บทที่ 2

3946 คำ
ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้างพัดปะทะเข้าที่ใบหน้าของเวฬากับวาคีนทำเอาทั้งคู่รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันทีหลังจากที่ไปยืนตากแดดอยู่ด้านนอกมาพักใหญ่ เปลือกตาของเวฬาเบิกโตขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายภายในอาคารนั้น แต่ร่างกายที่สูญเสียเหงื่อไปในระหว่างที่ยืนอยู่ด้านนอกก็ทำให้เขารู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงยื่นมือไปสะกิดเข้าที่แผ่นหลังหนาของวาคีนเบาๆ “ขอแวะซื้อน้ำก่อนได้ไหม หิวน้ำอะ” “ได้ครับ” วาคีนหันหน้ามามองแล้วเอ่ยตอบพลางส่งยิ้มให้ ชั่วขณะหนึ่งในห้วงเวลาเพียงแค่หนึ่งวินาทีนั้น รอยยิ้มของวาคีนได้ส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจเวฬาอยู่เหมือนกัน คนตัวเล็กกว่ามีอาการอึ้งเล็กน้อยเมื่อได้เห็นความสดใสจากรอยยิ้มนั้นเพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าคนที่มาดเท่ๆ คูลๆ แบบวาคีนจะมีรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบดูสดใสได้ขนาดนี้ “ดื่มอะไรดีครับ” เสียงจากวาคีนเอ่ยทักเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงบริเวณหน้าร้านขายเครื่องดื่ม “...” “คุณ...” วาคีนเรียกซ้ำ “...” แต่เวฬาที่กำลังอยู่ในห้วงภวังค์เมื่อครู่ยังคงนิ่งเงียบเพราะไม่ได้ยิน คนข้างๆ จึงยกมือขึ้นวางลงบนไหล่แล้วเขย่าเรียกอีกคนเบาๆ “คุณเวฬาครับ...” “อะ...อ้อ ครับ ว่ายังไงนะครับ” “ผมถามว่าคุณอยากดื่มน้ำอะไรครับ” “เอ่อ... เอาชาพีชครับ ใส่ไข่มุกด้วยครับ” เวฬาหันไปสั่งเมนูกับแม่ค้า “ของผมก็เอาชาพีชครับ แต่ไม่ใส่ไข่มุก” วาคีนสั่งตามด้วยเมนูที่เหมือนกันจนเวฬาต้องหันมามอง “คุณลอกผมอะ” “ไม่ได้ลอกสักหน่อย ผมก็อยากกินชาพีชเหมือนกันนี่ครับ” แม่ค้าที่เพิ่งเดินกลับมาจากการไปตักน้ำแข็งจากตู้ด้านหลังวางแก้วที่ใส่น้ำแข็งทั้งสองแก้วลงบนโต๊ะก่อนจะเหล่ตามามองลูกค้าหนุ่มทั้งคู่ที่กำลังทะเลาะกันอยู่ด้วยความเอ็นดู รอยยิ้มของแม่ค้าที่แสดงออกมาทำเอาเวฬาที่หันมาเห็นต้องสะกิดบอกวาคีนว่าให้หยุดเถียงกันได้แล้วเพราะรู้สึกเขินหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม่ค้าจึงทำเป็นไม่สนใจใช้สองมือหยิบจับอุปกรณ์เพื่อชงเครื่องดื่มต่อไป ไม่นานชาพีชเย็นๆ ทั้งสองแก้วก็ถูกยกขึ้นมายื่นให้ชายหนุ่มทั้งคู่ “ได้แล้วค่ะ” “เท่าไหร่ครับ” เวฬาเอ่ยถาม “ทั้งหมด 85 บาทค่ะ” แต่ยังไม่ทันที่เวฬาจะได้ก้มลงไปหยิบเงินในกระเป๋าออกมาจ่าย วาคีนก็ชิงยื่นมือไปจ่ายแทนเสียแล้ว “ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยบอกแม่ค้าพลางคว้าแก้วชาทั้งสองจากอีกฝ่ายมาถือไว้ “เดี๋ยวโอนให้สี่สิบห้านะ” “ไม่เป็นไรครับ ผมเลี้ยง” วาคีนบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยื่นชาพีชใส่ไข่มุกให้อีกฝ่าย “ขอบคุณครับ” เวฬารับแก้วชาพีชนั้นมาถือไว้แล้วยกขึ้นดื่ม ริมฝีปากงับลงไปที่หลอดดูดที่มีเส้นรอบวงกว้างกว่าปกติเพราะมันเป็นหลอดที่ใช้สำหรับดูดชาไข่มุกโดยเฉพาะ ชาพีชและไข่มุกไหลขึ้นมาตามแรงดูด เขาตาโตขึ้นเมื่อลิ้นได้สัมผัสเข้ากับรสชาติของเครื่องดื่มที่ตัวเองเลือกซื้อ “เป็นไงมั่งครับ” วาคีนเอ่ยถามเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “อร่อยมากเลยครับ รสชาติพีชแบบตะโกนอะครับ” “ฮ่าๆๆ” วาคีนถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินแบบนั้น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นโมเมนต์หลุดๆ ของคนตรงหน้าทำเอาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ “เราไปหาที่นั่งกันสักแป๊บหนึ่งได้ไหมครับ ผมใส่คัทชูมา ตอนนี้เจ็บเท้ามากเลยครับ” เวฬาเอ่ยบอกพลางก้มลงมองที่เท้าของตัวเอง “ได้สิครับ” วาคีนตอบรับก่อนจะเดินนำขึ้นบันไดเลื่อนไปยังชั้นสองซึ่งมีเวฬาเดินตามหลังไปอย่างเนิบช้าด้วยต้องประคองเท้าของตัวเองที่กำลังรู้สึกปวดตุบให้เดินไปได้ตลอดรอดฝั่ง เมื่อบันไดเลื่อนเคลื่อนตัวขึ้นมาถึงชั้นสอง ทั้งคู่ก็พากันเดินตรงไปยังม้านั่งใกล้ๆ ที่มีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนแรกวาคีนไม่กล้าเดินเข้าไปนั่งเพราะมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วแต่เวฬาเห็นว่าชายแปลกหน้าแค่นั่งอยู่ทางริมขวาของม้านั่งเท่านั้นยังมีพื้นที่เหลือทางด้านซ้ายสำหรับนั่งได้อีกสองคน เขาจึงไม่รีรอเดินตรงเข้าไปนั่งทันทีเพราะในเวลานี้เขาจำเป็นต้องหาที่นั่งเพื่อให้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างได้ผ่อนคลายบ้าง “ขอนั่งหน่อยนะครับ” เวฬาที่เดินเข้าไปตรงม้านั่งเอ่ยบอกชายแก่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วพร้อมยิ้มให้ ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากยิ้มตอบแล้วพยักหน้า เขาจึงหย่อนตัวนั่งลงในทันทีพลางถอนหายใจยาวออกมาพร้อมเหยียดขาทั้งสองข้างให้ยืดตรง “เป็นผมคงไม่กล้าเดินเข้ามานั่งแน่ๆ ถ้ามีคนอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว” วาคีนเอ่ยบอกก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้างเวฬา “ทำไมล่ะครับ ม้านั่งสาธารณะ ใครๆ ก็นั่งได้ทั้งนั้นแหละ” “ผมแค่ไม่ชินเฉยๆ น่ะครับ ถ้าต้องใกล้ชิดกับคนแปลกหน้า” “หื้ม?” เวฬาถึงกับหยุดดื่มชาพีชไข่มุกเมื่อได้ยินคำพูดจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วหันไปมองอย่างสงสัย “อะไรเหรอครับ” “ก็คุณบอกว่าไม่ชินถ้าต้องใกล้ชิดกับคนแปลกหน้า...” “ใช่ครับ” “ผมก็เป็นคนแปลกหน้าเหมือนกันนะ” เวฬาพูดต่อพลางหัวเราะเบาๆ ในระหว่างที่สายตาจ้องมองไปที่หัวไหล่ของวาคีนที่กำลังแนบชิดอยู่กับหัวไหล่ของเขา “สำหรับผม คุณไม่ใช่คนแปลกหน้าครับ” วาคีนเอ่ยตอบเสียงนุ่ม “คุณหมายถึงเพราะเราเคยเจอกันที่คาเฟ่มาก่อนแล้วใช่ไหมครับ” “แหมคุณ... จะลืมให้ได้เลยใช่ไหมครับเรื่องคืนนั้น” “หยุดเลย เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหมด” เวฬาถึงกับต้องสะกิดพลางกระซิบห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดความจริงออกมา เพราะกลัวว่าจะมีใครแถวนั้นได้ยินเข้าว่าพวกเขารู้จักกันได้อย่างไร “ขอโทษครับ ก็นึกว่าคุณจะทำเป็นจำไม่ได้ไง” วาคีนแกล้งพูดแหย่ต่อ “แต่เราก็รู้จักกันครั้งแรกที่คาเฟ่จริงๆ นี่ครับ” “ประมาณนั้นครับ...” วาคีนตอบแล้วเสตามองไปทางอื่น เวฬาพยักหน้ารับว่าเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แม้ว่าจะยังมีบางสิ่งที่รู้สึกสงสัยและอยากจะถามต่อติดค้างอยู่ในใจแต่เขาก็เลือกที่จะไม่ถามมันออกมา ในเวลาแบบนี้นิ่งเงียบไว้ก่อนอาจจะดีกว่า หากโพล่งถามอะไรออกไปแบบไร้ชั้นเชิงคงทำให้เขาดูเป็นคนที่อ่านออกง่ายจนเกินไป “เมื่อกี๊ ตอนอยู่ข้างนอกเห็นบอกว่าจะมาดูงานของซันเต๋อเหรอครับ” วาคีนหันมาเอ่ยถามหลังจากที่ทั้งคู่พากันเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง “ใช่ครับ” “บังเอิญจังนะครับ!” วาคีนมีท่าทีตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำตอบ “ครับ” “ผมก็ชอบซันเต๋อเหมือนกัน” “มีแต่เรื่องบังเอิญไปหมดเลยนะครับ ฮ่าๆ” เวฬาหัวเราะแห้งก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่นานเขาก็หันหน้าไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก “งั้นเดี๋ยวเราเข้าไปดูด้วยกันไหมครับ” “ได้สิครับ ผมบอกแล้วไงว่าจะยืนรอเป็นเพื่อนคุณเอง” วาคีนยิ้มกว้าง เวฬารู้สึกเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้อีกครั้งหนึ่งเมื่อได้เห็นรอยยิ้มนั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรแต่เขารู้สึกว่ารอยยิ้มของวาคีนมีเสน่ห์ชวนให้หลงไหลแปลกๆ ฟันที่เรียงซี่สวยรับกับมุมปากเวลาฉีกยิ้มได้พอดิบพอดี มีลักยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากข้างซ้าย จมูกเป็นสันคมกริบ เวลาหันข้างยิ่งเห็นได้ชัด คิ้วเข้มเป็นทรง ดวงตาสองชั้นกลมโตมีขนตายาวเรียงประดับอยู่ ทุกอย่างบนใบหน้าของวาคีนดูลงตัวไปหมด ‘หรือเพราะว่ามีเชื้อลูกครึ่งหรือเปล่านะ’ ‘แต่คงไม่ใช่หรอก เขาก็บอกอยู่ว่าครึ่งกรุงทพครึ่งเชียงใหม่’ ‘หล่อจัง’ เวฬาได้แต่นึกอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้ถามออกมาเพราะกลัวว่าจะดูเสียมารยาทไปสักหน่อย ปกติก็เขียนงานอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยได้เจอผู้คนอยู่แล้ว เขาจึงมีความกังวลเป็นพิเศษตอนที่อยู่ข้างนอกเพราะกลัวว่าจะไปทำอะไรที่เสียมารยาทเข้าโดยที่เขาไม่รู้ตัว คนอื่นจึงมักจะชอบตัดสินเขาว่าเป็นคนพูดน้อย ไม่กล้าพูด ซึ่งก็เหมือนจะจริงแต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว หากใครได้ใกล้ชิดและสนิทด้วยแล้วก็จะรู้ว่าเวฬาไม่ใช่คนที่พูดน้อยเพียงแค่เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดยังไงเมื่อต้องพบเจอคนใหม่ๆ เท่านั้น “เท้าดีขึ้นไหมครับ” วาคีนถามขึ้นเมื่อปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งพักมาครู่ใหญ่ “ดีขึ้นแล้วครับ” “งั้นเราไปต่อคิวเข้างานกันไหมครับ” “ครับ” เวฬาตอบรับก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามวาคีนไป ห้องที่ใช้สำหรับจัดนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะของซันเต๋ออยู่ไม่ห่างจากตรงที่พวกเขานั่งพักมากนัก มีคนจำนวนมากต่อแถวยาวเหยียดอยู่ที่บริเวณด้านหน้านั้น เวฬาจึงรีบเดินเข้าไปโต๊ะลงทะเบียนเพื่อเข้างานเพราะกลัวว่าคิวมันจะยาวไปมากกว่านี้ “เซ็นชื่อแล้วต่อคิวตรงนี้เลยใช่ไหมครับ” เวฬาเอ่ยถาม “อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ เซ็นชื่อแล้วเข้างานได้เลยค่ะ ตรงนั้นคือต่อคิวถ่ายรูปตู้สติกเกอร์ค่ะ” สตาฟยิ้มตอบ “อ้อครับ!” เวฬาเพิ่งจะเข้าใจว่าไอ้ที่คนยืนต่อแถวกันเยอะๆ ไม่ใช่คิวเข้างานแต่กำลังรอถ่ายรูปกันอยู่ เขาหัวเราะให้กับความคิดของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปเขียนชื่อตัวเองในกระดาษลงทะเบียนแล้วรับใบปลิวแจกฟรีที่วางอยู่บนโต๊ะหันหลังเดินออกมาหาวาคีนที่ยืนรออยู่ข้างหลัง “พี่เขาบอกว่าเข้างานได้เลย ที่ต่อคิวคือรอถ่ายรูปสติกเกอร์กันอยู่” “อ๋อ...” “งั้นเราเข้าไปข้างในกันเลยไหมครับ” เวฬาเอ่ยถาม แต่วาคีนยังดูลังเล “เรา... ถ่ายรูปด้วยกันไหมครับ” “ที่ตู้สติกเกอร์เหรอครับ?” “ใช่ครับ แต่ถ้าคุณเวฬาไม่อยากถ่ายก็ไม่เป็นไรครับ” วาคีนรีบปฏิเสธทันควันเพราะกลัวว่าจะเป็นการบังคับอีกฝ่ายเกินไป “แต่คิวมันยาวมากเลยนะครับ” “อ่า... โอเคครับ งั้นเราเข้าข้างในดีกว่าครับ คุณจะได้ไม่ต้องยืนรอคิวนานๆ ด้วย ปวดเท้าอยู่นี่ครับ” “อืม...​ งั้นเดี๋ยวเราเข้าไปดูงานข้างในก่อน ค่อยออกมาถ่ายกันทีหลังดีไหมครับ” เวฬาเสนอไอเดีย “ผมได้หมดเลยครับ ตามใจคุณเวฬาเลย” “โอเคครับ งั้นเข้าไปข้างในกันก่อนเนอะ” เวฬาเอ่ยบอกพร้อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน หลังจากที่เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน ทั้งคู่ก็ได้พบเจอกับผู้คนจำนวนมากที่เดินถ่ายรูปกับขวักไขว่ จุดแรกเป็นอุโมงค์ที่มืดสนิทแต่ก็มีการจัดแสงยิงเป็นภาพต่างๆ ล่องลอยไปมาตามกำแพงอุโมงค์นั้น เวฬากับวาคีนมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาเพราะต่างรู้ดีว่าไม่ควรที่จะหยุดถ่ายรูปตรงนี้เป็นอันขาด มันไม่มีที่ว่างเลยแม้แต่นิดเดียว “คนเยอะมาก” เวฬาหันไปบ่นกับวาคีนพลางเดินต่อเข้าไปด้านใน “วันเสาร์ก็งี้แหละครับ” ทั้งคู่พากันเดินต่อเข้ามาด้านในซึ่งเป็นส่วนหลักที่ใช้จัดแสดงงานศิลปะของซันเต๋อ พวกเขาเดินเข้าไปดูยังมุมแรกที่มีภาพวาดแปะติดไว้ หลายคนยืนบังเพื่อจะถ่ายรูปลงไอจีกันจนบางทีเวฬาที่ตั้งใจมาดูงานแบบจริงจังก็เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเหมือนกัน เขาหันไปมองหน้ากับชาวต่างชาติที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วส่งยิ้มให้กันราวกับรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างต้องการจะสื่อสารอะไรกัน เขาพยายามจะยื่นหน้าไปอ่านชื่อผลงานและรายละเอียดของงานแต่ก็ถูกบรรดาเด็กๆ ที่ยืนถ่ายรูปเบียดเข้ามาเพื่อที่จะต้องได้มุมที่สวยที่สุดไปโพสต์อวดในโซเชียล เขาจึงต้องเดินถอยออกมาแล้วเดินไปยังมุมอื่นแทน เพราะขี้เกียจจะสู้กับเหล่าเด็กน้อย เดี๋ยวจะโดนด่าว่าเป็นพวกคนแก่เรื่องมากอีก “เวฬา!” เสียงคุ้นหูตะโกนเรียกมาจากมุมหนึ่งจนเจ้าของชื่อต้องหันไปมอง “เอ้า! ยุ้ย!!” เวฬาเอ่ยทักทันทีเมื่อหันกลับไปมอง ดวงตาเบิกโพลงเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอคนตรงหน้า หลังจากที่เรียนจบก็เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้เจอเพื่อนสนิทคนนี้เลย มีเพียงแค่การพูดคุยกันผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น เขาจึงค่อนข้างประหลาดใจที่อยู่ๆ มาเจอกันที่นี่ “เป็นไงมั่ง ไม่เจอนานมากกก” ยุ้ยยิ้มกว้างในขณะที่วิ่งเข้ามาทัก “สบายดีๆ มึงอะ” “ยุ่งมากมึง งานท่วมหัว แต่กูก็ปล่อยเบลอ ฮ่าๆๆ” ยุ้ยพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนที่มันจะหันไปมองหน้าวาคีนที่ยืนอยู่ข้างๆ “นี่แฟนเหรอ?” “เอ้ย! ไม่ใช่ๆ” เวฬารีบปฏิเสธแต่วาคีนกลับยืนนิ่งแล้วยิ้มให้ “ไม่ต้องเขินหรอก แฟนหล่อนะเนี่ย” “ไม่ใช่จริงๆ เพิ่งเจอกันเอง” “อ่อ ยังไม่ใช่แฟนนนน” ยุ้ยลากเสียงยาวพลางทำสีหน้าเจ้าเล่ห์จนเวฬายิ้มเขินแล้วยกมือฟาดไปที่หัวไหล่ของเพื่อนสาวหนึ่งที “อะไรเล่า! เขินละทำร้ายร่างกายเลยนะ” เวฬาหันไปหาวาคีน “นี่คุณ คุณก็ปฏิเสธหน่อยสิ เพื่อนผมเข้าใจผิดหมดแล้วเนี่ย” “ก็ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงคุณจะสนใจทำไมล่ะครับ จริงไหมครับคุณยุ้ย” แทนที่จะปฏิเสธแต่วาคีนกลับพูดแซวร่วมไปกับยุ้ยเรียกเสียงหัวเราะจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ทำเอาเวฬาหน้ายู่เพราะรู้สึกงอนที่ถูกรวมหัวกันแกล้ง “โอ๋ๆๆ หยอกเล่นนะครับ” วาคีนยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของคนตัวเล็กกว่าแล้วลูบไปมาเพื่อปลอบ ยุ้ยก็ได้แต่มองทั้งสองคนแล้วยิ้มตามเพราะเลือดสาววายในตัวมันสูบฉีดแรงเหลือเกินในตอนนี้ สายตาที่จ้องมองเปล่งประกายออกมาจนคนรอบข้างอาจจะมองเห็นได้หากเข้ามาใกล้ “เป็นอะไรมึง ยืนยิ้มอยู่ได้” เวฬาเอ่ยทักพอหันมาเห็น “เปล๊า!!!” หญิงสาวรีบปฏิเสธก่อนจะยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา “เดี๋ยวกูต้องไปละมึง มีคุยธุระต่อ” “เคมึง ไว้เจอกัน” เวฬายกมือขึ้นโบกให้ยุ้ยที่รีบก้าวเดินออกไป เขารู้ดีว่าเดี๋ยวคืนนี้มันจะต้องทักมาหาแน่ๆ เพราะคงอยากจะพูดคุยอะไรมากกว่านี้ แววตาที่ซ่อนความอยากรู้ของมันเปล่งประกายออกมาจนเขาเห็นได้ชัดแบบไม่ต้องเดา ส่วนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นี่ก็คงจะต้องเคลียร์กันสักหน่อยเพราะทำให้เพื่อนของเขาต้องเข้าใจผิด “คุณนี่มันจริงๆ เลยนะครับ” เวฬาเอ่ยบอกในขณะที่พวกเขากำลังเดินดูรูปวาดกันต่อ “อะไรครับ” “คุณแกล้งผมอะ” “ผมก็พูดไปตามความจริงนะครับ ไม่ได้แกล้งอะไรเลย” ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของวาคีนทำเอาเวฬาอดหมั่นไส้ไม่ได้ “ร้ายมากนะคุณ” “ก็เพื่อนคุณแซวว่าพวกเราเป็นแฟนกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วผมจะเดือดร้อนทำไมล่ะครับ” วาคีนยกยิ้มมุมปากแล้วรีบเดินหนีออกไป เวฬาวิ่งไล่เข้าไปหาอีกฝ่ายทันทีจนฝ่ายนั้นสะดุ้งตกใจเล็กน้อยแต่ทั้งคู่ก็ต้องหยุดแกล้งกันอยู่แค่นั้นเพราะตรงหน้ามีกลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่กำลังยืนถ่ายรูปกันอยู่จึงต้องระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ให้เข้าไปชนกับเด็กกลุ่มนั้น เวฬากับวาคีนพากันเดินไปที่อีกมุมหนึ่งที่มีโมเดลเป็นรูปเดียวกันกับภาพวาดที่แขวนติดผนังอยู่ เป็นภาพพระจันทร์ดวงโต มีมนุษย์ตัวเล็กยืนมองอยู่ด้านหน้า ซึ่งพอภาพนั้นเป็นโมเดลในรูปแบบสามมิติแถมมีการจัดแสงไฟช่วย จึงทำให้มันดูมีมิติสวยงามขึ้นมากทีเดียว “ดูแล้วเหงาเหมือนกันนะครับ” วาคีนเอ่ยขึ้นในตอนที่ก้มหน้าลงไปมองที่ผลงานใกล้ๆ “จริงครับ” “แสดงว่าคุณเวฬาก็รู้สึกเหงาอยู่ใช่ไหมครับ” “ทำไมล่ะครับ” “ก็ผมเคยอ่านเจอว่าคนเรามักจะตีความงานศิลปะตามประสบการณ์หรือความรู้สึกของตัวเองในช่วงเวลานั้นๆ การที่พวกเราดูงานชิ้นนี้แล้วรู้สึกว่ามันเหงา ก็แปลว่าเราทั้งคู่ต่างก็กำลังเหงาอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” วาคีนเอ่ยบอกพลางจ้องหน้าเวฬานิ่ง “แต่งานของคุณซันเต๋อก็ดูแล้วรู้สึกเหงาทุกรูปนะครับ” เวฬากล่าวอย่างติดตลกแล้วยกมือถือขึ้นมาถ่ายงานที่ตั้งโชว์ตรงหน้าเก็บเอาไว้ “ก็จริงครับ” คนตัวสูงกว่ายิ้มแล้วเดินออกจากตรงนั้นไปดูภาพที่อยู่ถัดไป “คุณวาคีนไม่ชอบความเหงาเหรอครับ” เวฬาที่เดินตามหลังมาเอ่ยถามขึ้น “ก็ไม่เชิงครับ คุณเวฬาล่ะครับ” “ผมชอบความเหงาครับ” “ทำไมล่ะครับ” วาคีนถามกลับอย่างสงสัย “ความเหงามันทำให้เราได้เรียนรู้ตัวเองครับ” เวฬายิ้มแล้วยื่นมือถือของตัวเองให้อีกฝ่าย “ถ่ายรูปให้ผมหน่อยสิครับ” “ได้ครับ” “เดี๋ยวผมจะยืนหันหลังมองรูป แล้วคุณก็กดถ่ายเรื่อยๆ ได้เลยนะครับ” เวฬาเอ่ยบอกแล้วเดินกึ่งวิ่งไปอยู่ที่กึ่งกลางของรูปภาพขนาดใหญ่บนผนัง แชะ! เสียงชัตเตอร์ถ่ายรูปจากมือถือดังขึ้นเวฬาก็เปลี่ยนท่าทางทันที ฝ่ายวาคีนเมื่อเห็นคนตรงหน้าเปลี่ยนท่าก็กดถ่ายอีกรอบ และทำแบบนั้นซ้ำอยู่หลายครั้งจนตัวนายแบบเดินออกมายังหลังกล้องเพื่อขอดูรูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่ “ใช้ได้ไหมครับ” วาคีนเอ่ยถามพลางก้มมองผลงานฝีมือตัวเองในมือถือของอีกฝ่าย “ได้แล้วครับ ผมเห็นรูปที่จะใช้โพสต์ไอจีได้ละ” เวฬาพูดพลางหันมายิ้มให้ “อยากถ่ายไหมครับ” “ก็ได้ครับ” วาคีนบอกแล้วหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมายื่นให้ แชะๆๆๆ เสียงรัวชัตเตอร์ดังจนวาคีนเองก็ตกใจ คนรอบข้างก็หันมามองกันเต็มไปหมดจนเวฬาต้องกดปุ่มด้านข้างเพื่อปิดเสียงเพราะแอบเขินเหมือนกันที่ทุกสายตาจับจ้องมาที่เขากันหมด วาคีนหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นแบบนั้นก่อนจะเดินไปยืนโพสต์เพื่อถ่ายรูปในตำแหน่งเดียวกันกับที่เวฬายืนเมื่อครู่ “หันซ้ายอีกนิดครับ นั่นแหละครับ ดีเลย มุมนี้หล่อมากครับ” เสียงของตากล้องที่คอยเชียร์อัพดังอยู่ตลอดเวลาจนคนถูกถ่ายเริ่มเขิน “ได้ไหมครับ” วาคีนร้องถาม “หล่อเลยครับ อยู่ทุกรูป” เวฬายิ้มบอกแล้วคืนมือถือให้กับเจ้าของ วาคีนคว้ามาเปิดดูรูปแล้วยิ้มบางด้วยถูกใจในรูปที่อีกฝ่ายถ่ายไว้ให้ ทั้งสองคนพากันเดินดูรูปวาดในงานกันต่อพลางสลับถ่ายรูปกันไปจนถึงมุมสุดท้ายของห้องแสดงผลงานจากนั้นก็พากันเดินย้อนกลับมาที่ประตูด้านหน้าเหมือนเดิม คนเริ่มบางตาลงกว่าตอนแรกมากทีเดียว “ยังอยากถ่ายสติกเกอร์อยู่ไหมครับ พอดีผมเห็นว่ามันไม่มีคิวแล้ว” เวฬาสะกิดถาม “ครับ” “เอาตู้ไหนดีครับ” เวฬาชี้นิ้วไปที่ตู้ทั้งสองแบบเพราะเขาเองก็อยากจะให้คนที่อยากถ่ายเป็นคนเลือกเสียมากกว่า “อันนี้ก็ได้ครับ” วาคีนเลือกตู้ที่ดูสไตล์เท่ๆ มากกว่าอีกตู้ที่ดูจะหวานเกินไปสำหรับตัวเขา ซึ่งเวฬาเองก็เห็นด้วยที่มันควรจะเป็นแบบนั้น เพราะหากว่าพวกเขาทั้งคู่เลือกอีกตู้ที่อยู่ข้างกัน รูปที่ถ่ายออกมาก็คงจะหนีไม่พ้นคู่รักมาเดทกันอย่างแน่นอน เขาไม่อยากจะให้เป็นแบบนั้นเพราะพวกเขาก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย สำหรับเขาวาคีนยังถูกจัดไว้ในหมวดหมู่ของคนแปลกหน้าอยู่ดี แม้ว่าจะมีความน่าสนใจอยู่บ้างแต่ก็ยังไม่ได้ก้าวข้ามเส้นของความเป็นคนรู้จักมาได้ ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในตู้ถ่ายรูปแล้วเริ่มเลือกลายกระดาษที่โชว์อยู่บนหน้าจอ พวกเขาเลือกแบบที่ถ่ายสามท่าแต่มีจำนวนหกรูปเพื่อที่ว่าจะได้แบ่งรูปกันได้อย่างลงตัว จากนั้นวาคีนก็แสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อจ่ายเงินแล้วทั้งคู่ก็ตั้งท่าเตรียมที่จะถ่ายรูปแรกกัน พรึ่บบบ!!! “เชี่ยยยย!!!!” เสียงร้องตกใจของเวฬาดังลั่นขึ้น เมื่ออยู่ๆ ไฟก็ดับลงจนภายในนั้นมืดสนิท มองไม่เห็นอะไร “ไม่ต้องกลัวนะครับ” วาคีนเอ่ยปลอบ เพียงครู่เดียวหลังสิ้นเสียงของเขา ไฟก็กลับมาสว่างดังเดิม “เชี่ยย!” คนตัวเล็กกว่าร้องสบถออกมาอีกครั้งเมื่อพบว่าตัวเองกำลังกอดอีกฝ่ายแน่นด้วยความตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขารีบกระโดดออกทันทีโดยมีสายตาและรอยยิ้มของวาคีนจ้องมองมาด้วยความเอ็นดู “ขอโทษนะครับ ผมตกใจมากไปหน่อย” “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” ใบหน้าเปื้อนยิ้มของวาคีนยังคงจ้องมองเวฬาอยู่แบบนั้นทำเอาคนตัวเล็กกว่าไม่กล้าหันไปสบตา จะว่าเขินก็คงจะใช่ แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขินเรื่องที่ไฟดับแล้วกระโดดกอดหรือเขินเพราะรอยยิ้มและแววตาของวาคีนกันแน่ ตึกๆ ตึกๆ เสียงหัวใจของเวฬาเต้นแรงจนเขาเองเริ่มกังวล แต่อาจจะเป็นผลมาจากอาการตกใจเมื่อครู่ก็เป็นได้ เขาเหลือบตาไปมองวาคีนอีกครั้งจึงได้พบว่าความอ่อนโยนยังคงถูกส่งผ่านรอยยิ้มและแววตาทรงเสน่ห์มาให้ เขาหลุบตาต่ำอีกรอบพลางหายใจแรง เขาสับสนไปหมดว่าไอ้อาการที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่ ‘ไอ้คนตรงหน้านี่มันดาเมจแรงชะมัด!’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม