ตอนที่.12 ถึงเวลาต้องจากกัน(จบปฐมบท)

3098 คำ
เรื่อง:(ปฐมบท) พี่สาวคนสวยกับแฟนTypesหมาเด็ก ตอนที่.12 ถึงเวลาต้องจากกัน(จบปฐมบท) โดย:Srikarin2489 กฤษณะหลับอยู่บนตักของรจนาที่นั่งเบาะข้างคนขับ ขณะลูกสาวขับรถ เข้าไปจอดในโรงจอดรถตึกใหญ่ พึ่งกลับจากวัดไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพของกฤต ทั้งสามแต่งชุดไว้ทุกข์ รจนาเป็นผ้านุ่งกับเสื้อแขนกระบอกสีดำทั้งชุด ส่วนรสนันท์เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสีดำ “คุณนะจะทำยังไงลูก” รจนาก้มดูร่างผอมบางที่เริ่มงัวเงียตื่นตาปรือ “คุณกิตติขอให้นันช่วยดูแลคุณนะ แม่พาคุณนะไปตึกเล็ก คงต้องให้เขา นอนตึกเล็กก่อน นันจะไปเอาเสื้อผ้าของคุณนะ จะได้มีชุดให้เปลี่ยนก่อนนอน” รจนาพยักหน้าแล้วอุ้มกฤษณะที่ยังอยู่ในอาการงัวเงีย เดินกลับตึกเล็ก รสนันท์กลับมาที่ตึกเล็กถือเสื้อผ้าของกฤษณะมาด้วย เห็นแม่เปิดประตูออกมาจากห้องนอนของเธอพอดี “แม่ไปนอนเถ่อะดึกแล้ว นันจะดูแลคุณนะเอง ไม่ต้องเช็คหรอกแม่นัน ล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว” รสนันท์ร้องบอกเมื่อเห็นแม่จะเดินไปเช็คประตูหน้าบ้าน ด้วยความเคยชิน ก่อนเข้านอนทุกวันรจนาต้องเช็คประตูหน้าต่างว่าล็อคหรือยัง แยกจากแม่แล้วเดินเข้ามาในห้อง เห็นกฤษณะนั่งตาปรือสะลึมสะลือตัวอ่อนโงนเงนอยู่บนเตียง พอเห็นพี่สาวคนสวยกลับมาแล้ว กฤษณะอ้าปากหาวแล้วจะล้มตัวลงนอน “คุณนะ...อย่าพึ่งนอนมาเปลี่ยนชุดก่อน” เจ้าเด็กผอมบางยังงัวเงียอ้าปากหาวอีก เมื่อถูกรสนันท์ยกร่างให้ลงยืนข้างเตียง รสนันท์ช่วยถอดเสื้อยืดคอปกแขนสั้นสีขาวออกให้ ตามด้วยกางเกงขายาวสีดำ แต่พอจะดึงกางเกงชั้นในลง ดูเหมือนกฤษณะจะหายงัวเงียทันที ลืมตาโตแล้วจับกางเกงชั้นในตัวเองไว้ไม่ยอมให้ถอด “ชั้นในก็ต้องถอด” “ไม่ถอด เดี๋ยวพี่นันเห็นจู๋ผม” รสนันท์หัวเราะเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายอาย จับกางเกงชั้นในตัวเองไว้แน่น “ตัวแค่เนี่ย มาอายอะไรพี่นัน ถอดออกไม่งั้นไม่ให้นอน” ทำหน้าขึงขังบอก แต่แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขำ “ไม่ถอด ผมไม่อยากให้พี่นันเห็นจู๋ผม” เงยหน้าบอกเสียงขึงขังเช่นกัน “ต้องให้พี่นันออกแรงปล้ำถอดใช่มั้ย” กฤษณะพยายามขัดขืนแต่สู้แรงผู้ใหญ่ไม่ได้ ถูกรสนันท์จับถอดจนเหลือแต่ตัวเปล่าล่อนจ้อน รสนันท์หัวเราะเบาเมื่อเห็นกฤษณะเอามือกุมตรงของสงวนตัวเองไว้แก้มแดงเรื่อ “อันแค่เนี่ยมาอายพี่ ดูสิ...อันนิดเดียว โตเป็นหนุ่มเมื่อไหร่ค่อยมาอายพี่” กฤษณะทำหน้าหงิก รสนันท์ช่วยสวมชุดนอนให้แล้วปล่อยขึ้นไปนอนบนเตียง “คุณนะนอนก่อนเลย พี่นันจะไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด” รสนันท์หยิบผ้าห่มมาคลี่ห่มร่างผอมบางก่อนไปเข้าห้องน้ำ เมื่อรสนันท์กลับมาล้มตัวลงนอนบนเตียง เห็นกฤษณะนอนเงียบคิดว่าคง หลับแล้ว แต่ร่างผอมบางกลับพลิกตะแคงขยับมาเบียดสอดมือมากอดแขนเธอไว้ทั้ง ที่ตายังหลับอยู่ “พี่นันผมคิดถึงคุณพ่อ” เสียงพึมพำแหบเครือ ทำให้รสนันท์เวทนาพลิกตะแคงร่างไปหากอดร่างผอมบางไว้ “อย่าร้องไห้นะคนดีของพี่นัน คุณพ่อไม่ได้ไปไหน แต่คุณพ่ออยู่ในนี้และอยู่ในนี้ของคุณนะ” รสนันท์บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแตะมือลงบนศีรษะและตรงหัวใจของกฤษณะ “คุณพ่อจะอยู่ในหัวใจและความทรงจำ ของคุณนะตลอดไป” ดวงหน้า เรียวผอมเงยขึ้นสบตาพี่คนสวย พยักหน้าพยายามกลั้นน้ำตาไว้ “คุณนะของพี่นันเก่งมาก นอนซะคนดี” บอกแล้วก้มลงหอมตรงหน้าผาก ทำให้เด็กน้อยยอมหลับตาลง เพียงครู่เดียวร่างนั้นหลับไปง่ายดายตามประสาเด็ก และเหนื่อยมาทั้งวัน ทำให้รสนันท์มองดวงหน้านั้นด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน คุณกิตติมองสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังผิดจากปกติของลูกสะใภ้ ที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น สีหน้าคุณกิตติเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน “เธอคิดดีแล้วหรือภัส ที่จะพาลูกไปอยู่อเมริกา” น้ำเสียงเคร่งขรึมไม่แพ้สีหน้าแววตาเจือด้วยความไม่สบายใจ งานศพของกฤตเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน นภัสสรกลับมาบอกว่าจะพาลูกไปอยู่อเมริกา “คุณพ่อก็ทราบนี่คะ ว่าภัสจะพาลูกดลไปเข้าโรงเรียนประจำ” “เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ไม่คิดว่าเธอจะเอานะไปด้วย” “ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกของภัส ภัสจะพาเขาไปด้วยค่ะ” คุณกิตติถอนใจเบา มองหน้าลูกสะใภ้นิ่ง “เธอบังคับลูกหรือเปล่า” เอ่ยถามหลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าคุณพ่ออยากรู้ ถามเขาเองเลยค่ะ” คนทำงานบ้านถูกเรียกเข้ามาแล้ว สั่งให้ไปพากฤษณะมาที่ห้องนั่งเล่น หายไปสักพักกฤษณะเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ที่คุณปู่กับแม่รออยู่ นภัสสรยื่นมือไปหาลูกพยักหน้าบอกให้เข้ามาหา กฤษณะจึงเดิน มานั่งลงข้างแม่ “คุณพ่อถามเขาเองเลยค่ะ ถ้าคิดว่าภัสบังคับลูก” คุณกิตติมองหน้าหลานชายนิ่ง อดสะท้อนใจไม่ได้ ที่เห็นกฤษณะเหมือนพ่อมาก หน้าตาเหมือนกฤต ตอนเด็ก ต่างแค่ผอมมากและสวมแว่น “แม่เขาบอกว่าจะพานะไปอยู่อเมริกา บอกปู่ซิ ว่านะเต็มใจหรือเปล่า” กฤษณะมองสบตาคุณปู่ ที่เต็มไปด้วยความเมตตาอ่อนโยน ท่าทางเคร่งขรึมเกินวัย “ผมอยากไปครับคุณปู่” นภัสสรยิ้มนิดด้วยแววตาพึงพอใจ วางมือโอบไหล่ลูกชายไว้ คุณกิตติถอนใจเบาเอนหลังพิงพนักโซฟา พยายามจับสังเกตดูว่าหลานตอบจากใจจริงหรือเปล่า “คุณพ่อบอกให้ผมกับพี่ดล ต้องช่วยกันดูแลคุณแม่ ตอนนี้ไม่มีคุณพ่อแล้ว” “คุณพ่อได้ยินแล้วนะคะ ว่าภัสไม่ได้บังคับลูก” “เขายังเด็กมากนะ เธอเอาดลไปคนเดียวก่อน ส่วนนะพ่อจะดูแลเอง รอให้ เขาโตกว่านี้สักหน่อย อย่างน้อยจบป.6ก่อนก็ยังดี” คุณกิตติบอกเสียงขรึมเจือแวว ขอร้อง เห็นว่าหลานยังเด็กมากไม่อยากให้ไปอยู่โรงเรียนประจำ “ยังไงก็ต้องไป ไปตั้งแต่เด็กเขาจะได้เรียนรู้ปรับตัวได้ ภัสตัดสินใจแล้วค่ะ” กฤษณะหลุบตาลงเมื่อคุณปู่หันมามอง ท่าทางดูนิ่งเคร่งขรึมเกินเด็กวัยห้าขวบกว่า “ตอนนี้ไม่มีคุณกฤตแล้ว หวังว่าคุณพ่อจะยังดูหลานเหมือนเดิมนะคะ ภัส หมายถึงค่าใช้จ่าย อยู่ที่โน่นมันต้องใช้เงินมากโข” นภัสสรบอกตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม “ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง” น้ำเสียงคุณกิตติแข็งขึ้น แม้แต่สรรพนามที่แทนตัวเอง ยังเปลี่ยนไป แต่นภัสสรไม่สนใจ เธอต้องการยังไงแค่บอกไปตามตรงไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา “นอกจากเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว ทรัพย์สมบัติที่จะเป็นของคุณกฤต หวังว่าคุณพ่อจะรักษาไว้ให้หลานนะคะ” “ดลกับนะจะได้ทุกอย่างแทนพ่อเขา” นภัสสรขยับริมฝีปากยิ้มด้วยความพอ ใจ แม้น้ำเสียงของบิดาสามีจะห้าวแข็งเจือแววไม่พอใจก็ตาม เธอถือว่าตัวเองทำใน สิ่งถูกต้อง รักษาผลประโยชน์ของลูกไว้ ใครจะคิดหรือรู้สึกยังไงเธอไม่แคร์ รสรินเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนเห็นคุณกิตตินั่งเอนหลังพิงหมอนอยู่บนเตียงในมือถืออะไรบางอย่าง สีหน้าดูหม่นเศร้าจนดูออก รสรินเดินไปนั่งลงใกล้ พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือคุณกิตติทำให้เธอนิ่งอึ้ง เป็นกรอบรูปของกฤต ใบหน้าของคนในรูปยิ้มกว้างสดใส มีลูกชายทั้งสองอยู่ในอ้อมแขน ยิ้มแข่งกับพ่อ “พรุ่งนี้ภัสจะพาหลานฉันไปอยู่อเมริกาแล้ว” เสียงพึมพำแหบพร่าด้วยความ รู้สึกอัดอั้นอยู่ข้างใน “ตอนแรกเขาจะพาดลไปคนเดียว แต่กลับเปลี่ยนใจเอานะไปด้วย ไม่รู้เขาคิดอะไรของเขา ฉันเป็นห่วงนะเขายังเด็ก อยากให้โตกว่านี้สักหน่อยค่อยไป” “ถึงยังไงคุณนะก็เป็นลูก ตอนนี้ไม่มีคุณกฤตแล้ว คุณภัสคงอยากทำหน้าที่ ดูแลลูกเอง คุณกิตติอย่าคิดอะไรมากเลยค่ะ” รสรินบอกเสียงนุ่ม วางมือแตะแขนสามี นุ่มนวล “ฉันเป็นปู่แต่ยุ่งกับเขามากไม่ได้ ห่วงแค่ไหนก็ต้องปล่อยให้เขาจัดการเอง อาจจะเป็นอย่างเธอว่าก็ได้ เขาเป็นแม่คงต้องการดูแลลูกเอง หวังว่ากฤตจะตามไป ดูแลปกป้องลูก” คุณกิตติถอนใจเบาแล้วยื่นกรอบรูปเอาไปวางไว้บนโต๊ะตั้งโคมไฟ “ถ้าคุณกิตติคิดถึงหลาน ค่อยตามไปเยี่ยมพวกเขาก็ได้” คุณกิตติพยักหน้า ได้แต่ทำใจยอมรับ ลูกชายคนเดียวจากไปแล้ว ตอนนี้ลูกสะใภ้กำลังจะพาหลานชาย ทั้งสองไปอยู่ไกลถึงอเมริกา โดยที่ตัวเองไม่สามารถขัดขวางได้ กฤษณะอยู่ในชุดเดินทางเป็นกางเกงขายาวสีเข้มกับเสื้อแจ็กเก็ตสีเดียว กันทับเสื้อยืดคอปกสีขาวข้างใน เดินลงบันไดมาแล้วมาหยุดยืนตรงชั้นพักของบันได แหงนมองรูปพ่อที่แขวนอยู่บนผนัง เคียงข้างกับรูปของคุณย่า ทั้งสองดูใจดีสายตาอบ อุ่นเหมือนจะมองมาปลอบประโลมให้กำลังใจ กฤษณะลงมาข้างล่างเดินไปหาคุณกิตติกับรสรินที่รออยู่ในห้องรับแขก “ลาคุณพ่อกับคุณย่าหรือยัง” คุณกิตติถามหลานชายเสียงอ่อนโยน สายตา มองหลานชายคนเล็ก ทั้งห่วงใยและใจหายที่ต้องจากกัน “ลาแล้วครับ ผมขอไปลาพี่นันกับคุณยายได้ไหมครับ” คุณกิตติยกข้อมือ ขึ้นมาดูนาฬิกา “ได้ ยังพอมีเวลา แม่กับพี่ดลเขาจะไปรอที่สนามบิน ปู่กับคุณรินจะไปส่ง นะที่สนามบิน นะไปลาพวกเขาก่อนไป” กฤษณะยิ้มดีใจแล้วรีบวิ่งออกไปข้างนอก ตรงไปยังตึกเล็ก ภายในครัวของตึกหลังเล็กหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นขนมอบ รสนันท์เพิ่งเอาถาดขนมไข่ออกจากเครื่องอบ หลังจากสุกได้ที่แล้ว เอามาวางบนโต๊ะอดไม่ได้ที่จะหยิบมากินอบออกมาร้อน ๆ ยิ่งอร่อย “ร้อน...” รจนาเงยหน้าจากถาดคุกกี้ที่กำลังจัดใส่กล่องขึ้นยิ้มขำ เห็นลูกสาว บ่นว่าร้อนแต่ยังหยิบกินไม่หยุดปาก “แม่เปลี่ยนจากแม่ค้าขายข้าวแกง มาขายขนมแทน ออเดอร์เยอะซะด้วยเพื่อน ๆ นันที่มหาวิทยาลัยติดใจขนมแม่ทุกคน มีออเดอร์มาสั่งตลอด รวมทั้งบรรดาอาจารย์ด้วย นี่นันไม่รับทุกออเดอร์นะ ไม่อยากให้แม่เหนื่อยมาก เพื่อนแซวนันว่าเป็น แม่ค้าหิ้วขนม ไปเรียนวันไหนต้องหิ้วถุงขนมพะรุงพะรังไปด้วย” สองแม่ลูกคุยกัน สดใสระหว่างทำขนมไปด้วย วันหยุดรสนันท์ช่วยแม่ทำขนมอบต่าง ๆ ที่ตัวเองรับออเดอร์มาจากเพื่อน ๆ และคนรู้จัก ตอนแรกคิดทำแก้เหงาตอนนี้ต้องทำขายด้วย “คุณนะ” กำลังคุยเพลินเสียงแม่ร้องเรียก ทำให้รสนันท์เอี้ยวตัวไปดูทางประตูห้องครัวเห็นกฤษณะยืนอยู่ ไม่รู้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ “แต่งตัวหล่อเชียว จะไปไหนหรือคะคุณนะ” รจนาแซว “ผมมาลาคุณยายกับพี่นัน คุณแม่จะพาผมกับพี่ดลไปอเมริกา” รสนันท์กำลังง่วนอยู่กับการแกะขนมไข่ออกจากพิมพ์วางลงในถาด มีอาการชะงักแววตาตก ใจแล้วหันขวับไปทางคนมาลา “จะไปวันนี้หรือคุณนะ” “ครับ” รจนาวางมือจากขนมที่กำลังจัดใส่กล่อง รู้สึกใจหายจนอ่อนเรี่ยวแรงเมื่อรู้ว่ากฤษณะจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว รสนันท์ยืนนิ่งอึ้งใจหายวาบเมื่อร่างผอมบางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ดวงหน้าเรียวผอมแหงนมามอง ดวงตาหลังแว่นเคยสดใสเต็มไปด้วยความขี้เล่นดูหงอยเหงาจนรู้สึกได้ ทั้งสองสบตากันนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนรสนันท์จะทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าร่างผอมบาง “เราต้องจากกันแล้วสินะ” รสนันท์พึมพำใจหาย ไม่รู้ว่าตัวเองไปผูกพันกับกฤษณะตั้งแต่เมื่อไหร่ มองดวงหน้าผอมบางของเจ้าเด็กแว่นแล้ว ใจหายอย่างบอกไม่ถูก ระยะเวลาร่วมปีที่ได้รู้จักคุ้นเคยกัน แม้จะไม่นานเท่าไหร่แต่ก่อเกิดความรู้สึกดีๆมากมาย “พี่นันใจหายนะที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก แต่พี่นันขอให้คุณนะโชคดี ไปอยู่ที่โน่นต้องดูแลตัวเอง อย่าดื้อกับคุณแม่ ตั้งใจเรียนต่อไปจะได้กลับมาช่วยงานคุณปู่” กฤษณะมองสบตาพี่สาวคนสวยนิ่ง ดวงตาหลังแว่นคู่นั้นเจือเศร้าจนสัมผัสได้ รสนันท์ จับมือขาวบอบบางข้างขวามากุมไว้ในมือตัวเอง แล้วพูดเสียงนุ่มอ่อนโยน “คุณนะต้องเข้มแข็งดูแลตัวเองให้ได้ อย่าอ่อนแอรอให้ใครมาดูแลเรา เราต้อง เป็นที่พึ่งของตัวเอง จำได้มั้ยที่พี่นันบอกว่า คุณพ่อไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนไกล” “อยู่ในนี้กับในนี้ครับ” รสนันท์ยิ้มอ่อนโยนเมื่อกฤษณะวางมือลงบนศีรษะและอกตรงหัวใจตัวเอง “คุณพ่อจะอยู่กับคุณนะตลอดไป มา...พี่นันขอกอดลาเป็นครั้งสุดท้าย เพราะ ถ้าคุณนะกลับมาอีกครั้ง อาจโตเป็นหนุ่มพี่นันคงไม่กล้ากอด” รสนันท์กางแขนออกรับร่างผอมบางที่เคลื่อนตัวเข้ามาหา สอดมือเข้ามากอดรอบคอเธอไว้ เธอกระชับอ้อมแขนกอดร่างผอมบางด้วยความรู้สึกใจหาย ต่อจากนี้ไปจะไม่มีเจ้าเด็กจอมซนคอยมาก่อกวนเธออีกแล้ว “ผมจะคิดถึงพี่นัน” กฤษณะพึมพำบอกอยู่ข้างศีรษะรสนันท์ “พี่จะคิดถึงคุณนะเช่นกัน” รสนันท์ผละหน้าออกมา วางมือแตะแก้มขาว บางนั้นนุ่มนวลแล้วยื่นหน้าไปหอมแก้ม “คุณนะกลับมาอีกทีคงโตเป็นหนุ่ม พี่นันขอหอมไว้ก่อน พอคุณนะโตเป็น หนุ่มคงไม่ยอมให้พี่นันหอม อยากหอมแก้มพี่นันมั้ย” กฤษณะพยักหน้าทันที “หอมเลย พอคุณนะโตเป็นหนุ่ม พี่นันคงเริ่มแก่จนคุณนะไม่อยากหอม” รสนันท์เอียงแก้มให้ กฤษณะยื่นจมูกไปหอมกดจมูกสูดลมหายใจแรงจนคนถูกหอม อมยิ้มเอ็นดู “ขอยายกอดลาบ้าง ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีก” กฤษณะเดินเข้าไปหาเมื่อรจนาบอกแล้วนั่งคุกเข่าลงกับพื้นครัว “โชคดีนะลูก ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคุณนะของยาย ให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เก่งและเข้มแข็ง” รจนากอดแล้วหอมแก้ม “ต่อไปจะไม่มีลูกค้าขาประจำ มาทานขนมของยายแล้ว วันนี้ยายทำขนมหลายอย่าง อยากให้คุณนะเอาไปทานด้วย แต่คงไม่สะดวกเพราะต้องขึ้นเครื่องบิน กินสักชิ้นก่อนไปนะ ขนมไข่ที่คุณนะชอบ” รถจนาลุกขึ้นแล้วหันไปหยิบขนมไข่ชิ้นหนึ่งมาส่งให้กฤษณะ ที่รับไปกัดกินด้วยท่าทางอร่อยถูกใจ ทำให้สองแม่ลูกได้แต่มองดูด้วยแววตาอ่อนโยนเจือใจหาย กฤษณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ทั้งสองคุ้นเคยเมื่อย้ายมาอยู่ที่นี่ ในทุกวันจะได้ ยินเสียงเจื้อยแจ้วมาวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ คอยชิมขนมให้เป็นสีสันของชีวิต เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้รสนันท์เดินไปรับ “คุณปู่บอกให้คุณนะไปขึ้นรถได้แล้ว ต้องไปสนามบินอีก” รสนันท์หันมา บอกหลังจากคุยโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง “ลาคุณยายซะ พี่นันจะเดินไปส่งที่รถ” “โชคดีลูก” รจนายิ้มให้อ่อนโยนเมื่อกฤษณะยกมือไหว้ “กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่ อย่าลืมมาเยี่ยมยายนะ ยายจะทำขนมของชอบ ของคุณนะให้ทาน” กฤษะยิ้มให้ยกมือบ้ายบ่ายแล้วเดินออกไปกับรสนันท์ รสนันท์เดินจูงมือกฤษณะเพื่อจะพาไปส่งที่รถซึ่งคุณกิตติกับรสรินรอยู่ พอเดินผ่านยังพุ่มต้นแก้วแคระ ที่ข้างต้นมีกองดินพูนขึ้นสูงถูกปกคลุมด้วยต้นดอก ไม้ชนิดเถาพันเลื้อยอยู่กับดิน กฤษณะหยุดเดินมองดูกองดินนั้นนิ่ง “ลาก่อนปังปัง” มือผอมบางข้างไม่ได้จับกับรสนันท์ยกขึ้นโบกลาตรงอก ทำให้รสนันท์ได้แต่มองดูอย่างเวทนา กองดินนั้นเป็นหลุมฝั่งร่างของเจ้าปังปัง ที่เธอกับกฤษณะช่วยกันฝังตอนมันเสียชีวิต ตัวแค่นี้กลับต้องพบกับการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า “ไปกันเถ่อะ...คุณปู่จะรอนาน” คุณกิตติกับรสรินยืนรออยู่หน้าตึกแล้ว เมื่อรสนันท์เดินจูงมือกฤษณะพามาส่ง ก่อนจะขึ้นรถกฤษณะหันไปมองพี่สาวคนสวยอีกครั้ง มองนิ่งราวจะบันทึกจดจำไว้ก่อนจากลา ทั้งอาลัยและใจหายแต่ต้องไป รสนันท์รับรู้ว่าขอบตาของตัวเองร้อนผ่าว แต่พยายามยิ้มให้สดใสที่สุด ยืนมองตามรถที่กำลังเคลื่อนออกไป แม้ไม่ใช่การจากลาด้วยชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก เธอยกมือขึ้นโบกตอบ เมื่อเห็นกฤษณะลุกขึ้นยืนตรงเบาะหลังรถหันมาโบกมือให้เธอ “โชคดีคุณนะ” เสียงพึมพำแผ่วเบา มองดูรถเคลื่อนห่างออกไปจนลับหายออกไปทางประตูรั้วบ้าน ทุกอย่างเงียบสงบลงจนได้ยินกระทั่งเสียงหายใจของตัวเอง มีเสียงถอนใจยาว ก่อนที่ร่างโปร่งบางจะเดินกลับตึกหลังเล็ก ด้วยท่าทางเงียบเหงาใจหาย รู้สึกว่าชีวิต ต่อไปคงเงียบเหงาขึ้นมากเมื่อไม่มีเจ้าเด็กแว่นมาคอยซุกซนก่อกวน เส้นทางชีวิตมีโอกาสได้มาบรรจบพบกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่อจากนี้ไปต้องเดินไปตามเส้นทางชีวิตของใครของมัน จบตอนปฐมบท
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม