จันทร์กระจ่างตัดบท ทำเอาปัทมาทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างนึกขัดใจ
“เออๆ ไม่กวนใจแล้ว”
หญิงสาวปรายตามองเพื่อนที่ทำท่างอน
“ไม่ได้กวนใจอะไร แค่ยังไม่คิดเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น คิดถึงแค่ตัวเล็กในท้องคนนี้คนเดียวพอตอนนี้”
ปัทมาหลุบตามองหน้าท้องกลมโตแล้วยื่นมือไปลูบเบาๆ ริมฝีปากแย้มยิ้มออกมา ก่อนสบตาเพื่อนรัก
“ตื่นเต้นเนอะ จะได้เจอกันแล้วนะหลานรัก”
จันทร์กระจ่างยิ้มให้เพื่อน หล่อนเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากปัทมาเลยสักนิดเดียว
เวลาเดียวกัน ปองภพยืนมองจันทร์กระจ่างและปัทมาจากภายในบ้านของตนเอง ชายหนุ่มเอามือซุกกระเป๋ากางเกงขณะมองคนตัวอวบอิ่ม หล่อนดูสดใสและมีน้ำมีนวล ขนาดตั้งท้องโตจวนคลอดยังน่ามองขนาดนี้ โดยเฉพาะรอยยิ้มของหล่อนสะดุดใจของเขาเข้าอย่างจัง
“น่ารักใช่ไหมล่ะ ถึงกับแอบมองเลยเหรอลูก” นางลาวัลย์ก้าวมาหยุดข้างๆ ร่างสูงใหญ่ของลูกชาย ฝ่ายนั้นก้มลงสบตามารดายิ้มๆ แล้วบอก
“น้องเขาน่ารักดีนะฮะ”
นางลาวัลย์ยิ้มกริ่ม ตอนแรกยอมรับว่าตะขิดตะขวงใจเรื่องจันทร์กระจ่างตั้งครรภ์โดยไร้สามีเคียงข้าง แต่ถือว่าเล็กน้อยมากหากเทียบกับความรู้สึกถูกชะตาที่มีต่ออีกฝ่าย ยิ่งเมื่อได้รู้จักอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งมากขึ้นจึงนึกถึงลูกชายของตนเองขึ้นมา คนสองคนที่มีรอยตำหนิเหมือนกัน บางทีอาจเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดี นางชอบในนิสัยใจคอของหญิงสาว และคิดว่าคงเหมาะสมกับลูกชายของตนอยู่ไม่น้อย และถ้าลูกชายของนางนึกสนใจขึ้นมาจริงๆ นางก็ยินดีที่จะช่วย
“ก็แม่บอกแล้ว แกนั่นแหละไม่ยอมเชื่อ ว่าแต่แกรังเกียจที่เขาเป็นแบบนี้หรือเปล่า”
คนฟังขมวดคิ้วมุ่น เขาสบตามารดาแล้วหันกลับไปมองเพื่อนบ้านสาวอีกครั้งด้วยแววตาของคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาพอสมควร
“ทำไมต้องรังเกียจ ผมเองก็ใช่ว่าจะวิเศษวิโสมาจากไหน หน้าที่การงานดี แต่ล้มเหลวกับชีวิตคู่ ผ่านการหย่าร้างมาแล้ว ยังจำความรู้สึกตัวเองได้ว่าแย่แค่ไหน น้องจันทร์เองก็คงไม่ต่างกัน ยิ่งเป็นผู้หญิงและต้องอุ้มท้องแบบนี้ คงต้องเจอกับความยากลำบากยิ่งกว่าผมไม่รู้กี่เท่า ที่สำคัญไม่มีใครอยากเป็นคนมีตำหนิ อยากเปลี่ยนคู่บ่อยๆ หรอกครับ”
นางลาวัลย์ฟังลูกชายพูดออกมาแล้วรู้สึกพอใจ
“สรุปคือปองชอบน้องใช่ไหม”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ครับ น้องเขาก็น่ารักดี แต่ดูเหมือนน้องเขาคงยังไม่พร้อมเปิดใจให้ใครนะ ผมเองก็ต้องคิดให้มาก ถ้าจะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน”
นางลาวัลย์เห็นด้วย เพราะเคยมีผู้ชายแถวนี้มาทำท่าชอบพอ ทว่าจันทร์กระจ่างไม่เคยให้ความสนใจกลับไป นอกเสียจากความเป็นเพื่อนบ้านเท่านั้น
“แม่ชอบหนูจันทร์ ไม่รังเกียจเด็กในท้องหรอกนะ” นางบอกลูกชายเป็นนัยเพียงเท่านั้นว่าพร้อมต้อนรับจันทร์กระจ่างทุกเมื่อ ก่อนหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้ปองภพยืนมองคนข้างบ้านเพียงลำพัง ใบหน้าคมคายของเขามีรอยยิ้มเจือจาง เขาชอบหล่อนน่ะใช่ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาเพียงคนเดียวเสียเมื่อไร แต่ขึ้นอยู่กับสาวข้างบ้านด้วยต่างหาก แม้เขาจะรู้จักหล่อนในหลายแง่มุมผ่านจากปากของมารดา แต่สำหรับเรื่องของจิตใจยังถือว่าเป็นศูนย์ และหล่อนก็รู้จักเขาเพียงแค่ชื่อเสียงเรียงนาม เพิ่งพบเจอกันวันนี้ คงไม่ทันคิดอะไรด้วยซ้ำไป
ทว่าเขานั้นอายุมากเกินกว่าจะหลอกตัวเองว่าไม่คิดอะไรกับสาวหน้าหวานที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่กลับรู้สึกเหมือนรู้จักกันมาเนิ่นนานแล้ว...
ตื๊ด...ตื๊ด...ตื๊ด...
เสียงโทรศัพท์ที่ดังออกมาจากสมาร์ตโฟนทำให้อิชย์ที่กำลังรักษาสัตว์เลี้ยงเงยหน้าขึ้นมอง แต่เมื่อเห็นชื่อที่โชว์หน้าจอก็รีบรับสายทันที หัวใจของเขาเต้นแรงตั้งแต่ประโยคแรกที่ได้ยิน จากนั้นเขาแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเดินออกมาจากคลินิกตอนไหน รู้ตัวอีกทีเขาก็กลับมาถึงบ้าน และรีบเก็บของจำเป็นยัดใส่กระเป๋า
ในทุกๆ วันจะมีเด็กเกิดใหม่เสมอ ทว่ามีเพียงวันเดียวที่อิชย์รอคอยมาตลอดเวลาคือวันที่ลูกของเขาลืมตาดูโลก เจ็ดแปดเดือนที่จันทร์กระจ่างทิ้งเขาไป ไม่มีวันไหนที่ชายหนุ่มไม่คิดถึงหล่อน เขาออกตามหาแต่ไม่เคยพบ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับข่าวดีจากเพื่อนว่าพบจันทร์กระจ่าง เขารีบตามไปแต่กลายเป็นว่าคนที่เพื่อนบอกนั้นไม่ใช่หญิงสาว ทว่าเป็นคนที่มีใบหน้าและลักษณะท่าทางที่คล้ายคลึงกันมากเท่านั้น
ตอนนั้นเขากลับบ้านด้วยความผิดหวัง แต่ยิ่งนานไปเขายิ่งรู้ใจตัวเองเพิ่มมากขึ้น เมื่อไม่มีจันทร์กระจ่างเดินไปเดินมาให้เห็น ไม่มีเสียงหวานๆ คอยเรียกชื่อเขา ไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นหรือห่มผ้าให้ในตอนดึก และไม่มีใครให้เขากอด จากความเคยชิน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าในความรู้สึกแสนธรรมดาเหล่านั้น มีบางอย่างเจือปนอยู่ เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยถามตัวเอง เขาคิดว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงหน้าที่ เป็นความคุ้นเคย คนที่จะมาอยู่ข้างกายของเขาจะเป็นใครก็ได้ที่ทำให้เขากลับมารู้สึกมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย ไม่ใช่ใครก็ได้เหมือนกับที่เขาเคยคิด และจันทร์กระจ่างมีความหมายกับเขามากกว่าที่เคยรู้
ชายหนุ่มปิดกระเป๋าเดินทาง พร้อมกับหันไปมองกรอบรูปภาพบนโต๊ะที่หัวเตียง เป็นรูปที่เขาและหล่อนถ่ายคู่กันเมื่อครั้งที่มีโอกาสได้ไปพักผ่อนด้วยกันตามลำพังเมื่อนานมาแล้ว แต่เขากลับเพิ่งรู้สึกได้ในเวลานี้ว่าละเลยหล่อนมานานแค่ไหน หญิงสาวเอามันใส่กรอบวางไว้ตรงนี้หลังกลับมาจากที่นั่น นับแต่วันนั้นมันก็อยู่ตรงนี้มาโดยตลอดและเขาก็ไม่คิดจะเอามันไปทิ้งหรือเก็บไว้ที่อื่นเสียด้วย เพราะทุกครั้งที่ได้มองภาพนี้ เขามีความหวังว่าจะได้พบหล่อนอีกครั้งเสมอ
“จะไปแล้วเหรอ” อัจฉราหันไปถามน้องชายที่ถือกระเป๋าลงมาจากชั้นบน
“ครับ” เขาสบตาพี่สาวแล้วหันไปมองมารดา “จะรีบกลับมาให้ไวที่สุด”
“แม่อยากไปด้วยจังเลย” นางมนพรเอ่ย สีหน้าท่านบ่งบอกชัดเจนยิ่งกว่าว่าอยากไปด้วยจริงๆ ทว่าชายหนุ่มกลับส่ายหน้า เขาอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของเขาเอง
“อีกอาทิตย์เจอกัน”
“โชคดีนะลูก” นางมนพรยิ้มให้กำลังใจลูกชาย และมองร่างสูงที่ดูผอมลงไปถนัดตาอย่างนึกเห็นใจ เพราะหลังจากตามหาจันทร์กระจ่างติดกันนานหลายเดือน ขับรถไปกลับระหว่างสระบุรีราชบุรีเป็นว่าเล่น สุดท้ายก็ต้องกลับมาตั้งหลักที่บ้านทุกครั้ง เขาเงียบขรึมลงเสียยิ่งกว่าตอนที่ถูกบอกเลิกจากอดีตคนรัก ถึงเวลานี้ อิชย์คงพอจะเข้าใจตนเองแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับจันทร์กระจ่าง
ภายในห้องคลอด หญิงสาวสูดลมหายใจยาวเข้าปอดและผ่อนออกตามคำแนะนำของนางพยาบาล ระหว่างนั้นได้กลิ่นยาฆ่าเชื้อลอยอบอวล คุณหมอพูดอะไรสักอย่างกับผู้ช่วย ไม่นานนักขั้นตอนการทำคลอดก็เริ่มต้นขึ้น
ระหว่างที่ถูกความเจ็บปวดเสียดแทง หญิงสาวเพิ่งรู้แจ้งแก่ใจตนเองกับประโยคที่พวกแม่ๆ ชอบพูดกันเอาไว้ว่า การคลอดลูกของผู้หญิงนั้นเปรียบเสมือนการออกรบของพวกผู้ชาย หล่อนมีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีพอให้ได้คิดว่าเป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงเลยสักนิด เพราะขณะที่เบ่งอยู่นั้น หล่อนรู้สึกเหมือนกับว่าร่างทั้งร่างกำลังแหลกสลาย แต่เมื่อคิดถึงลูกน้อย หล่อนจึงไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น พยายามหายใจ ผ่อนลม สูดลมแล้วออกแรงเบ่ง ทว่าระหว่างที่เจ้าตัวอวบในท้องค่อยๆ เคลื่อนผ่าน แวบหนึ่งหล่อนเห็นใบหน้าของอิชย์ หลังจากนั้น ความเจ็บปวดอย่างที่เรียกว่าเกินจะบรรยายก็ทิ่มแทงเข้ามาในทุกๆ เสี้ยวความรู้สึก รู้ตัวอีกทีก็กรีดร้องพร้อมกับเสียงของคุณหมอและพยาบาลที่กล่าวออกมาแทบพร้อมกันว่า
“คลอดแล้วนะคะคุณแม่ สมบูรณ์มากค่ะ”
หญิงสาวสะลึมสะลือลืมตา พลางหอบหายใจยาว แต่เมื่อนางพยาบาลอุ้มเจ้าตัวน้อยมาบนอก จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างง่ายดาย ความดีใจ ปลาบปลื้ม ตื้นตัน ประเดประดังเข้ามาอย่างท่วมท้น นับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้หล่อนมีความสุขที่สุดในชีวิต ยามได้โอบอุ้มลูกน้อยที่ตั้งตารอคอยแนบอกของตนเอง
จันทร์กระจ่างมองดวงหน้าน้อยๆ ด้วยความรู้สึกอิ่มเอม เครื่องหน้าจิ้มลิ้มนั้นดูคมเข้มแต่น้อย มือเล็กจิ๋วเรียวยาว ก่อนกอดจูบเขาอย่างแสนรักขณะที่น้ำตาก็ยังไม่ยอมหยุดไหล...
ยามสบตากลมโตคู่จิ๋วหล่อนบอกตนเองว่าเด็กคนนี้คือลูกชายตัวน้อยของหล่อน คือเจ้าของหัวใจ เขาคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และเป็นเจ้าของหล่อนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ใครที่ไหนทั้งนั้น...ไม่ใช่เขา คนที่อยู่ไกล...อย่างน้อยก็ไม่ใช่อีกต่อไป
จันทร์กระจ่างและลูกชายตัวอวบถูกย้ายออกมานอนในห้องพักฟื้นพิเศษหลังจากนั้นไม่นาน ปัทมา ทินกร พิพัฒน์ นางอำภาและนายสถาพร มาเยี่ยมกันอย่างพร้อมหน้า ทุกคนผลัดกันชื่นชมเจ้าหนูตัวอวบอ้วนบนที่นอนสำหรับเด็กอ่อนข้างเตียงคุณแม่สาวสวย พ่อหนูกลายเป็นขวัญใจของทุกคนแม้แต่คุณหมอและพยาบาล เขาช่างน่ารักนัก พอกินอิ่มก็นอนหลับปุ๋ยทันที ใครจะหอมแก้มจะชื่นชมอย่างไรก็ไม่คิดจะตื่นขึ้นมาร้องไห้งอแง
“ตายจริงจันทร์ ลูกชายแกนี่ขี้เซาชะมัด” ปัทมากระเซ้าหลานชายตัวน้อย พลางสอดปลายนิ้วเข้าไปในมือเล็กจิ๋วที่กำนิ้วของหล่อนแน่นทันที
จันทร์กระจ่างยิ้มหวานขณะมองลูกชายด้วยแววตาเปี่ยมประกายสุขสม
“เพิ่งกินนมอิ่มน่ะ เลยหลับลึก”
พิพัฒน์ขยับเข้าไปยืนมองหลานชายข้างๆ น้องสาว แล้วยิ้มกริ่ม ปัทมาหันไปมองพี่ชายแล้วเอ่ย
“อยากมีมั่งไหมล่ะ อยากมีก็รีบๆ ไปขอเมียได้แล้ว แม่กับพ่ออยากอุ้มหลานจะแย่”
สิ้นคำน้องสาว พิพัฒน์ก็หัวเราะพรืด แต่พอมองเจ้าตัวอวบอ้วนก็ให้นึกเอ็นดูไม่น้อยเลยทีเดียว ระหว่างนั้นนางลาวัลย์และนายสุภาพสองสามีภรรยาเพื่อนบ้านใจดีเดินทางมาถึงพอดี สองตายายหอบหิ้วผลไม้และนมกล่องพะรุงพะรัง
“เป็นยังไงบ้าง มาช้าไปหน่อย ป้าซื้อของมาฝากหนูด้วย” นางลาวัลย์วางของฝากเอาไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปทักทายคนอื่นๆ ก่อนจะหันไปมองคนตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้ม
“ขอบคุณนะคะ ป้าวัลย์กับลุงภาพไม่น่าลำบากเลย”
“ไม่ลำบากอะไรเลยหนู เรื่องเล็กน้อย” พูดจบนางก็ก้มมองเจ้าหนูบนที่นอนเด็กด้วยสายตาเอ็นดู “ไงเจ้าตัวเล็ก อ้วนท้วนสมบูรณ์ดีจริงๆ”
เมื่อทักทายพูดคุยและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเรียบร้อย ทั้งหมดก็ถอยไปนั่งคุยกันบนโซฟาชิดผนัง ส่วนปัทมาและพิพัฒน์นั่งอยู่ข้างเตียงจันทร์กระจ่าง
“หมอให้กลับบ้านได้วันไหนเหรอจันทร์” พิพัฒน์เอ่ยถาม แล้วมองใบหน้าเนียนของจันทร์กระจ่างสลับกับใบหน้าเล็กๆ ของเจ้าหนูตัวอวบที่มีส่วนคล้ายคลึงกับคนเป็นแม่ และบางส่วนคงจะเหมือนกับคนเป็นพ่ออยู่ไม่มากก็น้อย
“อีกสองสามวันก็กลับได้แล้วค่ะ” หญิงสาวตอบพลางเอื้อมมือไปแตะที่ศีรษะน้อยๆ ของลูกชายอย่างแผ่วเบา พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ปรากฏขึ้นยามหลุบตามอง ไม่ว่าก่อนหน้านี้หัวใจของหล่อนจะเคยเป็นของใครมาก่อน แต่ยามนี้ขอยกให้เจ้าก้อนแป้งขาวอวบคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
ทว่า...ความคิดเมื่อครู่ต้องสะดุดลง เมื่อประตูห้องพักถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับใครบางคนที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เจออีกแล้วในชีวิตนี้...