บทที่ 3 ใช่ลูกผมไหม

1826 คำ
ภูวิศถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ หลังจากเอาเรื่องของสองแม่ลูกไปปรึกษาคนสนิท ทั้งหมดให้ความเห็นตรงกันว่า เด็กชายเจ้าป่ามีเค้าโครงใบหน้าคล้ายกับเขาแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะเวลามองทางซ้ายจะเหมือนแม่ เวลามองทางขวาจะเหมือนเขา แต่หากมองตรงๆ ก็จะเหมือนกับเอาคนทั้งสองมารวมกัน “เฮ้อ เอายังไงดีวะกู” ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความกลุ้มใจขณะมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่กำลังแล่นไปข้างหน้า วันนี้เขาต้องไปร่วมงานเลี้ยงซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง จึงออกมาพร้อมกับเลขาคู่ใจที่ทำงานด้วยกันมานานหลายปี วินัยซึ่งนั่งอยู่ตรงเบาะหน้าคู่กับคนขับรถ ได้ยินเจ้านายของตนเองที่ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทพีวีดีไซน์ถอนหายใจดังเฮือกก็อดหันหน้าไปมองไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ถอนหายใจทำไมครับท่านรอง มีปัญหาอะไรรึเปล่า ให้ผมช่วยอะไรไหม หรือว่ายังคิดถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้นกับเด็ก” เขารู้เรื่องนี้เพราะภูวิศนำมาปรึกษาเมื่อหลายวันก่อน ภูวิศถอนหายใจอีกรอบหลังจากเปิดโทรศัพท์แล้วดูรูปของสองแม่ลูกที่เขาแอบไปถ่ายมา ถ้าเด็กชายเจ้าป่าหน้าเหมือนเขาร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงจะดี เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งเดาอยู่แบบนี้ “ก็ผมอยากรู้ ตกลงเด็กคนนั้นเป็นลูกของผมไหม คุณวินัยว่ายังไง คิดว่าเป็นลูกของผมรึเปล่า” ถ้าใช่ เขาจะได้ทำเรื่องที่ถูกต้องอย่างเช่นรับมาเลี้ยงดูเอง หรือส่งเสียค่าเลี้ยงดูในฐานะพ่อ คำถามของเจ้านายทำให้คุณเลขาคิดหนัก เพราะเด็กในรูปที่เคยเห็นเหมือนภูวิศก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนเสียทีเดียว สมัยนี้คนหน้าตาคล้ายกันมีให้เห็นบ่อย ทางเดียวที่จะยืนยันความจริงได้คือการใช้ผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ “คิดว่าเป็นไปได้ครับ เอาไว้พรุ่งนี้ท่านรองลองไปคุยกับเธอแล้วลองขอตรวจดีเอ็นเอ ถ้าใช่ค่อยมาคิดกันว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าไม่ใช่ก็จบ” “แต่เด็กคนนั้นปากร้ายมาก คงไม่ใช่ลูกผมหรอก” “ตกลงอยากให้เป็นหรือไม่อยากครับ” “ก็...ช่างเถอะเรื่องนั้นค่อยว่ากัน ไปทำงานก่อนดีกว่า งานเลี้ยงใกล้เริ่มแล้ว” รถเทียบเข้าจอดตรงทางเข้าของโรงแรมพอดีทำให้เขามีโอกาสเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม บอกตามตรงเขาเองก็ไม่รู้ว่าอยากหรือไม่อยากให้เด็กชายเจ้าป่าเป็นลูกชายของตน “หวังว่าคืนนี้ท่านรองจะไม่ได้สาวๆ กลับห้องนะครับ” “ผมไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะครับคุณวินัย ผมเลือกน่า” ภูวิศยิ้มขันก่อนก้าวลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปในโรงแรมซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเพื่อการกุศล วันนี้เขามาแทนภาวินซึ่งเป็นประธานบริษัทที่ตอนนี้กำลังวุ่นอยู่กับการเลี้ยงลูก หากแต่ขาทั้งสองข้างของหนุ่มหล่อซึ่งแต่งตัวเนี้ยบกลับก้าวไปข้างหน้าไม่ออก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายที่สงสัยว่าอาจจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เจ้าหนูกำลังนั่งอยู่บนโซฟากับใครสักคนที่เขาเองก็ไม่รู้จัก “ท่านรองจะไปไหนครับ งานเลี้ยงต้องไปทางนั้น” คุณเลขาชี้ไปทางที่มุ่งไปยังงานเลี้ยง ทว่าภูวิศกลับไม่สนใจเพราะตอนนี้ในสายตาของเขามีแค่ใบหน้าอมทุกข์ของเด็กชายเจ้าป่าเท่านั้น “ผมมีธุระต้องไปทำ คุณวินัยเห็นนั่นไหม” “เด็กในรูปที่ท่านรองเคยให้ผมดูนี่ครับ” “ใช่ ผมจะเข้าไปคุยกับเด็กคนนั้น” “แล้วงานล่ะครับ ให้ผมจัดการก่อนไหม” “ตามนั้นครับ ฝากด้วย” นาทีนี้เขาไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากก้าวเท้ายาวๆ แล้วเดินไปหยุดตรงหน้าผู้หญิงที่มีอายุคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่กับเด็กชายเจ้าป่า เป็นจังหวะเดียวกับที่มารดาของเด็กน้อยเดินมาถึงพอดี กระปุกไม่ได้หันไปมองภูวิศเพราะมัวแต่สนใจลูกชายกับพี่เลี้ยง เธอจ้างสายใจให้ช่วยดูแลลูกชายหลังเวลาเลิกเรียน ปกติลูกจะอยู่กับสายใจจนกว่าเธอจะกลับจากทำงาน แต่เมื่อสักครู่อยู่ๆ สายใจก็โทรมาบอกว่าจะพาเจ้าป่าเข้ามาหาที่โรงแรม “เกิดอะไรขึ้นน้าใจ ทำไมพาเจ้าป่ามาหาหนูถึงที่นี่” “ก็เจ้าป่าไปทะเลาะกับกำปั้น โดนพ่อแม่ฝ่ายนั้นดุมาน่ะสิ” “มี้คับเจ้าป่าไม่เย่นกับพี่กำปั้นแย้ว เด็กนิฉัยไม่ดี เจ้าป่าไม่ชอบเหอะ” คนหน้าบูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอกจากนั้นก็สะบัดหน้าใส่ นับตั้งแต่วันนี้ตนเองจะไม่ไปเล่นกับกำปั้นอีกเพราะรายนั้นนิสัยไม่ดี ภูวิศเห็นท่าทางเอาเรื่องของเจ้าป่าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ดูท่าจะแสบและซนใช่ย่อย กล้าไปมีเรื่องกับคนอายุมากกว่าต้องไม่ธรรมดาแล้วสิเจ้าหนูนี่ ด้วยความอยากรู้ว่าเจ้าป่าไปทะเลาะกับเด็กที่ชื่อกำปั้นด้วยเรื่องอะไรเขาจึงยืนฟังอย่างเงียบๆ “ทะเลาะเรื่องอะไรคะน้าใจ คราวนี้ใครเริ่มก่อน” ใช่ เด็กสองคนนี้มีเรื่องกันบ่อยโดยส่วนมากจะเป็นกำปั้นที่หาเรื่องเจ้าป่า เพราะรายนั้นอายุมากกว่า แต่เจ้าป่าใช่ว่าจะยอมคน ใครทำไม่ดีใส่ก็จะสู้กลับทันที จนบางครั้งเธอก็ต้องเตือนเรื่องการใช้กำลังเพราะกลัวลูกจะไปรังแกคนอื่นก่อน “ก็กำปั้นน่ะสิ คราวนี้ไม่ให้เจ้าป่าเล่นด้วยเพราะเจ้าป่าไม่มีพ่อ ทางนี้ก็เถียงไปว่าตัวเองมีพ่อ แต่กำปั้นเถียงกลับบอกว่าไม่มี เถียงไปเถียงมามือไม้ถึง เลยตุ้บตั้บกัน” “เฮ้อ เจ้าป่าครับ” “ไม่เย่นด้วยแย้วเด็กนิฉัยไม่ดี หึ” “เจ้าป่าผลักกำปั้นล้มก้นจ้ำเบ้า พ่อแม่เขาจะไปฟ้องตำรวจแต่น้าขอเอาไว้ เขาก็เลยจะเอาแค่ค่าทำขวัญกับค่ารักษา น้าดูแลเจ้าป่าไม่ไหวแล้วนะกระปุก เจ้าป่าซนมาก น้าขอทำวันนี้วันสุดท้าย” “หนูขอโทษด้วยที่ทำให้น้าใจเดือดร้อน” หญิงสาวยกมือขึ้นมาไหว้พี่เลี้ยงของลูกที่ฝากให้ดูแลหลังเลิกเรียนด้วยความเกรงใจ เธอเข้าใจน้าใจไม่ถือโทษโกรธเคือง ในเมื่อน้าใจไม่อยากดูแลก็ต้องเอาตามนั้น “น้าไปละนะ กระปุกก็ลองคุยกับสองคนนั้นดีๆ เผื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินให้ทางนั้น” “ค่ะน้าใจ ขอบคุณที่ดูแลเจ้าป่านะคะ” น้าใจส่งกระเป๋าใบเล็กของเจ้าป่าให้กระปุกก่อนจะขอตัวกลับบ้าน เด็กน้อยเห็นแม่สีหน้าไม่ค่อยดีจึงกระโดดลงจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปกอดขาพลางออดอ้อน “มี้คับเจ้าป่าผิดไปแย้วเจ้าป่าขอโทษ” เห็นไหมอยู่เป็นขนาดไหน แววตาเว้าวอนของลูกทำให้แม่ใจเย็นลงไม่น้อย หากแต่คนที่หัวร้อนแทนคือภูวิศ เขาจึงเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ “ไอ้เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด เจ้าป่าไม่ผิด” “คุณภูวิศ? คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน” “ก่อนหน้าที่คุณจะเดินมาไม่กี่นาที” “ออกไปนะตาแก่ผมขาว ไม่ให้คุยกับมี้ของเจ้าป่าหยอก” “ดูใหม่ไอ้หนู ตอนนี้ลุงผมดำแล้ว ไม่ใช่ผมขาว” เด็กชายเจ้าป่าชะงักกึกเมื่อเงยหน้ามองสีผมของภูวิศ วันก่อนยังสีขาวอยู่เลยมาวันนี้สีดำแล้ว แต่อาการหวงแม่กำเริบทำให้เจ้าตัวเกาะขามารดาแน่น กลัวว่าผู้ชายตรงหน้าจะแย่งแม่ไป ภูวิศเห็นท่าทางหวงแม่แล้วมันเขี้ยว เด็กอะไรหวงแม่จังเลย หวงแบบนี้น่าแกล้งให้ร้องไห้จ้า ทว่าเขาเห็นแววตาของกระปุกแล้วไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวจะโดนกินหัว ลูกหวงแม่ ยังไม่เท่ากับแม่หวงลูก “มี้ของเจ้าป่าไม่ให้หยอก” เจ้าตัวป้อมขู่ฟ่อๆ ขณะเอามือกันตัวมารดาให้ยืนข้างหลังตนเอง ดวงตากลมโตมองใบหน้าของภูวิศด้วยความหวาดระแวง ถ้าตาแก่ผมดำขยับเข้ามาใกล้มี้ เจ้าป่าจะกัดง่ำๆ เลยคอยดู เด็กหวงแม่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ภูวิศอย่างไม่เกรงกลัว “ลุงก็ไม่เอาหรอกน่าไม่ต้องห่วง เอ๊ะหรือว่าเอาดี” “พอแล้วคุณอย่าแหย่เดี๋ยวร้อง เฮ้อ เจ้าป่าครับมี้ต้องทำงานอีกนิดหนูอดทนหน่อยได้ไหม แล้วเราค่อยกลับบ้านกัน” “คุณทำงานอะไร ทำงานอยู่ที่นี่ใช่ไหม คุณใส่ชุดแบบนี้อย่าบอกนะว่าเป็นแม่บ้าน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าเห็นชุดที่เธอใส่แล้วก็พอจะเดาได้ “ค่ะ ฉันเป็นแม่บ้านของโรงแรมนี้ ฉันกับลูกขอตัวก่อน ไปครับเจ้าป่า” “เดี๋ยวก่อนคุณ มีเด็กอยู่ด้วยทำงานไม่สะดวกหรอก ผมดูแลให้เองเอาไหม ดูแลฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย” “เอ่อฉันว่า...” หญิงสาวลังเลใจเพราะความจริงก็ไม่อยากพาลูกไปทำงานด้วย “ผมดูแลได้น่า เชื่อสิ” ในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจก็ถูกหัวหน้างานโทรตามเพราะมีห้องที่ยังไม่ได้เคลียร์ สุดท้ายก็ต้องยอมฝากลูกชายไว้กับภูวิศ หากแต่เด็กน้อยกลับไม่ยอมไปด้วยจึงเกิดอาการงอแง “ถ้าน้องไปกับคุณลุงสุดหล่อคนนี้ น้องจะได้กินของอร่อยๆ เยอะเลย ของอร่อยๆ เอาไหมเอ่ย” “มีไก่ทอดไหมคับมี้ ไก่เผ็ดๆ ฉะไปฉี้ น้ำโค้กชื่นนนใจ” “อยากกินอะไรบอกมาเดี๋ยวลุงพาไปกินเอง” เพียงเท่านั้นแหละเด็กที่บอกว่าไม่เอาไม่ไป รีบขยับเท้าเข้าไปหาคุณลุงด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วหันมาบอกกับแม่ว่าตนเองจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณลุงทุกอย่าง ไม่ดื้อไม่ซนแน่นอน “ฉันฝากแกไว้แป๊บนะคะ ฉันทำงานเสร็จจะรีบมารับ” “ครับ หลังจากคุณทำงานเสร็จผมก็มีเรื่องจะคุยด้วย” “เรื่องอะไรคะ คุณบอกฉันล่วงหน้าก่อนได้ไหม” “ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ดีว่าผมอยากถามเรื่องอะไร”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม