ช่วงเย็นฉันมีซ้อมละครเวทีเช่นเดิม ตลอดเวลาการซ้อมฉันมัวแต่ตั้งใจจนไม่ทันสังเกตคนดูเบื้องล่าง กระทั่งถึงช่วงพักเบรก ทุกคนแยกย้ายกันไปพัก เสียงซุบซิบจากเพื่อนร่วมแสดงเรียกความสนใจจากฉัน
“ใช่เหรอ… เขามาทำอะไรที่นี่อ่ะ”
“นั่นสิ ๆ เขาอยู่เอกดนตรีสากลนี่นา โอ๊ย… หล่อราวเทพบุตรเลยแม่!”
“มีอะไรกันเหรอ” ฉันอดไม่ได้ที่จะหันไปถาม ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่บนพื้นเวที แสงไฟจากเวทีส่องแยงตามากจึงมองไปทางเก้าอี้คนดูเบื้องล่างไม่ค่อยชัด แต่เห็นพวกเธอกำลังมองไปทางนั้นแล้วซุบซิบกัน
“อ้อ เหมือนพวกเราจะเห็นเอสเอกดนตรีสากลน่ะสิ”
“เอสเอกดนตรีสากล?” ฉันทวนคำ
“อื้อ! คนที่หล่อ ๆ ร้องเพลงเพราะ ๆ ไง ปีที่แล้วเขาได้ขึ้นแสดงในงานคณะเราด้วย ปีนี้ก็คงได้ขึ้นเหมือนกัน”
ฉันเปิดฝาขวดน้ำขึ้นดื่มขณะฟังสองสาวเม้าส์อย่างออกรส ปกติฉันไม่ค่อยตามข่าวคราวในมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่จึงไม่ค่อยรู้จักใครมากนัก
“รู้สึกจะชื่อว่าอะไรนะ อืม… อ้อ! พี่ไวน์!”
“แค่ก ๆ ๆ !” ฉันสำลักน้ำแทบจะทันที เมื่อครู่ฉันไม่ได้หูฝาดใช่ไหม?
“เอ้า เป็นอะไรหรือเปล่าจา” วายุที่เพิ่งนั่งลงข้างฉันรีบลูบหลังให้ ฉันส่ายหน้าพลางรับกระดาษทิชชูมาเช็ดปาก สายตามองย้อนแสงสปอตไลต์ลงไปทางที่นั่งคนดูเบื้องล่าง
และนั่น… ฉันเห็นพี่ไวน์นั่งอยู่ตรงนั้นจริง ๆ ด้วย!
เขาส่งยิ้มให้ฉัน แถมยังโบกมือทักทาย ทุกคนที่นั่งอยู่บนนี้พากันมองเขาสลับกับฉัน
“เดี๋ยวจามานะ”
ฉันลุกขึ้นเดินไปทางหลังเวทีเพื่อลงไปหาพี่ไวน์ เขาเองก็ลุกมายืนรอฉันราวกับรู้ตัวงั้นแหละ
“พี่ไวน์มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?” ฉันถามอย่างไม่อ้อมค้อม
“พอดีพี่มีซ้อมขึ้นแสดงแถวนี้ก็เลยแวะมานั่งเล่นที่นี่ระหว่างพักซ้อมน่ะ” เขายิ้มตอบ ฉันจ้องมองเขานิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรต่อ พี่ไวน์เม้มปากยิ้ม ยกมือขึ้นยอมแพ้ “โอเค พี่ยอมรับก็ได้ว่าจริง ๆ แล้วพี่ตั้งใจมาหาจา”
“มาหาจาเหรอคะ?” ฉันขมวดคิ้ว “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ก็… ไม่มีอะไรมากหรอก” เขาตอบอึกอัก เสสายตาไปทางอื่นคล้ายกำลังประมวลความคิด ท่าทางเขาแปลกไปจากเมื่อคืนเล็กน้อย แต่ยังคงรอยยิ้มใจดีและแววตาอบอุ่นเช่นเดิม “พี่แค่อยากมาดูจาซ้อมน่ะ”
ฉันนิ่งงัน ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมพี่ไวน์ถึงอยากมาดูฉันซ้อมละคร หรือว่าเขาชอบบทละครเรื่องนี้นะ
“เอ่อ… ถ้างั้นก็ตามสบายเลยค่ะ จาขอตัวกลับไปซ้อมต่อนะคะ” ฉันขยับยิ้มตอบ ปลายสายตาเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งปลายแถวใกล้ประตูทางออก ฉันจึงหันไปมองเต็มสายตา เห็นเพียงแผ่นหลังของร่างสูงสวมฮู้ดคลุมศีรษะกำลังเดินออกไป คิ้วขมวดน้อย ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างแล่นวาบเข้ามา
“มีอะไรหรือเปล่า ใครเหรอ” พี่ไวน์มองตามสายตาฉัน ฉันดึงสายตากลับมา ส่ายหน้าตอบ
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกคุ้น ๆ นิดหน่อย ถ้างั้นจาขอตัวก่อนนะคะ”
“โอเค พี่ก็จะไปซ้อมต่อแล้วเหมือนกัน งั้นไว้เจอกันใหม่นะ” พี่ไวน์ก้มหน้ามาใกล้ วางมือลงบนศีรษะฉันเบา ๆ พลางยิ้มเอ็นดู “จาก็สู้ ๆ นะ”
“ขอบคุณค่ะ พี่ไวน์ก็ด้วยนะคะ”
“แน่นอน” เขายิ้มกว้างให้ฉันอีกแล้ว ผู้ชายคนนี้ขยันยิ้มจังเลย รอบตัวเขาดูสดใสและอบอุ่นอยู่เสมอ แตกต่างจากใครอีกคน… ผู้ชายคนนั้นนอกจากจะยิ้มยาก หน้าตาย ยังชอบแผ่รังสีเย็นยะเยือกออกมาตลอดเวลาอีกต่างหาก
บ้าจริง… แล้วฉันจะไปคิดถึงเขาทำไมล่ะเนี่ย
.
.
.
ตัดมาทางด้านร่างสูงที่เพิ่งเดินออกมาจากโรงละครด้วยอาการหัวเสียนิด ๆ เขาปัดฮู้ดบนศีรษะออกเผยให้เห็นเรือนผมสีเทาควันบุหรี่ที่มัดรวบไว้ด้านข้างหลวม ๆ
มือหนาหยิบมวนบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ยืนพิงผนังตึกด้วยท่าทางอารมณ์ไม่ดี ยิ่งคิดถึงใบหน้าสวยที่กำลังยิ้มหวานเมื่อครู่ ความหงุดหงิดยิ่งทวีคูณขึ้นมา
“เฮอะ! อยากได้อิสระ อยากไปจากฉัน หรืออยากอ่อยผู้ชายกันแน่วะ!” เขาบ่นงึมงำขณะริมฝีปากยังคาบบุหรี่อยู่ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งเดินออกมาจากโรงละคร ริมฝีปากหนาแสยะยิ้ม มองตามชายคนนั้นไปจนลับสายตา
เขารู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร เพราะแบบนั้นถึงได้หงุดหงิด
“เปิดช่องโหว่ไว้แค่แป๊บเดียวก็มีหนูสกปรกน่ารำคาญมายุ่งแล้ว ฮึ!”
มวนบุหรี่ถูกทิ้งลงพื้น ปลายรองเท้าหนาบดขยี้แรง ๆ สองสามทีก่อนเงยหน้ามองไปทางโรงละคร
“คิดจะไปจากฉันงั้นเหรอ… ฮึ… อย่าฝัน!”