๑ คนเก่ายังอยู่ในใจ คนใหม่ยังอยู่ข้างกาย

2383 คำ
๑ คนเก่ายังอยู่ในใจ คนใหม่ยังอยู่ข้างกาย จันทร์กระจ่างนั่งรออิชย์อยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน จนกระทั่งเลยเวลาอาหารมาเกือบครึ่งชั่วโมง เสียงเรียกเข้าจึงดังออกมาจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า “ค่ะคุณอิชย์ ใกล้ถึงหรือยังคะ” เอ่ยถามออกไปพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ ทว่าคำตอบที่ดังกลับมาทำให้รอยยิ้มเมื่อครู่ค่อยๆ จางลงจนในที่สุดก็เหือดหายจากดวงหน้าหวาน “ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” เมื่อตัดสายจากอิชย์ หญิงสาวก็ผ่อนลมหายใจยาว คิ้วโก่งงามขมวดเข้าหากัน เพราะระหว่างที่เขาบอกว่าเที่ยงนี้มีธุระ จึงกลับมากินข้าวเที่ยงด้วยกันไม่ได้ หล่อนได้ยินเสียงของผู้หญิงไม่ผิดแน่ เสียงนั้นอ่อนหวานเสียจนหล่อนหวั่นใจ “คุณอยู่กับใคร” หญิงสาวรำพึงรำพันกับตนเอง รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาทันทีทั้งที่ยังไม่มีข้าวตกถึงท้องเลยสักเม็ด อาหารที่หล่อนตั้งใจทำรอเขาเป็นหมันอีกครั้ง กี่คราวแล้ว ที่เขาทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งไว้กลางทาง สำหรับเขา หล่อนคงเป็นคนที่สำคัญน้อยที่สุดกระมัง หญิงสาวเอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ พลางเม้มปากขณะมองตรงไปยังภาพเบื้องหน้า นึกถึงวันที่ตัดสินใจใช้ชีวิตกับเขา พลันน้ำตาก็ไหลออกมาจนต้องรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ผมไม่ใช่คนอ่อนหวาน หรือเอาใจเก่ง ถ้าคุณชอบแบบนี้ ก็ขอให้มองผ่านผมไปได้เลย สำหรับจันทร์กระจ่างแล้ว ไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้ ขอแค่เขามีเพียงหล่อน ต่อให้แข็งกระด้างแค่ไหน หล่อนก็ยังรักเขาเสมอ แต่เมื่อใดที่เขาปันใจให้ใครอื่น นั่นต่างหากที่หล่อนจะไม่ทน... หญิงสาวเดินกลับขึ้นห้อง นั่งลงบนเตียงกว้างที่ในทุกค่ำคืนจะมีเพียงเขาและหล่อนครอบครอง บางครั้งในยามที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา หล่อนอยากรู้ว่าหัวใจเขาอยู่ที่ใคร หล่อนหรือว่าผู้หญิงอีกคน... เขาไม่ชอบให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัว ไม่ชอบให้วุ่นวายกับกระเป๋าเงิน ไม่ชอบให้ถือวิสาสะดูโทรศัพท์ และไม่ชอบคนจู้จี้ และเรื่องมาก ซึ่งหล่อน ก็ไม่เคยทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แม้ลึกๆ ในหลายครั้ง หล่อนก็อยากจะตะโกนออกมาดังๆ และอาละวาดใส่เขาบ้าง แต่ที่ทำได้คือเงียบและยิ้มรับทุกอย่างที่เผชิญ อดทนเพราะคำว่ารักเพียงคำเดียว...ทุกอย่างเป็นเพราะหล่อนรักเขาข้างเดียว เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดที่โรงจอดรถในช่วงเกือบค่ำ ทำให้คนที่กำลังเตรียมตั้งโต๊ะอาหารชะเง้อมองออกไป พอเห็นว่าเป็นใครรอยยิ้มก็แต้มเรียวปากอิ่ม ดีใจทุกครั้งที่เขากลับบ้าน ท่าทางเนือยๆ ของร่างสูงทำให้จันทร์กระจ่างรีบรินน้ำส่งให้เขาทันทีที่อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะอาหาร “กลับมาจากฟาร์มหรือคะ” อิชย์วางแก้วน้ำที่ดื่มเกือบหมดแก้วลงบนโต๊ะพร้อมพยักหน้า “อืม วันนี้เข้าไปดูวัวมา ต้องแยกตัวที่ป่วยออกมาเกือบสิบตัว ตอนนี้ก็ให้ปศุสัตว์เฝ้าระวังโรคระบาด” “กินข้าวเลยไหมคะ” หญิงสาวไม่มีความเห็นในเรื่องนั้น เมื่อมองสีหน้าของเขาแล้วก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มกำลังเหนื่อย จึงไม่อยากถามซอกแซก โดยเฉพาะเรื่องตอนเที่ยง... “กินเลยก็ได้” เมื่อชายหนุ่มบอกเช่นนั้น หญิงสาวก็พยักหน้าบอกกับแม่ครัวให้ช่วยกันเสิร์ฟอาหาร หญิงสาวตักข้าวใส่จานให้ชายหนุ่ม แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม ระหว่างนั้นก็ลอบสังเกตสีหน้าของเขาไปพลาง ทั้งยังคอยดูแลตักกับใส่จานให้ชายหนุ่มอย่างต้องการเอาใจใส่ ขณะที่อีกฝ่ายก็กินไปเงียบๆ ไม่ได้ชวนคุยหรือบอกว่าเขาไปธุระที่ไหนกับใครในช่วงเที่ยง หญิงสาวเงยหน้ามองดวงหน้าคมเข้ม ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันเบาๆ หลายครั้งที่หล่อนคิดจะเอ่ยปากถาม แต่เมื่อมองกับข้าวบนโต๊ะ จึงปิดปากเงียบ ปล่อยให้เวลานี้ผ่านพ้นไป จนกระทั่งกินข้าวอิ่มกันทั้งคู่ ก็มีสายเรียกเข้าดังมาจากสมาร์ตโฟนของเขา ร่างสูงไม่มองหล่อน เขารับโทรศัพท์แล้วเดินห่างออกไปอย่างรวดเร็ว แต่หล่อนยังทันได้ยินเสียงหวานๆ ที่ดังลอดออกมาจากสมาร์ตโฟนของสามี หัวใจของจันทร์กระจ่างหล่นวูบ มือเย็นเยียบและสั่นระริกจนต้องรีบวางจานลงบนโต๊ะ กระทั่งแม่บ้านเดินออกมา หญิงสาวจึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วบอกให้ฝ่ายนั้นเก็บทุกอย่างกลับไป เกือบสี่ทุ่ม อิชย์จึงกลับเข้าห้องนอน ขณะที่หญิงสาวนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง เมื่อเขาก้าวเข้ามาก็ปรายตามองหล่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป หญิงสาวถอนหายใจ หนังสือที่ชอบนักชอบหนา กลับอ่านไม่เข้าหัวเลยสักนิด เพราะเอาแต่ครุ่นคิดถึงเจ้าของเสียงหวานที่ได้ยิน และมั่นใจว่าเป็นเสียงของคนคนเดียวกับที่ได้ยินในตอนเที่ยง สี่ทุ่มครึ่ง ร่างสูงใหญ่ของอิชย์ก็สอดเข้ามาภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน หญิงสาวขยับตัวและหันไปมองเขา ทำให้คนที่ทำท่าผ่อนคลายและกำลังจะหลับตาลงทันทีที่หัวถึงหมอนเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม “มีอะไรจะพูดหรือเปล่า” เมื่อเขาถาม หญิงสาวจึงขยับตัวนอนตะแคง และมองใบหน้าคมคายของเขา พร้อมกับวางมือลงบนแผงอกกำยำ ลูบเบาๆ ก่อนตัดสินใจถามออกไป “เมื่อตอนเที่ยงคุณบอกว่ามีธุระ คุณไปไหนมาคะ” เจ้าของดวงตาคมกริบสบตาคู่งามของคนข้างกายอยู่อึดใจก่อนจะเบือนหน้ามองขึ้นไปบนเพดาน นานอยู่หลายอึดใจจนจันทร์กระจ่างเกือบตัดใจ เขาจึงเอ่ยออกมา “เพื่อนแวะมาหา ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ก็เลยออกไปกินข้าวด้วยกัน” คำตอบของเขาทำให้คนถามหลุบตาลงมองที่ต้นแขนแกร่ง ริมฝีปากขบเม้มเบาๆ กล้ำกลืนฝืนใจรับคำตอบที่เขาบอกออกมา เขาเลิกนัดหล่อนแต่ออกไปกับเพื่อนแทน เพื่อนคนนี้คงสำคัญกับเขามากเลยสินะ... “เพื่อนคนไหนคะ จันทร์ รู้จักหรือเปล่า” หญิงสาวพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ เช่นเดียวกับสีหน้ายามถามที่เจือยิ้มเสมอ แม้ลึกๆ ลงไปแล้วจะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม เสียงถอนหายใจคล้ายจะรำคาญนิดๆ ของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวรู้ทันทีว่ากำลังทำให้เขาไม่พอใจ แต่หล่อนมีสิทธิ์รู้ไม่ใช่หรือ หล่อนเป็นเมียของเขา ไม่ใช่ใครอื่น... “จันทร์ได้ยินเสียงผู้หญิง” คนที่กำลังจะหลับตาลงลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหันไปมองคนที่ตั้งคำถามกับเขาด้วยสายตาเย็นชา หัวใจของหญิงสาวหล่นวูบยามสบสายตาคมกล้าก่อนหลุบตาลง อิชย์จะบอกปัดก็ได้ แต่เขาไม่ชอบโกหก ยิ่งได้เห็นหยาดน้ำใสๆ จากดวงตาคู่งาม หัวใจที่หงุดหงิดรำคาญก็ค่อยๆ เบาบางลง “เหมือนแพรกลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่ของเธอ พอดีว่าคลินิกของฉันเป็นทางผ่าน ก็เลยแวะมาทักทาย” ก็เลยพากันไปรำลึกความหลังตอนเที่ยงแทนการกลับมากินข้าวกับหล่อน… หญิงสาวได้แต่คิดด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ เหมือนแพร หล่อนรู้จักผู้หญิงคนนี้ เพราะในอดีตเคยเป็นคนสำคัญกับอิชย์มากกว่าใครๆ “เธอสบายดีหรือเปล่าคะ” ดวงหน้าหวานของคนถามเจือยิ้ม แววตาที่มองเขาไร้ร่องรอยหึงหวง ทำให้ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเขาไม่อยากทะเลาะกับหล่อนกลางดึกในเรื่องนี้ “สบายดี นอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันต้องออกแต่เช้า ต้องเข้าไปดูวัวก่อนแล้วต้องเข้าคลินิกอีก” หญิงสาวมองเขานิ่งเมื่อชายหนุ่มดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงช่วงอก และทำท่าจะหลับไปโดยไม่สนใจว่าหล่อนจะยังมองเขาอยู่หรือไม่ แต่ราวกับว่านึกขึ้นได้ จึงสบตาหญิงสาวอีกครั้ง และทันได้เห็นแววตาเศร้าหมองของจันทร์กระจ่าง จึงนิ่งอึ้งไปอึดใจก่อนรั้งร่างบางเข้าไปกอด พร้อมกระซิบเบาๆ “หลับเถอะ” หญิงสาวซุกกายเข้าหาอ้อมแขนของเขาเหมือนกับทุกคืน แต่หล่อนรู้ว่าค่ำคืนนี้ ต่างออกไปจากเดิม เพราะมีเงาของใครบางคนเพิ่มเติมเข้ามาในห้องใจของเขาจนไม่มีที่ให้หล่อนยืน... เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของอิชย์ดังสะท้อนออกมา ในขณะที่จันทร์กระจ่างพยายามหลับไปพร้อมกับน้ำตา... เช้าของวันใหม่ อิชย์เตรียมตัวออกจากบ้านเหมือนทุกวัน เขารับกาแฟจากจันทร์กระจ่างไปดื่ม พอหมดแก้วก็ส่งคืนหญิงสาว แล้วเดินตรงไปยังประตูบ้าน สวมรองเท้าผ้าใบเสร็จก็ก้าวตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัว โดยมีหญิงสาวก้าวตามไปติดๆ จนเมื่อเขาเปิดประตูรถเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ จึงเอ่ยถาม “คุณจะกลับมากินข้าวที่บ้านหรือเปล่าคะ” “วันนี้มีเรื่องให้ต้องจัดการเยอะ ไหนจะต้องเข้าคลินิก ฉันคงไม่ได้เข้ามา เธอไม่ต้องรอ” สิ้นเสียงห้าวทุ้ม เสียงสตาร์ตรถก็ดังกระหึ่ม หญิงสาวถอยหลังออกมาสองสามก้าวแล้วยืนมองอีกฝ่ายขับรถออกไปจนลับสายตา ก่อนกลับเข้าบ้านเพื่อดูแลความเรียบร้อยเหมือนทุกวัน ช่วงสายหญิงสาวขับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่งตรงไปยังบ้านของนายอังกูรและนางมนพร บิดาและมารดาของอิชย์ ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ทั้งสองอาศัยอยู่กับบุตรสาวคนโตที่ยังไร้วี่แววคู่ครอง อัจฉราโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างเมื่อได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่คุ้นชิน แล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ก่อนจะผลุบหายไปแล้วโผล่อีกทีที่ประตูบ้าน พอดีกับที่ร่างบางของจันทร์กระจ่างก้าวมาถึง “ไงจ๊ะ วันนี้มาแต่เช้า” อัจฉราทักทายด้วยสีหน้าแจ่มใส “แต่เช้าที่ไหนพี่อัจ นี่มันเกือบจะสิบโมงแล้ว สายโด่งแน่ะ” หญิงสาวกระเซ้าพี่สาวของสามี ขณะที่เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปภายในบ้าน “แกงเนื้อใส่มะเขือเปราะค่ะพี่อัจ” หญิงสาวส่งกับข้าวให้กับคนที่เป็นพี่สาวของสามี และเป็นเพื่อนรุ่นพี่ของตนมาก่อน “ขอบใจจ้ะ ลาภปากพี่แท้ๆ” หญิงสาวหัวเราะขันท่าทางปาดริมฝีปากของอีกฝ่าย ก่อนจะชะเง้อมองหาบิดาและมารดาของอีกฝ่าย “พ่อกับแม่ล่ะคะ” อัจฉราเดินนำสาวรุ่นน้องตรงไปยังครัวใหญ่ “ไปฟาร์มน่ะ ไปดูวัว เมื่อวานตาอิชย์แวะมาบอกว่าวัวเริ่มติดโรคระบาด เห็นว่าแยกตัวที่มีอาการออกไปพักอีกคอกหนึ่งแล้ว พ่อกับแม่ก็เลยออกไปแต่เช้าเหมือนกัน” อีกฝ่ายบอกเล่า พลางเก็บกล่องกับข้าวใส่ตู้เย็น จากนั้นทั้งสองก็ปักหลักนั่งคุยกันในครัวนั่นเอง “พักนี้เป็นไงบ้าง มีวี่แววบ้างไหม” คนถามหลุบตามองลงไปยังหน้าท้องของเพื่อนรุ่นน้อง ทั้งสายตาและริมฝีปากแต้มยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำให้คนถูกถามต้องก้มลงมองตามแล้วส่ายหน้าเบาๆ “ยังเลยพี่” คนฟังขมวดคิ้วนิ่วหน้า “ก็ไหนว่าปล่อยแล้วยังไงล่ะ ทำไมยังไม่มาอีก” คนอยากมีหลานเต็มแก่ทำหน้าผิดหวัง ทำให้คนตัวบางส่ายหน้ายิ้มๆ อีกครั้ง “ไม่รู้เหมือนกัน คุณอิชย์พาไปตรวจสุขภาพมาแล้ว ก็ปกติดีทุกอย่าง” “แบบนี้ต้องบำรุงนะ” คนพูดทำหน้าจริงจัง ก่อนจะหันไปรินน้ำให้กับหญิงสาวร่างเล็ก “ขอบคุณค่ะ” จันทร์กระจ่างเอ่ยขอบคุณ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง แววตาและสีหน้าคล้ายกับคนที่มีความคิดหมกมุ่น “มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าจันทร์” คนถูกถามหันกลับมาสบตา แล้วถอนหายใจยาว “เมื่อวานคุณแพรแวะมาหาคุณอิชย์ที่คลินิกค่ะ” คิ้วคู่งามของอัจฉราขมวดมุ่นแทบทันที “เหรอ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนมองน้องสะใภ้ด้วยสายตาค้นคว้า รับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจกับการพบกันของคนทั้งสอง “อย่าคิดมาก แพรเขามีผัวไปแล้ว ผัวเขาออกจะใหญ่โต ก็คงแค่แวะมาทักทายเพื่อนเก่าธรรมดานั่นแหละ” คำปลอบใจของอัจฉราทำให้คนฟังยิ้ม แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่ไม่สดใสเลยสักนิด “จันทร์” “จันทร์คงคิดมากเกินไปอย่างที่พี่อัจบอกจริงๆ” หญิงสาวพยายามยิ้มให้กับคนตรงหน้า ทว่าอัจฉราก็ยังเห็นว่าวันนี้จันทร์กระจ่างไม่สดใสเหมือนทุกวันอยู่ดี เรื่องแบบนี้ จะมองข้ามสัญชาตญาณหญิงไม่ได้ แต่ที่ตนต้องพูดแบบนั้นออกไปก็เพราะไม่อยากให้คนหน้าหมองต้องคิดมากจนเก็บเอาไปเครียด “อืม พี่ว่าเรามาช่วยกันทำกล้วยบวชชีดีกว่านะ เที่ยงนี้จะได้เอาไปให้พ่อกับแม่ ตาอิชย์แล้วก็คนงานที่ฟาร์ม นี่พี่กำลังรอกะทิจากแม่บ้านที่ออกไปซื้ออยู่ ระหว่างรอเรามาช่วยกันปอกกล้วยกันไปพลางๆ ก็แล้วกันนะ” “คุณอิชย์ไม่ไปคลินิกหรือคะ” จันทร์กระจ่างเอ่ยถามอย่างนึกแปลกใจ เพราะเขาบอกกับหล่อนว่าจะต้องเข้าคลินิกต่อ “ไม่หรอก อิชย์เพิ่งโทร.มาบอกพี่ก่อนหน้าจันทร์จะมาแป๊บเดียว ยิ่งฟาร์มยุ่งๆ แบบนี้ ก็คงจะไม่ได้ไปแล้ว” ได้ฟังเช่นนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้ารับรู้ ทว่าลึกๆ นั้นเต็มไปด้วยความน้อยใจ เขาบอกกับทุกคนได้ยกเว้นหล่อน เจ้าของดวงหน้าหวานหลุบตาลง ภายในส่วนลึกเกิดรอยร้าวขึ้นอีกครั้ง เป็นคนไม่สำคัญสินะ ไม่เคยเลยสักครั้ง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม