ภายในโถงชั้นทำงาน หลังจากอริลเดินออกมาจากห้องเอ็นเจ ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อเหมือนเพิ่งวิ่งหนีแดดมา หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุดเธอก้มหน้ากอดแฟ้มแน่นสูดหายใจลึกพยายามข่มอาการ โอ๊ย… ไอ้ริลเอ๊ย ทำไมมันใจเต้นไม่หยุดแบบนี้นะ!! ยังไม่ทันตั้งสติ เสียงแหลมคุ้นหูดังขึ้นข้าง ๆ
“หึ๊ยยย!! นี่มันอะไรยะ??”
อริลสะดุ้งโหยง รีบเงยหน้าขึ้นก็เห็นทรายยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า สายตาเหมือนนักสืบจับผิดไม่ผิดเพี้ยน
“อะ… อะไรของแก” อริลพยายามทำเสียงเรียบแต่แก้มแดงไม่ช่วยให้เนียนเลยสักนิด
“ถามจริง ไปทำอะไรในห้องพี่เอ็นเจ!! แล้วทำไมหน้าถึงแดงเป็นลูกตำลึงขนาดนั้น!?” ทรายขมวดคิ้ว ก้าวเข้ามาจ้องใกล้ ๆ
“กะ… ก็แค่เอาเอกสารไปให้เฉย ๆ” เสียงอริลสั่นจนฟังออกว่าเจ้าตัวโกหกไม่เก่งเลยสักนิด
“โกหก!! ทรายเห็นนะว่าแกถือถุงอะไรไป แล้วที่สำคัญ…” ทรายหรี่ตา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ทำไมแกยิ้มเหมือนเพิ่งถูกรางวัลที่หนึ่งวะ??”
“บ้า! ยิ้มอะไร ไม่มี๊!!” อริลรีบเบือนหน้าหนี แต่แก้มแดงเจ๋เหมือนประกาศชัดว่าโดนจับได้
“โอ๊ยยย ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันเดาออกหมด ของกินใช่ไหม!? ซื้อไปให้พี่เขาใช่ป่ะ!? แล้วเขาพูดอะไรกับแกมั้ย บอกมาเดี๋ยวนี้ อริล!!”
“ทะ… ทราย!!” อริลตาโตทำท่าจะเดินหนีไปโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ก็ไม่ทันเพราะทรายคว้าแขนไว้ได้ก่อน
“หนีไม่รอดหรอกยัยคุณหนูอริล ตอบมา!!”
“ก็บอกแล้วไงว่า… ไม่มีอะไร” เสียงเบาแทบเป็นกระซิบ แต่หูเพื่อนรักดีเกินไป
“ไม่มีอะไรแต่หน้าแดงเหมือนกุ้งต้มเนี่ยนะ!? แกเดินออกมาเหมือนจะลอยได้ทั้งตัวด้วยซ้ำ!”
“ก็… พี่เขาแค่… ชวนไปดื่มกาแฟด้วยกันนิดหน่อยเอง” อริลกัดปากแน่น พยายามกลั้นรอยยิ้มที่เล็ดลอด สุดท้ายเลยเอาแฟ้มขึ้นบังหน้า
“ห๊ะ!!” เสียงทรายดังลั่นจนพนักงานใกล้ ๆ หันมามองกันพรึ่บ อริลรีบโบกมือปิดปากเพื่อนแทบไม่ทัน
“เบา ๆ สิแก! จะให้ทั้งแผนกรู้หรือไง!!”
“จริงดิ!? พี่เอ็นเจชวนแกไปดื่มกาแฟด้วยกันจริง ๆ เหรอ!? นี่มันสเต็ปเลื่อนขั้นเป็น คนโปรด แล้วนะเว้ย!!”
“ทราย!!” อริลโวยเสียงอ่อย ๆ เอาหน้าซุกแฟ้มหนีสายตา แต่สีแดงที่ลามไปทั้งแก้มบอกทุกอย่างหมดแล้ว
“โอ๊ยตายแล้ว ๆ ๆ” ทรายตีแขนเพื่อนรัว ๆ อย่างตื่นเต้นแทนเพื่อน “นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แล้วนะ! ฉันว่านะ พี่เอ็นเจต้องสนใจแกจริง ๆ ไม่งั้นจะชวนไปกินกาแฟทำไม”
“หยุดพูดได้แล้วทราย!!” อริลหันมาขึงตา แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ เพราะทรายหัวเราะลั่นจนคนรอบ ๆ เริ่มหัวเราะตาม
“โอ๊ยยย… ยัยอริลนี่มันนางเอกซีรีส์ออฟฟิศชัด ๆ!!”
“ทราย!!!” อริลแทบอยากเอาแฟ้มฟาดหัวเพื่อน แต่ทำได้แค่ใช้มันบังหน้าตัวเอง หัวใจกลับเต้นแรงกว่าเดิมเหมือนถูกพูดแทงใจดำเข้าเต็ม ๆ สุดท้ายเธอลากแขนทรายเดินห่างออกมาจากโถงทำงาน พลางบ่นเสียงเบา
“ให้ตายเถอะ แกจะตะโกนไปให้ทั้งบริษัทเขารู้เลยหรือไง”
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ… ถ้ามันเป็นเรื่องจริง” ทรายยักคิ้ว ยิ้มเจ้าเล่ห์
“บ้า! ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” อริลพึมพำเสียงอ่อย แต่แฟ้มที่ยังบังหน้าอยู่ก็ปิดไม่มิดความแดงเรื่อบนแก้มเลยสักนิดทรายมองเพื่อนรักที่ยังเอาแฟ้มบังหน้าไม่ยอมลดลงก็หลุดหัวเราะอีก
“เห้อ… ทำเป็นปากแข็งไปเถอะ แต่ทรายรู้นะว่าแกกำลังตกหลุมรักเข้าเต็ม ๆ แล้ว”
“เพ้อเจ้อ!!” อริลรีบสวนเสียงแข็ง แต่ในอกกลับสั่นไหวจนเถียงตัวเองไม่ขึ้น ทรายเห็นอาการก็อดจะส่ายหน้าพลางยิ้มเย้าแหย่ไม่ได้
“ก็แล้วแต่ แต่บอกเลยนะไอ้ริล… อาการแบบนี้น่ะ ปิดยังไงก็ปิดไม่มิดหรอก”
อริลเม้มปากแน่น ไม่ตอบอะไรอีก ได้แต่กอดแฟ้มแนบอกเหมือนเป็นเกราะกำบัง ทั้งที่ในใจเธอเองก็รู้ดีว่า คำพูดของทราย… ไม่ได้ผิดไปสักนิดเลย
ภายในห้องทำงานของเอ็นเจ บรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงพลิกเอกสารกับเสียงขีดเขียนปากกาดังเป็นระยะ ร่างสูงนั่งหลังตรงอยู่หลังโต๊ะ สีหน้าสงบนิ่งเหมือนปกติแต่สายตาที่มองแก้วกาแฟเย็นตรงหน้ากลับเหมือนจดจ่อมากกว่างานตรงหน้าเสียอีก
“ยิ้มคนเดียวแบบนี้ ระวังคนอื่นเข้ามาเห็นนะครับนาย” เสียงกวน ๆ ดังขึ้นพร้อมประตูที่ถูกเปิด คริสก้าวยาว ๆ เข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เอ็นเจเหลือบตามองนิ่ง ๆ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“พูดอะไรของมึง”
“ก็เมื่อกี้ทั้งแผนกเขาเม้าท์กันให้แซ่ดว่า เด็กฝึกงานคนสวย ถือถุงผ้าเข้ามาหานาย” คริสเลิกคิ้วสูง แกล้งลากเสียงยาว “แถมตอนเดินออกไปหน้าก็แดงอย่างกับเพิ่งโดนนายทำอะไรมาอีกต่างหาก”
“ถ้าจะเข้ามาพูดไร้สาระก็ออกไปซะ” มือที่ถือปากกาชะงักไปเสี้ยววินาทีก่อนเอ็นเจจะวางมันลงบนโต๊ะช้า ๆ
“โห… ไม่ปฏิเสธด้วยนะ หึหึ” คริสหัวเราะเบา ๆ เดินไปทิ้งตัวนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มยียวนไม่หายไปไหน “ผมไม่เคยเห็นนายยอมรับของฝากจากใครง่าย ๆ เลยนะครับ ยกเว้นครั้งนี้… หรือว่าเด็กคนนั้นพิเศษ??” สายตาคมของเอ็นเจตวัดมองทันที คล้ายคำเตือน แต่ที่มุมปากกลับเผลอคลี่ยิ้มบาง ๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ท่าทางนั่นทำให้คริสยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ชัดเลยครับ… ผมละสงสารสาว ๆ ทั้งบริษัทจริง ๆ นะ มีหวังอกหักกันเป็นแถว”
“ไอ้คริส!!” เสียงเรียกต่ำลึกกดดันเต็มที่ทำเอาอีกฝ่ายยกมือยอมแพ้ทันที แต่แววตาที่มองคนเป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิทยังคงเต็มไปด้วยรอยขำ
ท่ามกลางความเงียบเอ็นเจมองแก้วกาแฟอีกครั้ง… เหมือนความสดใสที่แอบซ่อนอยู่ในถุงผ้าและรอยยิ้มใส ๆ ของใครบางคนยังไม่จางหายไปไหนเลย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ความรู้สึกในใจกลับชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดทุกคำ เธอกำลังทำให้หัวใจเขาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ชีวิตเขาจะเจอผู้หญิงมามากมายหลายรูปแบบแต่พวกเธอไม่เคยทำให้หัวใจเขาเต้นแรงเลยแม้แต่น้อย
ช่วงบ่ายของวันอริลนั่งก้มหน้าจดบันทึกอยู่ที่โต๊ะ เธอเงยหน้าขึ้นสูดหายใจยาว ๆ พลางยกแก้วกาแฟเย็นขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนจะวางลงข้างกองแฟ้มที่สูงเกือบครึ่งตัว
“ริล” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก รีบหันไปก็เจอร่างสูงในชุดสูทเรียบกริบยืนอยู่ไม่ไกล เอ็นเจ… กำลังถือถุงกระดาษเล็ก ๆ อยู่ในมือ
“คะ… คะพี่เอ็นเจ” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย ไม่ทันตั้งตัวจริง ๆ
“ขนม” เขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้า วางถุงนั้นลงบนโต๊ะทำงานของเธอ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ห๊ะ??” อริลกะพริบตาปริบ ๆ มองถุงแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาสลับกันตาโต หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก เอ็นเจเพียงพยักหน้าน้อย ๆ
“ร้านดัง ร้านนี้อร่อยมากพอดีพี่ผ่านเลยซื้อมาฝาก” น้ำเสียงของเอ็นเจทุ้มนุ่มสายตากลับมีประกายแฝงอะไรบางอย่าง
“ขอบคุณค่ะ”
“ลองชิมดู ว่าอร่อยไหม”
เธอหยิบถุงมาเปิดดูข้างในเป็นครัวซองต์หอมกรุ่นจากร้านดังที่ต่อคิวกันยาว กลิ่นเนยหอมฟุ้งจนทำเอาท้องเธอร้องเบา ๆ ไม่ทันตั้งตัว
“พะ… พี่ไปต่อคิวซื้อมาเหรอคะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความประหลาดใจและไม่อยากเชื่อ เอ็นเจเหลือบตาลงสบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนตอบสั้น ๆ
“อืม” คำตอบนั้นทำให้แก้มของอริลก็แดงจัดขึ้นทันตา เธอเผลอก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มที่ห้ามไม่อยู่ มือเล็กกอดถุงขนมไว้แน่นเหมือนเป็นของล้ำค่า
เอ็นเจมองท่าทางนั้นเงียบ ๆ มุมปากได้รูปกระตุกยิ้มจาง ๆ อย่างที่เจ้าตัวเองก็แทบไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำปิดท้าย
“กินให้อร่อย” พูดจบแล้วก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นขนมหอม ๆ และหัวใจที่ยังเต้นไม่เป็นจังหวะของอริล