บทที่ 3

2691 คำ
หลังจากไฟฟ้าในตู้ถ่ายรูปนั้นสว่างขึ้น เวฬากับวาคีนก็ไม่ได้สนใจที่จะถ่ายรูปกันต่อเพราะยังตกใจไม่หาย โดยเฉพาะเวฬาที่มีอาการกลัวความมืดมาตั้งแต่เด็ก อาการตัวสั่นด้วยความตระหนกจึงแสดงออกมาให้เห็นอยู่เป็นเนืองๆ วาคีนก็เลยพาอีกฝ่ายออกมาเดินรับลมที่ริมน้ำทันทีเพื่อที่จะให้คนตัวเล็กกว่าได้รู้สึกผ่อนคลายจากความวิตกไปได้บ้าง “ดีขึ้นไหมครับ” วาคีนเอ่ยถามขณะที่ทั้งคู่เดินเลียบไปตามริมรั้วติดแม่น้ำเจ้าพระยา “นิดนึงครับ” “โชคดีที่วันนี้อากาศดีนะครับ ลมโชยตลอดเลย” วาคีนปิดเปลือกตาลงแล้วสูดหายใจเข้าลึก แม้ว่าจะมีฝุ่น PM 2.5 ล่องลอยอยู่บ้างในอากาศ แต่เพราะบรรยากาศในช่วงเวลานี้มันทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีกว่าปกติ เขาจึงไม่ได้ถือสามากนัก “ใช่ครับ ว่าแต่คุณวาคีนหิวหรือยังครับ” เวฬาหันมาถาม “ก็นิดหนึ่งครับ คุณหิวแล้วเหรอครับ” วาคีนขยับตัวหันหน้ากลับมาเอนหลังพิงไปนั่งที่ริมรั้วเหล็กพลางมองหน้าคนถามแล้วยิ้มให้ “ใช่ครับ เราไปหาอะไรกินกันดีไหมครับ” “คุณเลือกเลยครับ ผมไม่รู้ว่าที่นี่มันมีร้านอะไรบ้าง ไม่ค่อยได้มาครับ” วาคีนบอกพลางยิ้มเจื่อน “ไม่เป็นไรครับ ถึงผมจะมาบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าที่นี่มันมีร้านอะไรบ้าง” เวฬาตอบกลับพลางหัวเราะเล็กน้อย เขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันว่า แม้จะมาที่นี่อยู่บ่อยครั้งเพื่อตามหาแรงบันดาลใจในเวลาที่เขาหัวตันคิดงานไม่ค่อยออก แต่เขาก็ไม่เคยรู้เลยว่ามีร้านอาหารที่น่าสนใจอยู่ในบริเวณไหนบ้าง เพราะปกติเวลาที่เขามาที่นี่ก็เพียงแค่มาเดินดูงานศิลปะ ถ่ายรูปแล้วก็ข้ามกลับไปฝั่งไอคอนสยามเพื่อหาอะไรกินเท่านั้น การที่อีกฝ่ายจะให้เขาเป็นคนเลือกร้านอาหารในเวลานี้จึงดูจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาอยู่สักหน่อย “งั้นลองเดินดูสักรอบก่อนมั้ยครับ เผื่อเจอร้านที่ถูกใจ” วาคีนเสนอ “ได้ครับ” เวฬาพยักหน้าตอบตกลงก่อนจะเดินตามคนตัวสูงกว่าเข้าไปด้านในอาคาร ทั้งคู่เดินผ่านประตูที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติยืนออรอเวลาที่จะขึ้นเรือนำเที่ยวเพื่อดินเนอร์อาหารไทยบนร้านอาหารที่ล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยากันอย่างเนืองแน่น แม้ว่าลำพังเวฬาจะไม่ถูกกับบรรยากาศที่มากไปด้วยประชากรมนุษย์แบบนี้แต่เสียงโกรกกรากภายในท้องช่วยให้เขาย้ายจุดโฟกัสไปได้มากเหมือนกัน สายตาของเขาเหลือบไปเห็นร้านอาหารสไตล์คาเฟ่ที่อยู่ด้านข้าง ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณหน้าประตูร้าน ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตด้วยซ้ำ คิดเพียงแค่ว่าเป็นคาเฟ่ธรรมดาทั่วไปที่ขายแค่เครื่องดื่มและขนมหวาน แต่เวฬาก็เพิ่งรู้จากป้ายนั้นว่าตอนนี้ทางร้านมีเซ็ตหมูกระทะขายแล้ว “คุณ...” “ครับ?” วาคีนรีบหันมามองเวฬาอย่างตั้งใจ “กินหมูกระทะกันไหมครับ” “น่าสนใจดีนะครับ” ทั้งสองคนเดินพากันเดินไปที่หน้าร้าน มีพนักงานสาวคอยยืนต้อนรับพร้อมกดบัตรคิวให้ลูกค้า วาคีนอาสาเข้าไปรับคิวให้ โดยพนักงานสาวบอกว่ามีคิวก่อนหน้าอยู่สามคิว จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่จะต้องยืนรอ ปกติเวฬาไม่ใช่คนที่อดทนสักเท่าไหร่ หากร้านไหนที่มีคิวต้องรอนาน ต่อให้เป็นร้านดังและอร่อยมากแค่ไหน เขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนร้านไปเลยมากกว่า “ถ้าคุณเวฬาหิว เราย้ายร้านได้นะครับ” “ไม่เป็นไรครับ ผมอยากทานหมูกระทะกับคุณ” “อ่อครับ...” เป็นครั้งแรกที่เวฬาลองหยอดอีกฝ่ายดูบ้าง เพราะเขาพ่ายแพ้ต่อรอยยิ้มของวาคีน เขาจึงคิดว่าหากได้ลองทำให้คนข้างๆ ยิ้มออกมาได้บ่อยๆ ก็คงดี เขาเองก็รู้สึกเขินไม่ต่างไปกับวาคีนที่แม้ว่าภายนอกจะดูนิ่งๆ แต่ใบหูของเขาก็แดงก่ำเป็นอย่างมาก “เขินเหรอครับ” เวฬาแซววาคีน “ก็นิดนึงครับ ไม่คิดว่าคุณจะกล้าเล่นมุกอะไรแบบนี้” “ฮ่าๆ” นักเขียนหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงขานเรียกหมายเลขคิวของพวกเขาก็ดังขึ้น ทั้งคู่จึงรีบก้าวเดินเข้าไปในร้านพร้อมยื่นหมายเลขคิวให้พนักงานในทันที กลิ่นหอมของเมนูประจำร้านหอมคลุ้งไปทั่วเตะจมูกลูกค้าผู้มาเยือนตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินเข้าไป เวฬาถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กลิ่นเหล่านั้นมันชวนให้คิดถึงเสียเหลือเกิน เขาไม่ได้กินหมูกระทะมานานมากแล้ว ด้วยไม่มีเวลาว่างเพราะเอาแค่ขลุกอยู่กับงานเขียนที่บ้านตัวเอง รวมถึงปกติแล้วเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่มีเพื่อนเยอะ จึงไม่ค่อยจะได้มากินที่ร้านอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่นัก การมาในครั้งนี้จึงทำให้เขารู้สึกประทับใจไม่น้อย แม้จะยังไม่ได้กินอะไรเลยก็ตาม แต่บรรยากาศภายในร้านก็ทำให้เขาหวนคิดถึงวันเก่าๆ ขึ้นมาบ้างอยู่เหมือนกัน ‘สมัยเรียนที่ยังมีเพื่อนฝูงอยู่กันครบ รวมไปถึงคนนั้นด้วย’ เมนูถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะด้วยพนักงานเด็กหนุ่มที่พูดภาษาไทยได้ไม่ชัดถ้อยชัดคำนัก แต่ก็ยังพอที่จะเข้าใจความหมายได้ เวฬาเลือกเปิดดูเซ็ตหมูกระทะก่อนเป็นอย่างแรก เพราะน้ำย่อยในกระเพาะมันเริ่มประท้วงหนักขึ้นทุกที “คุณ เอาเซ็ตไหนดี” “ปกติทานเยอะไหมครับ” “ถ้าหิวก็เยอะอยู่ครับ” เวฬาตอบพลางยิ้มแห้ง เขารู้ตัวดีว่าอันที่แม้จะหิวมากหรือน้อยแค่ไหนก็กินเยอะไม่ต่างกัน “งั้นสั่งเซ็ตกลางไหมครับ สั่งใหญ่กลัวไม่หมด” “ได้ครับ แล้วคุณวาคีนอยากทานอะไรอีกไหมครับ” “ไม่ล่ะครับ ปกติผมทานไม่เยอะครับ” “หืม?” เวฬาถึงกับมองด้วยความแปลกใจ เท่าที่เขาจำได้ ร่างกายของวาคีนก็ค่อนข้างจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่ดูยังไงก็รู้ว่าต้องเป็นคนที่ดูแลตัวเอง ออกกำลังกายอย่างหนัก การได้ยินว่าปกติเขาเป็นคนกินน้อยจึงทำให้รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เพราะการที่จะมีกล้ามเนื้อที่ฟิตแอนด์เฟิร์มได้ขนาดนี้มันต้องกินอาหารให้ถึง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่จะได้หุ่นยั่วน้ำลายมาประดับบารมีอย่างแน่นอน “ผมหมายถึงอาหารพวกนี้ผมไม่ค่อยได้ทานครับ ปกติทานแต่อาหารคลีน” ราวกับวาคีนจะอ่านใจอีกฝ่ายออก จึงรีบอธิบายให้ฟัง “อ่อครับ” “แต่คุณเวฬาสั่งอย่างอื่นเพิ่มได้เลยนะครับ ถ้าอยากกิน ไม่ต้องเกรงใจผม” “งั้นเอาเซ็ตกลางหนึ่ง ยำคอหมูย่างหนึ่ง แล้วก็ยำหมูยอหนึ่งครับ” เวฬาไม่รอช้าหันไปเอ่ยปากสั่งกับพนักงานที่ยืนรออย่างใจจดใจจ่อทันที “คุณลูกค้ารับน้ำอะไรดีครับ” “ขอเป็นโค้กซีโร่ครับ” นักเขียนหนุ่มตอบออกไปโดยไม่ต้องคิด ชีวิตเขาจะขาดน้ำอัดลมไปได้ยังไง “อีกท่านล่ะครับ” หนักงานหนุ่มหันไปมองวาคีนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง “ผมเอาน้ำเปล่าครับ ไม่เอาน้ำแข็ง” “ได้ครับ ขออนุญาตทวนเมนูหน่อยนะครับ...” ชายหนุ่มในชุดพนักงานยืนพูดทบทวนเมนูที่ลูกค้าทั้งสองคนสั่งอีกครั้ง ป้องกันการตกหล่นก่อนจะยิ้มรับเมื่อตัวเองพูดจบ “...รอสักครู่นะครับ” พนักงานชาวต่างชาติหันหลังเดินออกไปหลังจากที่รับออเดอร์จากเวฬาและวาคีน ทั้งคู่มองหน้ากันเล็กน้อยพลางส่งยิ้มบางให้กันและกันก่อนจะเสมองไปทางอื่น แสงแดดสีทองสาดส่องผ่านเข้ามาภายในร้าน ในห้วงเวลายามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังเริ่มคล้อยลงต่ำ ทำให้บรรยากาศบริเวณริมแม่น้ำดูสวยขึ้นกว่าปกติ โต๊ะที่พวกเขานั่งเป็นโต๊ะที่อยู่ริมกระจกพอดี ทำให้เห็นวิวด้านนอกได้อย่างชัดเจน แสงประกายของแดดที่สะท้อนจากผิวน้ำทำให้บริเวณนั้นแลดูเป็นสีทองไปเสียหมด ตึกรามบ้านช่องดูน่าสนใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ นักเขียนหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ เผื่อว่าในอนาคตจะได้หยิบมาใช้เป็นอ้างอิงในการเขียนบรรยายฉากต่างๆ ในนิยายบ้าง “คุณถ่ายรูปให้ผมบ้างสิครับ” วาคีนเอ่ยปากบอกเวฬาในระหว่างนั้น “มาครับ” “ขอบคุณครับ” วาคีนรีบยื่นมือถือให้อย่างไม่ลังเล คนถูกไหว้วานให้เป็นตากล้องรับมาแล้วเปิดกล้องพลางเล็งหามุมที่ทำให้อีกฝ่ายดูดีที่สุดทันที “คุณขยับไปทางขวาตัวเองนิดนึง ให้แดดมันโดนหน้าหน่อย” ตากล้องเอ่ยปากบอก ดวงตายังคงจดจ้องอยู่ที่หน้าจอมือถือเพื่อเช็คว่าคนในเฟรมอยู่ในท่าทางตามที่เขาแนะนำแล้วหรือยัง “พอไหมครับ” “ขยับถอยมานิดนึงครับ ให้แดดมันโดนแค่ครึ่งหน้าพอ” “ได้ไหมครับ” “เยี่ยมครับ หล่อเลย” เวฬาบอกก่อนจะเริ่มกดถ่ายรูป “เปลี่ยนท่าได้เรื่อยๆ เลยนะครับ” วาคีนขยับร่างกายไปตามความรู้สึก ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลยสักนิด เพราะปกติเขาก็ชื่นชอบการออกไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่คนขี้อายสักเท่าไหร่นัก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเป็นไปอย่างธรรมชาติ ฝ่ายตากล้องเองก็ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปอย่างตั้งใจ จนไม่ได้สังเกตเลยว่าสายตาของคนที่นั่งเป็นนายแบบอยู่ตรงหน้ากำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างไม่ลดละ บางอย่างปรากฏขึ้นในแววตานั้น เป็นความรู้สึกที่ยังคงเด่นชัดในใจของวาคีน ความรู้สึกบางอย่างที่เวฬายังไม่อาจรับรู้ “เรียบร้อยครับ คุณลองเช็ครูปดูก่อนนะ” เวฬาบอกพลางยิ้มให้ก่อนจะยื่นมือถือคืนเจ้าของ “ไม่ต้องเช็คหรอกครับ เพราะผมหล่ออยู่ละ” “แหวะ!” หนุ่มนักเขียนถึงกับเบ้ปากทันที รู้สึกหมั่นไส้คนหลงตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น “หรือไม่จริงครับ” “ตากล้องเก่งต่างหาก แบร่!” เวฬาเถียงคืนพร้อมแลบลิ้นหลอกอีกฝ่าย เรียกเอารอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของวาคีน ระหว่างนั้นพนักงานก็ยกถาดเซ็ตหมูกระทะขนาดกลางที่พวกเขาสั่งมาเสิร์ฟ ทั้งคู่ตาเบิกโตด้วยความตกใจเล็กน้อยเพราะมันดูใหญ่กว่าในรูปพอสมควร เกินความคาดหมายของพวกเขาไปสักหน่อย ทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันแล้วยิ้มแห้งออกมาด้วยกลัวว่าจะกินกันไม่หมด “เยอะมาก” วาคีนบอกพลางหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายรูปของสดที่จัดเรียงไว้ในถาดอย่างสวยงาม “นั่นสิครับ รู้งี้น่าจะสั่งถาดเล็ก” “ไม่เป็นไรหรอกครับ” เวฬาพยักหน้ารับแล้วหยิบมือถือ ของตัวเองขึ้นมาถ่ายรูปบ้าง จากนั้นก็เริ่มคีบเนื้อหมูขึ้นวางบนกระทะ จัดเรียงอย่างสวยงาม ส่วนอีกฝ่ายก็คีบเอาผักหย่อนลงไปรอบๆ กระทะ เพราะพวกเขาตั้งใจจะถ่ายรูปแล้วอัพขึ้นสตอรี่ เสียงเนื้อจี่บนกระทะร้อนระอุเรียกความหิวของพวกเขาได้มากกว่าเดิม นักเขียนหนุ่มรีบกดถ่ายรูปอย่างว่องไวแล้วเข้าไปโพสต์ในสตอรี่ไอจีทันที “คุณ ผมขอไอจีคุณหน่อย จะแท็กสตอรี่” ​เวฬาเอ่ยบอกพร้อมยื่นมือถือให้ อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยตอบอะไรเพียงแต่หยิบมือถือไปแล้วกดพิมพ์แอคเคาท์ไอจีของตัวเองให้ ก่อนจะส่งคืนมือถือให้กับเจ้าของ “ผมกดฟอลโล่ไปแล้วนะครับ” วาคีนเอ่ยบอกหลังจากที่ตัวเองกดรีโพสต์สตอรี่นั้น แล้วเข้าไปส่องที่หน้าโปรไฟล์ของอีกฝ่าย “ครับ” การสนทนาของพวกเขาสิ้นสุดลงแค่นั้นก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปสนใจอาหารตรงหน้าแทน ทั้งสองคนนั่งกินหมูกระทะพร้อมอาหารจานข้างเคียงที่สั่งเพิ่มมาอย่างใจจดจ่อ ต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดคุยกัน เพราะมัวแต่โฟกัสที่ความหิวของตัวเอง ระยะเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ อาหารบนโต๊ะค่อยๆ ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ จากที่ทั้งคู่กังวลว่าจะกินไม่หมด กลายเป็นว่าในตอนนี้อาหารทุกเมนูเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวอาหารที่ดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าบนจานนั้นเคยเป็นอะไรมาก่อน “อิ่มมาก” เวฬาบ่นพลางลูบท้องแล้วเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้ “จริงครับ” “ไหนตอนแรกใครบอกว่ากินไม่เยอะ” “ก็มันอร่อยนี่ครับ” วาคีนรีบเถียงกลับ เวฬาหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู วาคีนในตอนนี้ดูผ่อนคลายมากขึ้นกว่าตอนแรก มาดเท่ๆ ที่ก่อนหน้านี้ปรากฏให้เห็นก็กลายเป็นพวกท่าทีที่ดูสบายมากขึ้น ไม่ได้ดูขี้เก๊กเหมือนในตอนแรก พวกเขานั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งก่อนที่วาคีนจะเอ่ยปากชวนไปหาที่นั่งชิลกันต่อ “คุณเวฬามีธุระต่อไหมครับ” “ไม่มีครับ” “อยากไปต่อด้วยกันไหมครับ” “ไปไหนครับ” “นั่งชิลไรงี้ครับ” “เอ่อ...” เวฬานิ่งคิด “คุณก็รู้นี่ว่าผมดื่มไม่เก่ง” “ครั้งก่อนนู้นคุณก็พูดแบบนี้ แล้วเป็นไง” วาคีนพูดพลางยกยิ้มแซว แววตาแฝงไปด้วยเลศนัย “ถ้างั้น... ขอเป็นร้านที่อยู่ใกล้ๆ ได้ไหมครับ ผมขี้เกียจไปไกล เบื่อรถติด” “ได้ครับ งั้นคุณเลือกเลย” เวฬาพยักหน้ารับหลังจากได้รับข้อเสนอจากวาคีน เขาหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งเพื่อค้นหาร้านนั่งชิลที่อยู่ใกล้บริเวณที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้มากที่สุด เขากดพิมพ์อยู่ไม่กี่ทีก่อนจะเลื่อนหน้าจอหาร้านที่ถูกใจ เพียงไม่นานก็พบสถานที่ที่ตัวเขาเองคิดว่าน่าจะโอเคที่สุดสำหรับเขา “ผมว่าร้านนี้น่าไปนะครับ ไม่ไกลด้วย” เวฬาบอกพลางยื่นหน้าจอมือถือให้วาคีนดู “ในแมพบอกว่าอยู่ห่างออกไปแค่ 500 เมตรเองครับ” ‘Joaquin Jazz Club’ ชื่อร้านปรากฏขึ้นตรงหน้าวาคีน เขานิ่งมองก่อนจะกระตุกยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้นมาหาเวฬา “อ้อ ร้านนี้ผมรู้จักครับ” “ไปกันไหมครับ” “ได้ครับ เดี๋ยวผมพาไป มันอยู่ซอยข้างๆ นี่เอง” “อ้อ! โอเคครับ” “งั้นเดี๋ยวผมเรียกคิดเงินเลยนะครับ” เวฬาเอ่ยบอกพลางหันหน้าไปมองพนักงานพร้อมยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องการให้มาเช็คบิล พนักงานพยักหน้ารับทันทีที่เห็นก่อนจะเดินไปยังเคาท์เตอร์แล้วกลับมาพร้อมใบเสร็จเก็บเงิน วาคีนอาสาจ่ายเงินให้ก่อนพลางยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานเอาไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในมื้อนี้ “ขอคิวอาร์โค้ดหน่อยครับ ผมจะโอนเงินให้” เวฬาเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรครับ ผมเลี้ยง” วาคีนรีบปฏิเสธ “ไม่ได้ครับ ผมไม่อยากติดค้างใคร” “ไม่ต้องซีเรียสหรอกครับ ผมชิลมาก” “ไม่ได้ครับ มีคนเคยบอกผมว่าถ้าอยากคบใครนานๆ อย่าเลี้ยงข้าวกัน ให้หารทุกครั้ง จะได้แฟร์ๆ ไม่ต้องมาเรียกร้องบุญคุณกันภายหลังให้เป็นปัญหา” “นี่คุณเวฬาอยากคบกับผมนานๆ เหรอครับ” “...” “ผมดีใจนะครับเนี่ย...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม