วันที่สองของการมาพักบ้านเพื่อน จันทร์กระจ่างตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชิน เมื่อปัทมาตื่นตั้งแต่ตีห้า หญิงสาวจึงตื่นพร้อมเพื่อน
“บอกให้นอนต่อก็ไม่นอน” ปัทมาบ่นเบาๆ ทำให้คนที่ลุกขึ้นมาช่วยเพื่อนทำกับข้าวยิ้มตอบ
“ตอนอยู่สระบุรีฉันก็ตื่นแต่เช้าแบบนี้นี่แหละ” เจ้าของเสียงหวานตอบยิ้มๆ ปัทมาเหลือบตามองเพื่อนแล้วอดยิ้มไม่ได้ตามเคย วันแรกจันทร์กระจ่างค่อนข้างเงียบ หล่อนจึงไม่คิดซักถาม ปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนตามสบาย พอเข้าวันที่สอง เพื่อนรักมีรอยยิ้มเพิ่มมากขึ้นจึงถึงเวลาที่ต้องถามไถ่เรื่องราวต่างๆ
“รู้ไหม ว่าฉันดีใจแค่ไหนที่แกบอกว่าจะมาอยู่ด้วย”
จันทร์กระจ่างชะงักมือเล็กน้อย แต่เมื่อสบตาของคนข้างๆ จึงได้เห็นประกายตาแห่งความจริงใจที่อีกฝ่ายส่งมา ดวงตากลมโตของปัทมาฉายชัดเจนว่ายินดีมากแค่ไหน
“ขอบใจนะปัท แกเป็นเพื่อนรักของฉันรู้ไหม”
ปัทมาหัวเราะเบาๆ พลางยิ้มเขิน
“เออรู้แล้ว แกเองก็เป็นเพื่อนรักของฉันเหมือนกัน”
สองสาวเพื่อนรักหัวเราะคิกขณะช่วยกันทำอาหารเช้า จากนั้นก็เตรียมตัวออกไปใส่บาตร ขณะที่กำลังช่วยกันยกสำรับตรงไปรอพระที่หน้าบ้านพร้อมมารดา ร่างสูงใหญ่ของพิพัฒน์ก็เดินแกมวิ่งตรงมาอย่างกระตือรือร้น
ปัทมาหันไปเห็นเข้าจึงทำท่าชะงัก ก่อนจะหัวเราะขันจนถูกพี่ชายถลึงตาใส่ จันทร์กระจ่างหันไปเห็นคนตัวโตที่ขยับเข้ามายืนข้างๆ ก็ยิ้มตอบ
“ตื่นเช้าเหมือนกันนะคะพี่พัฒน์”
พิพัฒน์ยิ้มตอบเพื่อนของน้องสาว ดวงตาสีเข้มหลุบมองคนข้างกายอย่างนึกชื่นชม จันทร์กระจ่างยังสวยน่ารักเสมอ
“วันนี้เป็นไงบ้าง”
หญิงสาวพยักหน้ายิ้ม
“สบายดีค่ะ”
จันทร์กระจ่างตอบได้แค่นั้น พระท่านก็เดินมาถึงพอดี อาการขยับเข้ามาหาของพี่ชายทำให้น้องสาวค้อนเบาๆ จากนั้นต่างพนมมือรับพร ไม่กี่อึดใจจึงพากันเดินกลับเข้าบ้าน
ร่างสูงของพิพัฒน์ถือโอกาสเดินเคียงไปกับจันทร์กระจ่าง และใช้เวลานั้นลอบสำรวจหญิงสาวเอวบางร่างน้อยไปด้วย
“เรายังไม่ค่อยได้คุยกันเลยเนอะ เมื่อวานกินข้าวเสร็จพี่ก็รีบออกไป”
หญิงสาวหันไปยิ้มให้คนตัวโตแล้วตอบ
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่มากะทันหันแบบนี้”
คนฟังยิ้มกว้าง
“อย่าคิดมาก คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของจันทร์ก็แล้วกันนะ จะอยู่นานแค่ไหนก็ได้” เขาบอกพลางยิ้มให้เพื่อนรักของน้องสาวที่ครั้งหนึ่งตนเคยหมายปองหล่อน แต่พอห่างกันไป เป้าหมายก็เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา...
“ขอบคุณค่ะ”
ทั้งหมดกลับเข้าบ้าน จันทร์กระจ่างมองครอบครัวเล็กๆ แต่อบอุ่นด้วยสายตาเจือยิ้ม แต่สิ่งที่แฝงมากับความอิ่มเอมคือความหมองเศร้า หล่อนไม่คิดจะมาพึ่งพาปัทมาและครอบครัวนานนัก เพียงแต่คนที่หล่อนคิดถึงเป็นคนแรกคือเพื่อนรัก และเวลาเดียวกันก็กำลังมองหาที่อยู่ของตนเอง
พิพัฒน์ออกจากบ้านไปหลังจากได้รับโทรศัพท์ของคนรัก พ่อเข้าสวนเหมือนทุกวัน ส่วนแม่ก็วนเวียนระหว่างสวนกับบ้าน
ทั้งบ้านจึงเหลือแค่ปัทมาและจันทร์กระจ่างสองคน เจ้าบ้านยกผลไม้ออกมาวางลงบนโต๊ะนั่งเล่นหน้าบ้าน ส่วนผู้อาศัยยกเครื่องดื่มตามมา
“ปัท ขอบใจแกอีกครั้งนะ แต่ฉันคงรบกวนแกกับครอบครัวไม่นานหรอก”
คำบอกเล่าของเพื่อนทำให้ปัทมาขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“บ้าสิ รบกวนอะไร แกจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนก็ได้”
จันทร์กระจ่างสบตาเพื่อนรักด้วยความตื้นตันใจ “ฉันรู้ ว่าแกและครอบครัวมีน้ำใจกับฉันมากแค่ไหน แต่ยิ่งแกดีกับฉันมากเท่าไร ฉันยิ่งเกรงใจแกมากเท่านั้น อีกอย่างฉันก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะหาบ้านสักหลัง มีพื้นที่สักหน่อย ใช้ชีวิตเงียบๆ แล้วหาอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อเลี้ยงตัว”
ปัทมาถอนหายใจยาวกับความคิดของเพื่อน
“แกอยู่ที่นี่แล้วรู้สึกอึดอัดหรือเปล่า”
คำถามของเพื่อนทำเอาหญิงสาวส่ายหน้าออกมาทันที
“เปล่า ฉันไม่อึดอัดเลย แต่ยอมรับว่าเกรงใจแกกับครอบครัวมาก”
ปัทมาส่ายหัว ดวงหน้าเรียวยิ้มตอบเพื่อน
“ถ้าไม่อึดอัด ก็อยู่ต่อ ส่วนเรื่องเกรงใจ อย่าได้คิดแบบนั้นอีก ฉันและทุกคนยินดีต้อนรับแกเสมอ”
ทว่าเรื่องของความรู้สึกนั้นมันห้ามกันไม่ได้จริงๆ เหมือนกับที่หล่อนยังรู้สึกคิดถึงคนที่จากมาแทบตลอดเวลาเช่นเดียวกัน
“ขอบใจ แต่ฉันขอยืนยันคำเดิม” หญิงสาวยิ้มให้เพื่อน แล้วจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ บีบเบาๆ เมื่อปัทมาทำหน้างอน “อย่าโกรธฉันเลยนะปัท ถ้าแกเป็นฉัน แกก็คงทำแบบนี้เหมือนกัน”
คำพูดของจันทร์กระจ่าง ทำให้ปัทมาสบตาอีกฝ่ายนิ่งนาน ก่อนถอนหายใจยาว จากนั้นจึงยิ้มออกมาอย่างยอมแพ้ในความมุ่งมั่นของเพื่อน
“ตามใจแกแล้วกัน แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า ถ้าแกต้องการความช่วยเหลือ ขอให้คิดถึงฉันเป็นคนแรกได้ไหม”
รอยยิ้มของจันทร์กระจ่างกว้างขึ้นกว่าเดิม หญิงสาวบีบมือเพื่อนรัก เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่วางมือทับหลังมือของหล่อนเอาไว้ แววตาที่มองมาบอกให้รู้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด ปัทมาพร้อมจะอยู่เคียงข้างจันทร์กระจ่างทุกเมื่อ
“แน่นอน ก็แกเป็นเพื่อนรักของฉันนี่”
จันทร์กระจ่างบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนจาง ความหนักหน่วงภายในใจแม้ไม่ได้หายไปไหน แต่ก็ทุเลาเบาบางยามมีคนรู้ใจอยู่เคียงข้างและพร้อมจะช่วยเหลือ
ขอพักกายและใจ ณ ที่แห่งนี้สักระยะ เมื่อมีแรงมากพอจะก้าวต่อไป วันนั้นหล่อนคงสามารถหยัดยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้อีกครั้ง...