๗ จันทร์คืนแรม

2260 คำ
๗ จันทร์คืนแรม ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง ที่อิชย์ขับรถออกมาจากบ้านหลังนั้น ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นจันทร์กระจ่างคือเงาเลือนรางหลังม่านหน้าต่างบานหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เขาคล้ายกับคนสมองหายไปชั่วขณะก็คือตอนที่ปัทมาเดินลงมาแล้วยื่นซองเล็กๆ ให้ เมื่อเปิดออกหัวใจของเขาคล้ายกับหล่นวูบ ก่อนถูกกระทืบซ้ำด้วยประโยคที่ทำให้เขาพาตัวเองออกมาจากที่นั่นราวกับคนไร้วิญญาณ ‘จันทร์ฝากฉันมาบอกกับคุณด้วยว่า เขาก็เหมือนกับสายน้ำ’ ปัทมากล่าวออกมาด้วยท่าทางลำบากใจ ก่อนเอ่ยประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ดังกว่าประโยคแรก ‘เพราะมันไม่เคยไหลย้อนกลับ’ อิชย์เบนหน้ารถเข้าข้างทางก่อนจอดสนิท นิ่งงันและคิดถึงประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา เขาไม่ได้เจอหน้าหล่อนด้วยซ้ำไป ไม่ได้มีโอกาสถามในสิ่งที่อยากรู้สักคำ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้เลยสักอย่าง สายตาของทุกคนที่มองมานั้นทำให้ไม่แน่ใจว่ามันคือความสงสาร เห็นใจหรือสมเพช เพราะตอนนั้นสมองของเขาอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มหยิบแหวนออกมาจากซอง เขาเพ่งมองมันราวกับเป็นสิ่งของที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าแหวนวงนี้ไม่ใช่หรือที่เขาสวมมันให้หล่อนหลังจากตกลงใช้ชีวิตร่วมกัน เขายังจำรอยยิ้มและแววตาดีใจของหล่อนได้ รอยยิ้มของหล่อนสดใส แต่หลายครั้งเขาก็ทำให้มันหม่นหมอง ทำหล่อนร้องไห้ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พบหน้าหล่อนเป็นครั้งสุดท้าย ยิ่งคิดถึงจันทร์กระจ่าง หัวใจที่เคยด้านชาก็ยิ่งเจ็บแปลบ เป็นความรู้สึกปวดร้าวที่เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นอีก หัวคิ้วหนาเข้มพลันกระตุก แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่างถ่องแท้ เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ส่วนตัวก็ทำลายความคิดทุกอย่างลง “ครับ” เขารับโทรศัพท์สายนั้น แล้วความมืดก็ปกคลุมอิชย์อีกระลอก ดวงตาคู่คมมองกระจกส่องหลังที่สามารถพาเขากลับไปหาใครบางคน ถ้าหากเขาตัดสินใจหมุนพวงมาลัยกลับไป ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องพาหล่อนกลับไปกับเขาให้ได้ แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ได้รับรู้เมื่อครู่ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงได้แต่บอกกับตนเองว่าแล้วเขาจะกลับมาใหม่ และจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางได้อีก อัจฉราหันมองไปยังประตูห้องพิเศษที่ถูกเปิดเข้ามา เมื่อเห็นว่าเป็นใครหล่อนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แม่เป็นไงบ้าง” อิชย์เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเคร่งเครียด สายตายามมองมารดาบนเตียงผู้ป่วยเต็มไปด้วยความอ่อนล้าฉายให้เห็น “ดีขึ้นแล้ว เพิ่งหลับไปสักครึ่งชั่วโมง” หญิงสาวมองน้องชายที่นั่งลงข้างๆ ตน เขาถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้า “เจอไหม” คนที่มองมารดาด้วยสายตาเป็นห่วงผ่อนลมหายใจอีกครั้ง “ไม่เชิงว่าเจอ แต่รู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน” คำตอบของน้องชายทำให้คนเป็นพี่สาวขยับตัวอย่างอยากรู้ “ก็แสดงว่าไม่ได้คุยกันน่ะสิ” คนเป็นน้องนิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง อัจฉรากะพริบตาปริบๆ มองซองในมือน้องชาย แต่เมื่อฝ่ายนั้นหยิบบางอย่างออกมา คนเห็นก็ถึงกับใจหาย แหวนวงนี้มาอยู่กับน้องชายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าทั้งคู่... อัจฉราถอนหายใจยาว รู้สึกหดหู่ ความหวังว่าน้องสะใภ้จะตามน้องชายกลับมามีอันพังทลาย เพราะจำได้ว่าเป็นแหวนที่อิชย์เคยมอบให้จันทร์กระจ่างตอนที่พาเข้าบ้านมาใหม่ๆ หญิงสาวมองหน้าคนที่นั่งข้างๆ ด้วยสายตาที่อ่อนแสงลง จากที่เคยโกรธกลับกลายเป็นสงสาร จึงยกมือขึ้นบีบไหล่บ่าตึงแน่นที่ดูจะห่อลง ไม่ถึงกับหมดสง่าราศี แต่ก็ดูออกว่ากำลังผิดหวังไม่น้อย อิชย์ดึงสร้อยที่คล้องคอของตนออกมา ปลดตะขอแล้วสอดแหวนเข้าไป มือใหญ่แตะแหวนที่ห้อยอยู่กับสร้อยของเขาเล็กน้อยราวจะรำลึกถึงคนใส่ ก่อนผละมือลงไปกุมมือมารดาที่มีสายน้ำเกลือและยาเสียบอยู่ “หมอว่าแม่เป็นไงบ้าง” “หมอบอกว่าแม่เครียดมากเกินไปก็เลยหมดสติ ดีนะที่ไม่ถึงกับเส้นเลือดแตก ไม่อย่างนั้น...” น้ำเสียงที่แผ่วลงของพี่สาวทำให้อิชย์บดกรามแน่น รู้ทันทีว่ามารดาเครียดเรื่องอะไร ทุกอย่างเป็นเพราะเขา ท่านจึงต้องมาเป็นแบบนี้ “แกกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ พี่จะอยู่ดูแลแม่เอง” คนนั่งมองมารดาด้วยสายตาหม่นมัวสบตาพี่สาว “ขอบคุณครับ แต่ผมว่าจะอยู่อีกสักพัก” เขาตอบ แล้วนึกถึงบิดาขึ้นมา “พ่อล่ะ” “พ่อกลับไปนานแล้ว ต้องไปดูฟาร์ม วัวตายไปสี่ห้าตัวแล้วนะอิชย์” คำตอบของพี่สาวทำให้น้องชายนิ่งอึ้ง ยิ่งใจหายลงไปอีกเมื่ออัจฉรากล่าวออกมาอีกว่า “แล้ววันนี้ทำท่าจะตายอีกเป็นสิบ พ่อเลยอยู่ไม่ได้ ต้องรีบกลับไปดูแล” ชายหนุ่มมองมารดา ทว่าในหัวของเขากำลังคิดถึงเรื่องที่พี่สาวบอก แล้วไหวแวบไปคิดถึงจันทร์กระจ่าง ราวกับเป็นคราวซวยของเขา ที่ทุกเรื่องแย่ๆ ประเดประดังเข้ามาให้เขาแก้ปัญหาพร้อมกันแบบนี้ เขาควรจัดการเรื่องไหนก่อนดี... ชายหนุ่มหลุบตามองมารดา เขากระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ต้องเป็นท่านสิ แม่ของเขาต้องมาก่อน จันทร์กระจ่างรอได้ เขารู้แล้วว่าหล่อนอยู่ที่ไหน ส่วนวัว หากยื้อไม่ไหว ก็คงต้องกำจัดมันให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะนำพาเชื้อโรคลามไปติดกับวัวตัวอื่นๆ ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความหนักหัวหนักใจ สลับกับการถอนหายใจยาวเหยียด “กินอะไรมาหรือยัง” คนที่นั่งมองน้องชายด้วยความสงสารเอ่ยถาม เพราะไม่เจอเขาแค่วันสองวันอีกฝ่ายดูแก่ลงจม อาจคงเป็นเพราะความเครียดที่สุมใจ “ผมไม่หิว” เขาส่ายหัว ทว่าคนเป็นพี่กลับยอมไม่ได้ “กินสักหน่อยเถอะ พี่ไม่อยากให้แกต้องล้มลงไปอีกคน” พูดจบอัจฉราก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินตรงไปยังมุมห้องที่มีอาหารและผลไม้วางรวมกันอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครา เขามองมารดาอย่างเป็นห่วง