“โอ๊ย! เบาๆ สิยูริ”
ปัง!
นอกจากยูริจะไม่ฟังเสียงร้องของฉันแล้ว เธอยังปิดประตูบ้านเสียงดังจนฉันสะดุ้งตกใจ
เกือบครึ่งชั่วโมงที่ฉันซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเพื่อรอจนแน่ใจว่าโอยามะรวมถึงคนของเขาออกไปจากพื้นที่จนหมดแล้ว หลังจากนั้นฉันก็ใช้เวลาอีกร่วมสองชั่วโมงกว่าจะเดินมาถึงบ้านของยูริ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ฉันมี
“เธอมาที่นี่ทำไม”
คำถามจากเพื่อนสนิททำเอาฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ หน้าอกร้อนวูบขึ้นมาทันทีเมื่อไม่คิดว่าเธอจะถามฉันด้วยคำถามแบบนั้น ทั้งที่ถ้าดูจากสภาพของฉันแล้ว มีใครบ้างที่ดูไม่ออกว่าฉันกำลังต้องการความช่วยเหลือ แต่คนที่ฉันเรียกว่าเพื่อนกลับทำหน้าตาเหมือนไม่ยินดีต้อนรับ
“ทำไมเธอถามฉันแบบนั้นล่ะยูริ” ฉันย้อนถาม ใครจะว่าถามโง่ๆ ฉันก็ยอมรับ เพราะตอนนี้ฉันกลัวจนไม่มีเวลามานั่งประดิษฐ์คำถามที่จะทำให้มันดูฉลาดกว่านี้หรอก
“ก็...ก็แค่แปลกใจน่ะ ฉันไม่คิดว่าเขาจะปล่อยเธอมา”
“เธอแปลกใจที่ฉันรอดมาได้ หรือเธอกลัวว่าฉันจะกลับมาทำให้เธอเดือดร้อนกันแน่”
“หยุดพูดนะฮานะ”
“แล้วทำไมฉันจะพูดไม่ได้”
“ฉันบอกให้หยุดพูดไงล่ะ”
“อื้อ!”
ริมฝีปากของฉันถูกยูริเอื้อมมือมาปิดเอาไว้จนแน่น เธอทำหน้าเหมือนอยากจะฆ่าฉันให้ตายทั้งๆ ที่สิ่งที่ฉันพูดคือความจริง
“ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ยยูริ”
“ออกไปจากบ้านของฉันซะ เธอไม่ควรมาที่นี่” ยูริตะโกนไล่ฉันอย่างไม่ไยดี แถมยังสะบัดนิ้วพรึ่บไปที่ประตูทำราวกับว่าฉันเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกียจ
ร่างกายที่สั่นอยู่แล้วเพราะอากาศและเรื่องราวเลวร้ายที่ต้องเจอ กลับยิ่งต้องสั่นขึ้นไปอีกเมื่อไม่คิดว่ายูริจะทำกับฉันได้ลงคอ
“แปลว่าเธอแค่หลอกใช้ฉันสินะ” ฉันถามออกไปเสียงสั่น ไม่ได้ถามเพื่อเอาคำตอบเพราะคิดว่าฉันรู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ถามเพราะอยากจะได้ยินมันจากปากของผู้หญิงที่ฉันเรียกว่าเพื่อนมาตลอดสี่ปีเท่านั้นเอง
“อย่ามาโทษฉันนะ ฉันไม่ได้หลอกเธอสักหน่อย เธอเต็มใจไปเองต่างหาก”
“ฉันน่ะเหรอเต็มใจ”
“ก็ใช่น่ะสิ หรือจะปฏิเสธว่าเธอไม่รู้แต่แรกว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมา” ยูริถามเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับความหมายของสิ่งที่เธอพูดมันออกมาเลยสักนิด และถ้าจะให้ฉันตอบตามคำถามที่ชี้นำของเธอก็คงใช่นั่นแหละ
ฉันตัดสินใจไปทั้งที่รู้ว่าถ้าถูกจับได้...ฉันอาจต้องตาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องตายแน่ๆ นี่นา อย่างที่เห็นว่าตอนนี้ฉันรอดมาได้
“เธอก็รู้ดีตั้งแต่แรกว่าควรทำยังไงถ้าเธอทำไม่สำเร็จ แล้วทำไมเธอถึงไม่ทำ แถมยังกลับมาหาฉันแบบนี้อีกเนี่ยนะ”
เสียงของยูริอื้ออึงมากจนฉันจับใจความแทบไม่ได้ รู้แต่ว่าความหมายของมันก็ยังชัดเจนเหมือนเดิมตั้งแต่แรก นั่นคือเธอจะไม่ช่วยฉัน ไม่ต้องการช่วย และไม่คิดจะช่วยตั้งแต่แรก ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอไม่คิดว่าฉันจะรอดกลับมาขอความช่วยเหลือจากเธอตั้งแต่แรกมากกว่า
“เงียบทำไมล่ะ เธอรีบๆ ออกไปเลยนะ ก่อนที่เธอจะทำให้ฉันเดือดร้อนไปด้วย เธอนี่มันตัวซวยจริงๆ!”
ตัวซวยเหรอ? ก็คงจริงอย่างที่ยูริพูดอีกนั่นแหละ เพราะตั้งแต่ที่ฉันลืมตาขึ้นมาดูโลก ฉันก็ทำให้แม่ต้องตาย และหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือน บริษัทของพ่อก็ล้มละลาย ที่สุดแล้วพ่อของฉันก็ลาจากโลกนี้ไปอีกคน เหลือเพียงฉันถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง ไม่มีญาติคนไหนต้องการ สุดท้ายก็เติบโตขึ้นมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ฉันเรียกมันว่าบ้าน
“ฉันบอกให้ออกไปจากบ้านของฉัน ไปสิ!” ยูริแผดเสียงไล่ฉันดังลั่นพร้อมกับที่พยายามลากฉันออกมาจากบ้านของเธอทั้งที่ฉันยืนอยู่ในบ้านของเธอไม่ทันถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ เธอผลักฉันล้มลงกับพื้นแล้วมองฉันด้วยสายตารังเกียจ ก่อนจะมองไปรอบๆ ราวกับกลัวว่าจะมีคนมาเห็นเข้า ก็เลยทำให้ฉันรู้ว่าเมื่อครู่นี้ที่เธอพาฉันเข้าไปด้านในก็น่าจะเหตุผลเดียวกันนั่นคือเธอไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันมาหาเธอที่นี่
ในเวลาที่แม้แต่ยืนฉันก็ยังทำได้ยากลำบากแบบตอนนี้ ฉันจะเอาแรงที่ไหนไปขัดขืนเธอล่ะ วินาทีนี้แม้แต่เสียงอ้อนวอนออกไปฉันก็แทบไม่มีเหลือ
“ไปซะ แล้วอย่ากลับมาหาฉันอีก ที่สำคัญ...ห้ามลืมเรื่องที่เธอรับปากฉันเอาไว้ เข้าใจมั้ย”
“ยูริ”
“รีบไปซะ!” ยูริย้ำก่อนที่เธอจะรีบเดินกลับเข้าไปด้านในพร้อมกับปิดประตูลงทันที
ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกายเมื่อยูริทิ้งฉันเอาไว้บนพื้นถนนหน้าบ้านที่ทั้งเย็นและแข็ง ฉันทำได้เพียงนั่งมองประตูบ้านของยูริอย่างไร้ซึ่งความหวัง
หลายนาทีที่ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไปไหน สาเหตุที่ฉันเลือกจะมาที่นี่ก็เพราะก่อนหน้านี้ฉันไม่มีที่ให้ไปอีกแล้ว นั่นแปลว่าถ้าหมดจากที่นี่แล้ว ฉันก็ไม่มีที่ไหนให้ไปแล้วจริงๆ
ฉันไม่มีญาติ ไม่มีบ้าน ไม่มีคนรู้จัก ตลอดเวลาหลังจากที่ฉันตัดสินใจออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ยูริก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ฉันมี และในเมื่อตอนนี้เธอไม่ต้องการฉันอีกแล้ว ก็เท่ากับว่าฉันหมดสิ้นแล้วทุกอย่าง
ฉันเดินออกมาจากบ้านของยูริทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน รู้ดีว่าถ้าฉันยังดันทุรังนั่งอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ อาจทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ หรือดีไม่ดีอาจจะทำให้เธอต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะถึงตอนนี้ฉันจะยังมีลมหายใจอยู่ แต่ลมหายใจนี้ไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้ว มันมีเจ้าของใหม่เป็นผู้ชายที่ชื่อ ‘โอยามะ’
ฉันมั่นใจว่าคนอย่างโอยามะไม่มีทางปล่อยฉันไว้แน่ๆ หลังจากนี้ เขาจะต้องตามล่าฉัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนอย่างเขาเลย
สำหรับโอยามะแล้ว การกำจัดหัวขโมยกระจอกๆ อย่างฉันอาจทำได้ง่ายยิ่งกว่าการคิดเมนูอาหารเช้าด้วยซ้ำ และคนอย่างเขาก็มักสร้างความหวาดกลัวให้เหยื่อก่อนลงมือกำจัดได้เสมอ เหมือนที่เขาบอกว่าจะส่งฉันไปขายยังไงล่ะ ถึงเขาจะไม่ได้ลงมือฆ่าอย่างเหี้ยมโหด แต่วิธีนั้นก็เลวร้ายไม่ต่างกันนักหรอก และถ้ามันไม่ได้บังเอิญเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน ป่านนี้ฉันอาจถูกเขาฆ่าด้วยการปล่อยให้มีลมหายใจอยู่อย่างทรมานไปแล้วก็ได้
ฟุ่บ!
ฉันทิ้งตัวนั่งลงที่ริมแม่น้ำเพราะสองขาอ่อนแรงเกินจะเดินต่อไปได้ไหว น้ำตาไหลอาบแก้มและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหลง่ายๆ ซึ่งไม่ว่าฉันจะพยายามปาดมันออกกี่ครั้ง มันก็มักจะถูกแทนที่ด้วยหยดน้ำตาใหม่ๆ เสมอราวกับว่ามันเป็นทางเดียวที่ฉันสามารถระบายความรู้สึกข้างในออกมาได้ในตอนนี้
เสียงหัวใจยังคงเต้นอยู่ในอก ฉันได้ยินมันชัดเจนแต่กลับกำลังเฝ้าถามตัวเองว่าที่มันยังคงเต้นอยู่นี้ เป็นเพราะอะไร มันจะเต้นต่อไปทำไมในเมื่อไม่มีใครต้องการฉันอีกแล้ว
ฟึ่บ!
เป็นอีกครั้งที่ฉันพยายามลุกขึ้นยืนด้วยสองขาสั่นๆ ของตัวเอง สายตามองตรงไปยังแม่น้ำด้านหน้าที่มีเงาของพระจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำ สายลมที่พัดแรงทำให้เกิดคลื่นบนผิวน้ำระลอกเล็กๆ ส่งผลให้เงาสะท้อนของพระจันทร์สั่นไหวเบาๆ
“พี่ครับๆ”
เสียงเล็กๆ ของเด็กผู้ชายที่ร้องเรียกฉันพร้อมกับวิ่งเข้ามาจับมือฉันเอาไว้ทำให้สองเท้าของฉันชะงักไปในทันที ก่อนจะต้องหันกลับไปมองเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ อายุน่าจะราวๆ สี่ห้าขวบ
“พ่อกับแม่ผมเคยบอกว่าน้ำมันเย็นมาก ถ้าเล่นน้ำตอนกลางคืนจะไม่สบายนะครับ”
เล่นน้ำเหรอ? หน้าตาฉันเหมือนคนมีความสุขที่กำลังจะได้เล่นน้ำขนาดนั้นเลยหรือยังไง
“พี่ไม่สบายรึเปล่าครับ มือพี่ร้อนจี๋เลย ผมว่าพี่...”
“ขอบคุณนะครับ แต่พี่...ไม่เป็นไร” ฉันพยายามบอกทั้งที่เสียงสั่นจนไม่สามารถบังคับได้ เพราะความจริงแล้ว...สิ่งที่ฉันกำลังรู้สึกมันห่างไกลกับคำว่าไม่เป็นไรโดยสิ้นเชิง
ฉันยิ้มให้เด็กผู้ชายคนนั้นก่อนจะค่อยๆ ดึงมือของตัวเองออกจากมือเล็กๆ ที่จับมือฉันเอาไว้หลวมๆ ตั้งแต่แรกออก แววตาที่ใสซื่อยังคงมองฉันเหมือนจะไม่เข้าใจความหมาย จนฉันอดไม่ได้ที่จะนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเด็กชายคนนั้นพร้อมกับวางมือบนหัวของเขาเบาๆ
“รีบกลับไปหาพ่อกับแม่เถอะครับ เดี๋ยวพวกท่านจะเป็นห่วง” ฉันบอกเป็นเชิงเตือน พูดจบก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้งโดยที่สายตายังคงจ้องมองไปที่แววตาไร้เดียงสาคู่นั้นอย่างนึกขอบคุณ
“ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ พี่ก็รีบกลับบ้านนะครับ เดี๋ยวพ่อกับแม่ของพี่จะเป็นห่วง” เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาวพร้อมกับก้มหัวให้ฉันนิดหน่อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกลาแล้วกลับหลังหันวิ่งออกไปในทันที
ฉันยืนจ้องมองแผ่นหลังเล็กๆ ที่วิ่งไกลออกไปทุกทีๆ จนกระทั่งลับสายตา หลังจากรอให้เด็กคนนั้นจากไปแล้ว ฉันถึงได้หันกลับมามองไปที่แม่น้ำอีกครั้ง
ฉันกำลังจะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ของฉันแล้ว
ฟึ่บ!
แล้วฉันก็ตัดสินใจจะก้าวต่อไป จะช้าจะเร็วยังไงฉันก็ต้องตายอยู่ดี และคงไม่ต้องรอให้โอยามะลงมือหรอก ฉันจะไม่ยอมให้เขาลากฉันกลับไปเป็นสินค้าเด็ดขาด ฉันไม่อยากตกนรกทั้งเป็นแบบนั้น
จ๋อม~
ก้าวแรกที่เท้าได้สัมผัสกับน้ำเย็นเฉียบทำเอาฉันสั่นสะท้าน สองมือซุกลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวโตของโอยามะที่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันไม่หนาวตายไปตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน
ก้าวแรกผ่านไปได้ด้วยดี ฉันก็ค่อยๆ ก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนระดับน้ำจากตาตุ่มค่อยๆ ไต่ระดับสูงขึ้นมาถึงหน้าแข้ง หัวเข่า ต้นขา เอว จนกระทั่งถึงหน้าอก
“ฮานะ!”
เสียงของใครสักคนตะโกนเรียกชื่อฉันดังมาจากด้านหลังทำให้ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้คิดจะหันหลังเดินย้อนกลับไปอีกแล้ว ฉันเดินมาไกลเกินกว่าจะถอย และที่สำคัญ ข้างหลัง...ไม่มีพื้นที่สำหรับฉันอีกแล้ว
ไม่มีที่ให้ฉันยืน ไม่มีใครสักคนต้องการฉัน ไม่มีเลย...
“ฮานะ กลับมานะ!”
เสียงตะโกนเหมือนจะดังขึ้น แต่เพียงไม่นานมันก็เลือนหายตามสายลมที่พัดผ่านไป
“ฮานะ!”
ฟึ่บ!
“ทำบ้าอะไรของเธอ!” ต้นแขนของฉันถูกกระชากทำให้ฉันหันหลังกลับมา สายตาของคนที่วิ่งตามลงมามองฉันด้วยความกรุ่นโกรธพร้อมกับตะคอกถามฉันเสียงดัง
“ปล่อยฮานะนะ!”
“หยุดบ้าสักที เธอกำลังทำให้คนอื่นเขาแตกตื่น ไม่รู้รึไง!” พี่ยูตะตะคอกบอก เขาพยายามจะเตือนสติด้วยการเขย่าตัวฉันจนฉันรู้สึกมึนหัวไปหมด มิหนำซ้ำพอได้มองไปรอบๆ ฉันถึงได้รู้ว่าทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังกำลังมองฉันด้วยแววตาตื่นตกใจจริงๆ
ขนาดอยากตาย ฉันยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย…
“กลับขึ้นไปคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้” พี่ยูตะกำชับเสียงเข้มก่อนจะกระชากฉันให้เดินตามเขากลับขึ้นมา สมองของฉันเบลอไปหมด ไม่ทันได้ขัดขืนหรือแม้แต่ทบทวนทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นให้ดีด้วยซ้ำ
“คิดจะทำบ้าอะไรของเธอฮานะ!” ยูริแผดเสียงใส่ฉันดังลั่นเมื่อพี่ยูตะลากฉันกลับขึ้นมาถึงฝั่งริมแม่น้ำซึ่งเธอรออยู่
ฟุ่บ!
แล้วอยู่ๆ ร่างกายที่กำลังสั่นไปหมดของฉันก็โดนยูริสวมกอดเอาไว้
“ฉันขอโทษ แต่อย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลยนะฮานะ”
“ธะ...เธอ ว่ายังไงนะยูริ” ฉันรีบถามย้ำเมื่อไม่เข้าใจสักนิดว่ายูริต้องการอะไร เมื่อกี้นี้เธอเป็นคนไล่ฉันมา แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายพูดว่าขอโทษงั้นเหรอ
“ฉันบอกว่าฉันขอโทษ เมื่อกี้นี้ฉันแค่กลัวมากไปหน่อยก็เลยทำอะไรไม่ทันคิด ไม่คิดว่ามันจะทำให้เธอคิดสั้น เรากลับบ้านกันนะฮานะ ฉันจะพาเธอกลับบ้านเอง” ยูริพยายามบอก เธอดันไหล่ของฉันออกช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ซึ่งฉันเห็นรอยยิ้มของเธอไม่ชัดนักเพราะสองตายังคงพร่าเบลอจากม่านน้ำตา แต่ก็คิดว่านั่นคือรอยยิ้มที่เธอน่าจะตั้งใจยิ้มออกมาให้ฉันจริงๆ
“ฉัน...”
“ฉันขอโทษ พี่ยูตะดุฉันแล้ว ฉันสำนึกแล้ว ฉันขอโทษนะที่ทำไม่ดีกับเธอ เธออย่าโกรธฉันเลยนะฮานะ”
“ฉันจะโกรธเธอได้ยังไง” ฉันพูดพลางสะอื้น ยูริยิ้มกว้างก่อนจะกระชับมือของเธอที่กุมมือของฉันเอาไว้ให้แน่นขึ้นจนฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของเธอ
“รีบไปเถอะ” เสียงของพี่ยูตะ พี่ชายแท้ๆ ของยูริ ทำให้ฉันต้องรีบหันไปมอง ซึ่งสายตาของเขาก็ยังคงมองมาที่ฉันอย่างรู้สึกไม่ชอบใจนักอยู่ดี
“เรารีบไปกันเถอะฮานะ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันกับพี่ยูตะจะช่วยเธอเอง” ยูริย้ำกับฉันอย่างนั้นก่อนจะจูงมือฉันเดินตามพี่ยูตะไปที่รถ
ระหว่างทางที่เดินย้อนกลับมาที่รถ ยูริจับมือฉันเอาไว้แน่น และจนกระทั่งถึงตอนขึ้นรถ เธอก็ยังคอยเปิดประตูให้ฉัน
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกันนี่” ยูริบอกแล้วยิ้มจนตาหยี คำว่าเพื่อนที่เธอพูดออกมาทำให้ฉันสะอื้นขึ้นมาอีกรอบ
“รีบไปกันได้แล้ว นี่ไม่ใช่เวลาจะมัวมาซาบซึ้ง” เสียงดุๆ จากคนด้านหน้าทำให้ยูริปล่อยมือฉันออกก่อนที่เธอจะปิดประตูลงแล้วเดินไปขึ้นรถทางด้านหน้า
จริงสินะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมัวมาซาบซึ้งใจหรือนั่งร้องไห้ เพราะถ้าคนของโอยามะมาเห็นฉันตอนนี้ ทั้งพี่ยูตะและยูริอาจจะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยก็ได้
“จริงๆ พี่ยูตะกับยูริไม่จำเป็นต้องช่วยฮานะก็ได้”
“ไม่ได้!” ยูริหันมาเอ็ดฉันเสียงดัง “เราเป็นเพื่อนกัน จะทิ้งให้เธอเดือดร้อนอยู่คนเดียวได้ยังไง อีกอย่างเรื่องทั้งหมดมันเป็นความคิดของฉันเอง เพราะฉะนั้นฉันต้องมีส่วนรับผิดชอบ”
“แต่ว่า...”
“ไม่แต่อะไรทั้งนั้น เมื่อกี้นี้ฉันแค่ตกใจกลัวมากไปหน่อยก็เลยทำไม่ดีกับเธอ เธอยังโกรธฉันอยู่เหรอฮานะ”
“เปล่าๆ ฉันเข้าใจ เพราะฉันเองก็กลัวมากเหมือนกัน” ฉันสารภาพอย่างไม่อาย สายตาเหลือบมองไปที่พี่ยูตะที่ยังคงขับรถต่อไปเงียบๆ ฉันรู้ว่าเขาได้ยินทุกอย่าง และก็เข้าใจดีว่าฉันกับยูริกำลังคุยกันเรื่องอะไร เพราะเขาเองก็รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก
“งั้นก็เชื่อฉันนะ ฉันกับพี่ยูตะจะพาเธอไปซ่อนเอง แต่ก่อนอื่นเราต้องไปเก็บเสื้อผ้าแล้วก็ของใช้ที่จำเป็นก่อน เดี๋ยวพี่ยูตะจะไปส่ง”
“อืม” ฉันตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นแล้วมองออกไปด้านนอกระหว่างที่พี่ยูตะกำลังขับรถพาฉันกลับไปที่หอพัก
ฉันพักอยู่ที่หอพักหญิงใกล้ๆ กับโรงเรียนน่ะ จะได้ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส่วนเรื่องค่าเทอมก็ได้ทุนจากโรงเรียนซึ่งฉันมีหน้าที่แค่รักษาระดับของผลการเรียนเอาไว้ให้อยู่ในเกณฑ์ที่โรงเรียนกำหนด นอกจากนั้นฉันก็ยังทำงานพาร์ตไทม์เป็นแคชเชียร์ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ หอพักในช่วงวันหยุดด้วย