“งั้นฉันกดส่งได้เลยสินะ”
ฉันชะงักพลางจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์ของเขา สิบทิศกำลังเปิดหน้าห้องแชทของเก้าทัพอยู่ แถมพิมพ์ข้อความเตรียมจะส่งเอาไว้แล้วด้วย
‘ตุ๊กตามึงหนีเที่ยวว่ะ’
“ยะ อย่าส่งนะ!” ฉันแทบจะถลาไปนั่งบนตักสิบทิศเลย โชคดีที่เอี้ยวตัวหลบมานั่งด้านข้างเขาทัน ไม่งั้นได้อับอายขายหน้าอีกแน่ ๆ
“ใจเย็น ฉันยังไม่ได้กดส่งสักหน่อย” เขารั้งโทรศัพท์หนีฉันไปอีกทาง ขณะมืออีกข้างจับข้อมือฉันเอาไว้ สีหน้ายิ้มกริ่มคล้ายกำลังสนุกกับการกลั่นแกล้งฉันนั่นมันคืออะไร?! ผู้ชายคนนี้โรคจิตเหมือนเก้าทัพไม่มีผิดเลย!
“ห้ามบอกเขานะ! จาไม่อยากเจอเขา” ฉันตวัดสายตามองอย่างนึกหงุดหงิดใจ อุตส่าห์หนีจากเก้าทัพยังจะมาเจอสิบทิศอีก ปวดหัวจริง ๆ!
“ทำไม? มันเป็นเรื่องปกติของพวกเธอนี่ เธอเป็นตุ๊กตาสุดที่รักของมันไม่ใช่หรือไง”
“มันไม่ปกตินะคะ! ไม่สักนิด! จาไม่ใช่ตุ๊กตา! จาก็มีความรู้สึกเหมือนพวกพี่นะ!” ฉันตวาดเสียงใส่ด้วยความลืมตัว ยิ่งได้เห็นสีหน้าท่าทางของสิบทิศที่คล้ายคลึงเก้าทัพราวกับคนเดียวกันฉันก็ยิ่งโมโห ฉันสะบัดแขนออกจากการจับกุมแล้วลุกกลับมานั่งที่เดิม สิบทิศมองตาม เขาเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงไปแล้ว ฉันลอบถอนหายใจ
“น่าสนใจ ตุ๊กตาอยากจะมีความรู้สึกขึ้นมางั้นสินะ” เขาพูดพึมพำขณะจิบเหล้า “แล้ว… มันว่าไงล่ะ?”
“อะไรคะ” ฉันค้อนใส่อย่างไม่ชอบใจ
“ไอ้เก้าไง มันว่าไง มันยอมปล่อยเธอไหมล่ะ”
“คิดว่าไงล่ะคะ ถ้าเป็นพี่… พี่จะปล่อยไหมล่ะ?” ฉันย้อนถาม
“…” สิบทิศกระดกเหล้าจนหมดแก้วก่อนสบตาฉันพลางยกยิ้มร้ายมุมปาก “แน่นอนว่า… ไม่”
“เหอะ!” ฉันกลอกตาใส่ สมแล้วที่สายเลือดเดียวกัน!
“ของของฉันก็คือของฉัน ต่อให้ฉันโยนทิ้งไปแล้ว แต่ถ้าฉันอยากจะเก็บกลับมาใช้ใหม่ ยังไงมันก็คือของฉันอยู่ดี”
“นั่นมันตรรกะอะไรกัน พวกพี่ควรจะเลิกมองคนอื่นเป็นของเล่นเป็นตุ๊กตาได้แล้วนะ ไม่มีใครอยากเป็นของเล่นของใครหรอกค่ะ พี่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครไม่ใช่หรือไง” ฉันลุกขึ้นหลังพูดจบ ไม่อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกสักวินาที ตรรกะสิบทิศป่วยไม่แพ้เก้าทัพเลย ฉันอยู่กับคนแบบนี้นาน ๆ ไม่ไหวอีกแล้ว
ตุ๊กตาเหรอ? ของเล่นงั้นเหรอ? บ้าบอสิ้นดี!
.
.
.
ฉันกลับมาถึงบ้านตอนห้าทุ่มกว่า ตลอดทางที่เดินขึ้นมาที่ห้อง ฉันไม่ได้เปิดไฟในบ้านสักดวง กระทั่งเข้ามาในห้องนอนแล้วถึงกดเปิดสวิตช์ไฟ
พรึ่บ
“ว้าย!” ฉันอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อทันทีที่ไฟในห้องสว่างวาบ ภาพของผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังนั่งกอดอกอยู่บนเตียงปรากฏสู่สายตาฉัน “พี่เก้า!”
เป็นเก้าทัพที่นั่งอยู่บนเตียงของฉัน สีหน้าเขานิ่งเรียบมาก แววตาคมเข้มทอประกายดุดัน แต่ฉันไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ควรสนใจที่สุดตอนนี้ก็คือ…
“พี่เข้ามาในห้องจาได้ยังไง!”
ความระแวงทำให้ฉันถอยหลังจนแผ่นหลังติดบานประตู ปกติแล้วผู้ชายคนนี้น่ากลัว เวลาอยู่สองต่อสองเขายิ่งน่ากลัวเท่าทวีคูณ
“กลิ่นเหล้า” เขาพูดเพียงสองคำก่อนลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาประชิดตัวฉัน ฉันสะดุ้งตกใจ ทำได้เพียงยืนนิ่ง ปลายจมูกโด่งก้มลงมาสูดดมข้างแก้ม ฉันเม้มปากแน่นเบี่ยงหน้าหนี
เขาน่ากลัว… น่ากลัวเกินไปแล้ว
“กลิ่นบุหรี่”
“…”
“ไปไหนมา” เสียงทุ้มกดต่ำถาม
ฉันเม้มปากเงียบไม่ตอบ และมันคงสร้างความหงุดหงิดให้กับคนถามพอสมควร
“จายา!” เก้าทัพตวาดลั่นห้อง สัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์คุกรุ่น ฉันกำมือแน่น รวบรวมสติและความกล้าหันกลับมาเผชิญหน้าเขา
“จาไปดื่มกับเพื่อนมา ได้คำตอบแล้วก็กลับไปซะ จาเหนื่อย อยากพัก” ฉันผลักไหล่เขาแล้วเดินหนี พยายามทำใจแข็งไม่หวั่นกลัว แม้ว่าตอนนี้สองมือจะสั่นเทามากก็ตาม
หมับ
พรึ่บ
“อ๊ะ… จะทำอะไร?!”
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก อยู่ ๆ โลกก็หมุนกะทันหัน รู้ตัวอีกทีร่างของฉันถูกผลักลงนอนราบบนที่นอนโดยมีร่างสูงของเก้าทัพคร่อมทับ ฉันแทบลืมหายใจตอนที่ใบหน้าหล่อร้ายขยับลงมาใกล้ แววตาและสีหน้าของเขาเย็นชามาก ราวกับว่าฉันทำเขาโมโหจนทะลุจุดเดือดไปแล้ว
“เธอลองดีกับฉันมากไปแล้วจายา! อยากเห็นฉันคลั่งนักใช่ไหม!”
“ปล่อยจานะพี่เก้า! พี่ไม่มีสิทธิ์มาทำกับจาแบบนี้!” ฉันพยายามจะดิ้น แต่มือหนาของเขาดั่งคีมเหล็ก ฉันไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
“สิทธิ์เหรอ? เธอยังจะถามหาสิทธิ์จากฉันอีกเหรอจา!”
โอเค… เก้าทัพฟิวส์ขาดอีกแล้ว และครั้งนี้ดูเหมือนว่าฉันจะรอดไปได้ยาก ถ้างั้นก็ท้าชนไปเลยแล้วกัน
“พี่ไม่ใช่แฟนจา ไม่ใช่พี่ชายจา เราไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่ไม่มีสิทธิ์ในตัวจาเลยด้วยซ้ำ!” ในเมื่อเขาตะโกนมา ฉันก็ตะโกนกลับ ไม่โกง
เก้าทัพชะงักไป เขาคงอึ้งเพราะคิดไม่ถึงว่าฉันจะต่อต้านเขาหนักขนาดนี้ แต่มันเกินพอแล้วไง ฉันไม่ไหวกับความเผด็จการของเขาอีกแล้ว
“เธอว่าไงนะ… ฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธองั้นเหรอ?”
“ใช่! ตอนเด็ก ๆ จาอาจจะยอมพี่ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว” ฉันจ้องตาเก้าทัพอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่ใช่แค่เขาที่ฟิวส์ขาด ฟิวส์ฉันเองก็ขาดจนระเบิดแล้วเหมือนกัน “จาโตแล้ว จาไม่ใช่เด็กน้อยที่ต้องคอยทำตามคำสั่งพี่อีกแล้ว จาไม่ต้องพึ่งพาพี่แล้ว จาอยากได้อิสระ… อื้อ!”