แต่ความคิดก็วกกลับไปที่จันทร์กระจ่าง แล้ววูบหนึ่งใบหน้าของอดีตคนรักก็หวนกลับมา วินาทีนั้นทำให้เขารู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาเขาลืมเหมือนแพรไปเสียสนิท... แม้ยามนี้ ความรู้สึกที่เคยโหยหาก็กลับกลายเป็นความรู้สึกเฉยชาลงไปเสียอย่างนั้น เกิดอะไรขึ้นกับใจของเขากันแน่... ไม่รู้อะไรทำให้จันทร์กระจ่างมั่นใจว่าอิชย์จะต้องกลับมาอีกในเร็วๆ นี้ จากที่ยังคิดใคร่ครวญเรื่องบ้านเช่าหญิงสาวจึงตัดสินใจตอบตกลงทันที ทั้งยังขอร้องทุกคนไม่ให้เอ่ยถึงตัวหล่อนและเรื่องลูกให้อิชย์รับรู้หากเขากลับมาอีกหน จากกันครั้งนี้หล่อนขอลืมเขาชนิดสิ้นเยื่อไม่เหลือใย เพราะไม่อยากกลับไปเป็นของตายที่ไร้ค่าอีก สู้ออกมาแบบนี้ตัดขาดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาเป็นดีที่สุด แม้จะผิดในเรื่องลูกอยู่บ้าง แต่หล่อนคิดว่าอิชย์คงไม่ว่าอะไร อาจมีใหม่ได้ไม่ยากกับคนที่เขารักและต้องการจริงๆ ซึ่งมันไม่มีวันเป็นหล่อนไปได้เลย หลังจากที่ช่วยกันขนของที่มีไม่มากย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านเช่าเป็นวันแรก ทั้งทินกรและปัทมาช่วยหล่อนทำความสะอาดบ้านจนน่าอยู่ และคืนแรกที่ย้ายเข้ามาบ้านใหม่ทั้งสองก็ยังอาสาอยู่เป็นเพื่อนหล่อนในคืนแรก ส่วนคืนถัดไปเพื่อนรักยังคงยืนยันจะอยู่เป็นเพื่อนไปจนกว่าจะแน่ใจว่าที่นี่ปลอดภัยจริงๆ ส่วนทินกรต้องกลับไปทำงานของเขา แต่ก็คอยโทรศัพท์ถามไถ่คนรักอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สองสาวออกมานั่งเล่นยังชิงช้าข้างบ้านที่เจ้าของทำเอาไว้ ต่างเงียบงันขณะมองไปรอบๆ บริเวณ หลายครั้งมีคนขับรถผ่านไป ข้างบ้านชะเง้อมองเมื่อรู้ว่ามีคนเข้ามาอยู่ใหม่ ทั้งสองจึงทักทายกลับไปด้วยต้องการผูกมิตร เพื่อนบ้านใหม่ที่อยู่ด้านซ้ายของจันทร์กระจ่างเป็นคุณตากับคุณยายในวัยเกษียณ ลูกๆ ต่างออกจากบ้านไปทำงานไกลในเมืองหลวง ช้าๆ นานๆ จึงกลับมาเยี่ยมบ้านเสียที ด้านขวาเป็นครอบครัวใหญ่ที่อยู่กันราวห้าหกคน มีทั้งคนชราไปจนถึงลูกเด็กเล็กแดง บ้านตรงกันข้าม เป็นคู่รักวัยประมาณสี่สิบปี ไม่มีลูก จึงมีอิสระเต็มที่และชอบเดินทางท่องเที่ยว “ที่นี่เงียบสงบดีนะ” ปัทมาเปรยขึ้น เพราะนั่งมาตั้งนานแทบไม่ได้ยินเสียงใครตะโกนหรือทำเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน “น่าอยู่มาก แต่พอนั่งไปนั่งมาสักพักรู้สึกเหงาเฉยเลย” จันทร์กระจ่างยิ้มจางๆ แบบนี้สิ ที่หล่อนต้องการ “ฉันชอบแบบนี้ ชอบเงียบๆ ฉันว่าจะเขียนหนังสือที่เขียนค้างเอาไว้ต่อให้จบ หารายได้เพิ่ม” หญิงสาวบอกสิ่งที่คิดจะทำต่อจากนี้ให้กับเพื่อนได้รับรู้ “แล้วงานแปลล่ะ ยังทำอยู่ไหม” “ทำสิ แต่พอหมดงานแปลก็จะเขียนงานของตัวเองเสริมไปด้วย ฉันไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ระหว่างที่ยังทำอะไรได้ ก็เลยว่าจะเขียนไปพลางๆ” ปัทมาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย รอยยิ้มที่เจืออยู่บนดวงหน้าเรียวจึงสว่างขึ้น “แกทำได้อยู่แล้ว” จันทร์กระจ่างสบตาเพื่อนที่พูดให้กำลังใจแล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่าย พอตกเย็น เพื่อนบ้านเริ่มออกมาเดินเล่น พบปะ บ้างก็วิ่งออกกำลังกาย ทั้งสองจึงออกไปแนะนำตัวและทักทายคนเหล่านั้นพร้อมของฝากเล็กๆ น้อยๆ เมื่อรู้จักกันพอประมาณจึงแยกย้ายกลับบ้าน คืนนี้เป็นคืนเดือนแรม ฟ้าจึงค่อนข้างมืด ดีที่มีไฟที่ติดอยู่กับเสาไฟฟ้า จึงช่วยให้ไม่น่ากลัวจนเกินไปนัก ยามค่ำคืนในต่างจังหวัดค่อนข้างเงียบเหงา จึงมักมีเสียงแมลงร้องออกมาให้ได้ยินเสมอ น้อยๆ ก็ฟังเพลินดี แต่ถ้ามากกว่านี้ก็ทำให้เกิดความรำคาญได้เหมือนกัน จันทร์กระจ่างนั่งเท้าคางอยู่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่าง ตามองไปยังเพื่อนที่กำลังคุยโทรศัพท์กับคนรัก ดวงหน้าอ่อนโยนของปัทมาดูงดงามขึ้นยามสื่อสารกับคนปลายสาย หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาวแล้วมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ภายนอกถูกปกคลุมด้วยความมืด ทำสมาธิอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงเปิดแล็ปท็อปขึ้นมา แล้วเริ่มทำงานที่ค้างเอาไว้หลายวันทันที เมื่อได้จมดิ่งลงไปในตัวอักษร หญิงสาวก็ลืมเวลาเหมือนทุกครั้ง เมื่อเงยหน้าจากจอจึงนึกขึ้นได้รีบหันไปมองปัทมา ปรากฏว่าฝ่ายนั้นหลับไปเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวส่ายหน้าด้วยความขบขัน ก่อนจะปิดหน้าจอลงแล้วตรงไปยังห้องน้ำ เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็ก้มลงมองตรงที่หน้าท้องซึ่งยังคงแบนราบของตน มือเรียวลูบไล้เบาๆ ด้วยความรู้สึกรักใคร่นับแต่แน่ชัดว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในนี้ และเขาคือเลือดเนื้อเชื้อไขของหล่อน รอยยิ้มอ่อนโยนยามมองลงยังที่ตั้งของลูกน้อยค่อยๆ จางหายเมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกเงา เพราะเมื่อสบตาตนเอง ก็ราวกับมีสายตาของใครอีกคนที่หล่อนตัดสินใจเดินออกมาจากชีวิตของเขาเงียบๆ กำลังมองมาอย่างตัดพ้อ แต่นั่นเป็นเพราะหล่อนคิดดีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้ หล่อนจะไม่กลับไปอยู่กับคนที่ไม่เคยคิดว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆ เขาทุกคืนวันคือหล่อนอีกอย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้ ความเจ็บปวดก็บาดลึกซ่านซึมอยู่ในอก น้ำตาพลันเอ่อคลอ หล่อนรู้ว่ายากที่จะลืมเขาได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่สักวันเถอะ...ต้องมีสักวันที่หล่อนจะลืมเขาได้อย่างหมดใจ “ถึงไม่มีพ่อ แต่แม่จะดูแลหนูอย่างดีที่สุดนะคะคนเก่ง” เสียงกระซิบที่ดังออกมาจากห้องน้ำทำให้คนที่ตั้งใจเคาะประตูยกมือค้างพลางผ่อนลมหายใจยาวอยู่หน้าประตู คบหากันมานานหลายปี ปัทมาจึงรู้ดีว่าหากเพื่อนรักตัดสินใจทำสิ่งใดลงไปแล้วนั้น ไม่มีทางที่ใครหรืออะไรจะมาเปลี่ยนแปลงความคิดของอีกฝ่ายได้ง่ายๆ หากอิชย์มีความจริงใจกับเพื่อนของหล่อนอย่างแท้จริง เขาจะต้องเริ่มต้นพิสูจน์ตัวเองใหม่อีกครั้ง หรือไม่...ก็อาจจะต้องใช้เวลาพิสูจน์ไปตลอดชีวิต ก็หวังว่าอิชย์จะไม่ท้อไปเสียก่อน... ส่วนหล่อน ขอยืนมองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงใย พร้อมด้วยความปรารถนาดีต่อจันทร์กระจ่างไม่เปลี่ยนแปลง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม