6 : ไม่ได้ตั้งใจช่วย

2666 คำ
“อ้าว! คุณแตงกวา ไม่ได้เจอกันนานเลยคิดถึงจังเลยค่ะ.... คุณวิสุทธิ์กำลังรออยู่ในห้องเลยค่ะ” พี่แววเลขาหน้าห้องของคุณอาเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง “คิดถึงเหมือนกันค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูขอเข้าไปหาคุณอาก่อนนะคะ” “เชิญเลยค่ะ” จากนั้นก็ยิ้มให้พี่แววก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงานกว้าง พอเข้ามาถึงก็เห็นคุณอายืนหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่... คุณอาของฉันเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบแถมโสดด้วยและด้วยหน้าตาของคุณอาที่หล่อเหลาแม้อายุจะเข้าเลขสี่แล้วก็ตามเลยทำให้มีสาวๆ เข้ามาติดพันไม่เว้นแต่ละวัน แต่ฉันก็ไม่ยักเห็นคุณอาจะสนใจใครเลย จนคุณย่าที่ไปพักผ่อนอยู่ต่างประเทศกับครอบครัวของป้าซึ่งเป็นพี่สาวของพ่อฉันต้องโทรมาบ่นกับฉันอยู่บ่อยๆ และด้วยที่คุณอาอายุค่อนข้างห่างจากพ่อของฉันและคุณป้าอยู่มากท่านเลยดูไม่ค่อยแก่เท่าไร คุณอาที่เหมือนจะรู้ว่ามีคนเข้ามาภายในห้องหันหน้ามามองก่อนที่ท่านจะยิ้มกว้างออกมา “มาแล้วเหรอไอ้ตัวแสบ หายหน้าหายตาไปเลยนะ นี่ถ้าอาไม่โทรไปเราก็ไม่คิดจะมาหาอาเลยใช่ไหม หืม” ทักทายฉันด้วยน้ำเสียงประชดประชันทันที ทำเอาฉันอดยิ้มไม่ได้กับท่าทางงอนหลานอย่างฉันของคุณอา “สวัสดีค่ะอาวิทย์ คิดถึงจังเลยค่ะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าไปสวมกอดท่านด้วยท่าทางออดอ้อนทันที คุณอาเองก็หัวเราะขำๆ พลางลูบผมของฉันไปมาด้วยความเอ็นดู “อ้อนอีกแล้วนะเราน่ะ” ว่าพลางยิ้มๆ ก่อนที่คุณอาจะเดินไปนั่งลงที่โซฟากว้างกลางห้องทำงาน ฉันเองก็เดินตามไปนั่งด้วยก่อนจะเปิดประเด็นถามคำถามกับท่านทันที “ว่าแต่อาวิทย์มีอะไรหรือเปล่าคะถึงเรียกให้หนูมาหาวันนี้?” “รู้ดีจังนะเราน่ะ” ท่านว่ายิ้มๆ ก่อนจะยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้างแล้วเองหลังพิงไปกับพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ “ก็แหม... ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยเรียกหนูมาหานี่คะถ้าไม่มีเรื่องสำคัญ... สรุปมีเรื่องอะไรคะ?” ว่าพลางยกยิ้มไปด้วย “ก็เรื่องแม่ของเรานั่นแหละ ได้ข่าวว่านัดให้เราไปดูตัวอีกแล้วเหรอ?” “อารู้ได้ไงคะ?” “อารู้ก็แล้วกัน... ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนะ รู้จักปฏิเสธบ้างก็ดีนะแตงกวา” คุณอาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังต่างจากก่อนหน้านี้มาก “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูไม่อยากทำให้แม่ไม่สบายใจ... อีกอย่างก็แค่ไปกินข้าวเองคงไม่มีอะไรหรอกมั้งคะ” ฉันยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณอา ก่อนที่ท่านจะยื่นมือมาลูบผมฉันเบาๆ “หนูรู้ใช่ไหมว่าอากับคุณย่าแล้วก็ป้ารักหนูมากแค่ไหน... ถ้ามันลำบากใจจริงๆ ก็กลับมาอยู่ที่บ้านเรานะ” คุณอามองหน้าฉันพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เพราะคุณอาท่านรู้ดีว่าตอนนี้ฉันต้องเจอกับอะไรบ้างแต่ฉันก็เลือกที่จะยิ้มให้ท่านแทน “หนูไม่เป็นไรหรอกค่ะ อยู่ที่คอนโดก็สบายดีค่ะไม่ได้ลำบากอะไร แถมเงินเดือนที่ได้ทุกเดือนก็ทำให้หนูอยู่ได้สบายๆ ค่ะ... คุณอาไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ แตงกวาซะอย่างอยู่ได้อยู่แล้วค่ะ” ฉีกยิ้มกว้างเป็นการยืนยันให้กับคุณอาไปด้วย ถึงแม้ในใจจะรู้สึกตรงกันข้ามก็ตาม “จะไม่ให้ห่วงได้ไงก็หนูเป็นหลานสาวคนเดียวของอานี่นา” อาวิทย์ว่ายิ้มๆ... ก็จริงอย่างที่คุณอาพูดแหละเพราะนอกจากฉันแล้วท่านก็ไม่มีหลานคนไหนแล้ว เพราะคุณป้าของฉันที่มีครอบครัวแล้วก็ไม่ลูก ส่วนตัวคุณอาเองก็โสด ฉันที่เป็นลูกคนเดียวของพ่อเลยกลายเป็นหลานรักของทุกคนเพราะคุณย่า คุณป้าและคุณอาพวกท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับพี่มะปรางมากนัก คงเพราะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันหละมั้ง แต่ถึงจะไม่ได้สนใจเธอมากนักแต่พวกท่านก็ยังสนับสนุนเรื่องเงินรวมถึงเรื่องอื่นๆ ให้เธอด้วยไม่ต่างจากฉันที่เป็นหลานแท้ๆ เลย “ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วงหนู” ฉันโผเข้าไปกอดคุณอาไว้จนแน่นท่านเองก็กอดตอบ อ้อมกอดของคุณอามันอบอุ่นเหมือนกับอ้อมกอดของพ่อฉันเลย “เด็กน้อยเอ้ย หึๆ” อาวิทย์หัวเราะออกมาพลางขยี้ผมฉันเบาๆ “ว่าแต่... ก่อนขึ้นมาหนูเจอแม่กับพี่มะปรางด้วย แม่มาหาอาเหรอค่ะ?” ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจอแม่ก่อนหน้านี้เลยถามคุณอาออกไป แต่ท่านกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน “เปล่านี่... ไม่ได้มาหาอานะ สงสัยแวะมาเฉยๆ มั้งหรือไม่ก็มาหาคุณวินัย....เห็นสนิทกันนี่” คุณอาเอ่ยออกมาเสียงเรียบแต่แววตากลับดูเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ และคุณวินัยที่คุณอาพูดถึงก็คือผู้จัดการใหญ่ของบริษัทนี้ ฉันเลยไม่ได้เซ้าซี้ต่อก่อนที่จะขอตัวกลับ “ถ้างั้นหนูกลับก่อนนะคะ ...เออ! อาวิทย์คะ... คุณย่าฝากมาบอกว่าให้รีบมีลูกสะใภ้ได้แล้ว คุณย่าอยากอุ้มหลานตัวเล็กๆ บ้างแล้วค่ะ... หึๆ” ก่อนจะเดินออกจากห้องก็หันไปแซวคุณอาด้วยแต่กลับได้สายตาดุๆ ของอาวิทย์กลับมาแทนจนฉันต้องรีบหมุนตัวเดินออกมาจากห้องอย่างไว ขืนอยู่นานกว่านี้มีหวังโดนบ่นหูชาแน่... ฉันใช้เวลาขับรถไม่นานก็กลับมาถึงคอนโดของตัวเองและตอนนี้ก็เย็นมากแล้วด้วย มาถึงก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟากลางห้องทันทีพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก่อนจะเห็นข้อความไลน์ของทอยด์ที่ส่งมาย้ำกับฉันเรื่องที่ต้องไปเคลียร์กันคืนนี้ “เฮ่อออออ.....” อ่านข้อความของทอยด์จบก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียดและหวังว่าคืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่ได้เจอเขา.... สามทุ่ม ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง...... ฉันออกมาตามนัดของทอยด์แต่ตั้งแต่มาถึงก็ยังไม่เห็นเขาเลย และคืนนี้ฉันก็เลือกที่จะนั่งแท็กซี่ออกมาเพราะกลัวว่าตัวเองจะเมาจนขับรถไม่ไหว... ฉันนั่งจิบค็อกเทลสีสวยอยู่คนเดียวภายในร้านเพื่อรอเขาพลางเล่นโทรศัพท์ในมือถือไปด้วย แต่เพียงไม่นานทอยด์ก็เดินเข้ามาหาที่โต๊ะพร้อมกับหย่อนตัวนั่งลงตรงข้ามกับฉัน “มีอะไรก็ว่ามา!” พอทอยด์มาถึงฉันก็เปิดประเด็ดทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลา “รีบจัง... เราเพิ่งมาถึงเองนะ... แล้วนี่แฟนไม่มาด้วยเหรอ?” ทอยด์ว่าพลางหันซ้ายขวามองหาใครอีกคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นแฟนของฉัน แต่ถึงจะหาไปก็หาไม่เจอหรอกก็ฉันยังไม่มีแฟนใหม่นี่นาส่วนพี่อิฐเพื่อนของพี่ธามสามีของอายตามันที่ฉันโมเมว่าเป็นแฟนใหม่ของฉันก็คงไม่เจอเขาอีกแล้วหละ “เขารออยู่ข้างนอกน่ะ มีอะไรก็รีบๆ พูดมาดีกว่าฉันไม่อยากเสียเวลา” ฉันเลือกที่จะโกหกเขาออกไปเรื่องแฟน สิ้นคำของฉันทอยด์ก็มีสีหน้าเจื่อนลง “รีบไปหาเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?” “อือ” น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนประชดแต่ฉันไม่สนใจหรอก “เราแค่อยากจะมาขอโทษแตงกวาอีกครั้งน่ะ... เรื่องของเรากับพี่มะปรางเราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ... แตงกวาจะยกโทษและให้โอกาสอีกครั้งได้ไหม” ทอยด์จ้องมองมาในตาของฉันด้วยแววตาอ้อนวอน แต่ฉันกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับแววตานั้นเลย “ฉันว่าเราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะ แล้วฉันเองก็มีแฟนแล้วด้วย... ฉะนั้นเรื่องของเราให้มันจบๆ ไปเหอะ” ว่าพลางยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวเดินออกมา แต่ก่อนจะไปฉันก็หยุดเท้าไว้พร้อมกับหันไปหาเขาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยบางอย่างออกไป “ถ้านายเป็นฉันนายเองก็คงจะรู้ว่าฉันรู้สึกยังไง... หวังว่านายจะเข้าใจนะ” ฉันก้าวเท้าเดินออกมาโดยไม่หันไปมองเขาอีก แต่พอออกมาถึงหน้าร้านกลับต้องชะงักเท้าของตัวเองอีกครั้งเพราะแรงดึงรั้งจากด้านหลังจนฉันต้องหันกลับไปมอง แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันยุ่งเพราะทอยด์เดินตามออกมารั้งข้อมือของฉันไว้ “อะไรของนายอีก!” น้ำเสียงเริ่มจะหงุดหงิด หมอนี่นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไงนะ “เราแค่อยากจะไปส่งแตงกวาน่ะ... คิดซะว่าให้เราไปส่งในฐานะเพื่อนได้ไหม” “ไม่เป็นระ.....” “อีแตงกวา!” ฉันยังไม่ทันจะได้ตอบปฏิเสธทอยด์ออกไป เสียงแหลมของใครบางคนก็เรียกฉันไว้ก่อนและก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร ก่อนจะกรอกตามองบนแล้วหันไปมองตามต้นเสียงพร้อมกับถอนหายใจหนักๆ ออกมา “แกมายุ่งอะไรกับคนของฉัน!” เสียงแหลมของพี่มะปรางตวาดใส่ฉันเสียงดัง “พี่ลองดูดีๆ สิคะว่าใครยุ่งกับใคร” ฉันตอบกลับพี่สาวไปเสียงเรียบเพราะรู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทนกับสถานการณ์แบบนี้ “ก็แกไงที่อ่อยคนของฉัน!” “ฉันว่าพี่ถามทอยด์เองดีกว่าไหมคะว่าเรื่องมันเป็นยังไง เพราะเขาเป็นคนนัดฉันออกมา!” “จริงเหรอทอยด์!!” “เลิกบ้าซะทีได้ไหมว่ะมะปราง น่ารำคาญ!!” ทอยด์ปล่อยมือจากข้อมือของฉันแล้วหันไปกระแทกเสียงใส่พี่มะปรางด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์นัก ก่อนที่เขาจะหันมาหาฉันอีกครั้ง “ให้ทอยด์ไปส่งนะ” “ไม่หละ ฉันไม่อยากเห็นหน้านายอีกแล้วอ่ะ... ต่อจากนี้ไปช่วยเลิกยุ่งกับฉันด้วย... ขอตัวนะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกมา “แตงกวา! เดี๋ยวสิแตงกวา!!” ในขณะที่ฉันเดินหนีออกมาเสียงของทอยด์ก็ตะโกนไล่หลังตามมา ก่อนที่สายตาของฉันจะสะดุดเข้ากับร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่กำลังเดินตรงมาทางฉัน และมันก็เหมือนสวรรค์ของฉันชัดๆ ที่สิ่งเขามาในเวลานี้แต่ดูท่าเขาน่าจะเพิ่งมาถึงร้าน แต่ฉันก็ไม่คิดนานและไม่รอช้าที่จะรีบเดินเข้าไปหาเขาทันที “รอนานไหมคะ เราไปกันเถอะค่ะอยากกลับบ้านแล้ว” มือบางยื่นไปคล้องแขนแกร่งของคนตรงหน้าที่มองฉันด้วยสายตาราบเรียบไว้ ส่วนฉันเองก็เงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนแบบสุดๆ จนคนตรงหน้ากระตุกยิ้มออกมา “ครับ...” เสียงทุ้มตอบกลับมาแค่นั้นก่อนจะพาฉันเดินออกไปขึ้นรถของเขาโดยปล่อยให้ทอยด์ยืนมองพวกเราด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ แต่แล้วไงใครแคร์.... รถเคลื่อนตัวออกมาบนถนนได้สักพักฉันก็ตัดสินใจหันไปพูดกับคนที่ยังขับรถออกไปโดยไม่รู้จุดหมายอยู่ “เออ... ขอบคุณนะคะพี่อิฐ” “คิดว่าจะไม่คุยกับพี่ซะแล้ว หึหึ” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาติดกลั้วขำในลำคอ เขาคงจะแขวะฉันเรื่องก่อนหน้านี้แหละที่ฉันทำเป็นไม่รู้จักเขา “เออ.... ขอบคุณนะคะที่ช่วยหนูไว้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เอาพี่มาอ้างแบบนี้ และก็ก่อนหน้านี้ด้วย... ขอโทษคร้า” สายตาสำนึกผิดถูกส่งไปให้เขาแต่เขากลับยิ้มบางๆ ตอบกลับมาให้แทน “ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนของเมียเพื่อนพี่... ว่าแต่ไอ้หมอนั้นแฟนเราเหรอ?” “แฟนเก่าค่ะ” “อ้อ... แฟนเก่าที่ตัดไม่ขาดสินะ” มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย หน้าตาเขาดูเจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ “หนูตัดขาด...แต่หมอนั่นตื้อไม่เลิกต่างหาก น่ารำคาญมาก” “หึหึ... แล้วนี่จะให้พี่ไปส่งที่ไหน?” “พี่จอดตรงป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูกลับเอง” “อื้อ...” บทสนทนาของเราจบลงพร้อมกับฉันที่ก้าวขาลงมาจากรถของเขา จากนั้นพี่อิฐก็ขับรถออกไปทันที ฉันมองรถของเขาไปจนลับสายตาพลางมองไปรอบๆ ด้วย ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ขอลงตรงนี้เพราะตรงนี้มันค่อนข้างเปลี่ยวมากเลยน่ะสิ แถมรถก็ไม่มีวิ่งผ่านอีกต่างหาก ก่อนจะค่อยๆ เดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้เพื่อรอแท็กซี่ แต่ไม่รู้ว่าจะมีมาหรือเปล่าเพราะแถวนี้ค่อนข้างเงียบ 15 นาทีผ่านไป ฉันนั่งชะเง้อคอรอรถผ่านมาพร้อมกับมือเล็กที่บีบเข้าหากันจนแน่น “รู้อย่างนี้ขับรถมาเองซะก็ดี...” พึมพำกับตัวเองเบาๆ และความซวยกว่านั้นก็คือโทรศัพท์มือถือดันมาแบตฯ หมดเอาตอนนี้อีก โอ๊ยยย... แตงกวาจะมีอะไรซวยกว่านี้อีกไหมวะ? และในขณะที่ฉันกำลังกระวนกระวายใจและตั้งหน้าตั้งตารอแท็กซี่อยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีผู้ชายสองคนที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเดินมานั่งไม่ไกลจากฉันมากนัก และดูพวกเขาก็เหมือนจะเมาด้วย ฉันขยับตัวออกห่างจนเกือบจะสุดปลายที่นั่งยาวนี่พร้อมกับปรายตาไปมองผู้ชายสองคนนั้นเล็กน้อย และสิ่งที่ทำเอาฉันเกือบช็อกก็คือผู้ชายสองคนนั้นกำลังจ้องมองมาทางฉันพร้อมรอยแสยะยิ้มชวนขนลุก “รอรถกลับบ้านเหรอน้องสาว” หนึ่งในสองคนนั้นเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูยานคางคล้ายคนเมานิดหน่อย แต่ฉันเลือกที่จะไม่ตอบกลับพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ริมถนนเผื่อว่าจะมีใครผ่านมาเห็นฉันบ้าง “แถวนี้มันไม่ค่อยมีรถหรอก ยืนนานๆ จะเมื่อยเอานะ... มานั่งคุยกับพวกพี่ก่อนไหม” “..........” และฉันก็เลือกที่จะไม่ตอบอีกตามเคย ตอนนี้ใจฉันมันเต้นแรงจนแทบจะเป็นกลองชุดอยู่แล้ว เหมือนมันจะหลุดออกมาจากอกซะให้ได้ อยากจะเดินหนีผู้ชายสองคนนี้อยู่เหมือนกันแต่ก็กลัวว่าจะเดินไปเจออะไรข้างหน้าหรือเปล่า เพราะทางข้างหน้าก็ดูไม่ได้ปลอดภัยเท่าไร “พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย หยิ่งจังเลย” หนึ่งในนั้นลุกขึ้นแล้วย่างสามขุมเข้ามาหาฉัน ส่วนฉันก็ถอยร่นหนีก่อนที่มือหนาหยาบกร้านนั้นจะคว้าหมับเข้าให้ที่แขนของฉัน และแค่นั้นแหละค่ะฉันก็กรีดร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับหลับตาปี๋ ส่วนมือข้างที่ว่างอยู่ก็รัวทุบใส่คนที่เข้ามาประชิดตัวแบบไม่ยั้ง “กรี๊ดดด!! ปล่อยนะ” “โอ๊ย! แตงกวาหยุด!!” สิ้นเสียงทุ้มต่ำนั่นฉันก็ลืมตาขึ้นมาดูคนที่ฉันกระหน่ำทุบไม่ยั้ง สายตาคมของเขามองฉันเขม็งพร้อมกับมือหนาที่รวบมือของฉันไว้.... “พี่อิฐ!!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม