๒
เป็นวันที่สามที่ปลายดาวใช้ชีวิตอยู่ที่ปางไม้บุญ การไม่มีอะไรให้ทำ ทำให้หญิงสาวเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย จึงชักชวนกำไลข้ามไปดูลูกช้างที่พลัดหลงกับแม่ยังอีกฟากหนึ่งของบึง
คนงานแถวนั้นต่างหยุดชะงักและชี้ชวนให้มองไปยังปลายดาวเป็นแถว มองแล้วก็ยิ้ม บางคนก็ถึงกับอ้าปากค้างจนเพื่อนข้างๆ ต้องสะกิดให้หุบปาก
“สวัสดีจ้ะทุกคน ปลายขอดูลูกช้างที่หลงเข้ามาหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
รูปร่างหน้าตาที่สวยหมดจดและน้ำเสียงอ่อนหวานใสราวระฆังทำให้หนุ่มๆ ที่ทำหน้าที่ดูแลเจ้าช้างน้อยพลัดหลงตะลึงงัน จนเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องถองใส่สีข้างอย่างไม่มีทางเลือก ทำเอากำไลหัวเราะขัน ส่วนปลายดาวก็ได้แต่ยิ้มอ่อนพลางถอนหายใจยาว
“เอ่อ ดะ ได้ครับนายหญิงน้อย” สรรพนามที่ถูกเรียกขานออกมาจากปากของชายหนุ่มผู้ดูแลช้างหลงทำให้หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้ง รู้สึกแปลกๆ และไม่ชินหูจนต้องแก้เสียใหม่ให้ถูกต้องเหมาะสม
“ตอนนี้ยังไม่ได้เป็นนายหญิง ช่วยเรียกคุณปลายก็พอแล้วจ้ะ”
รอยยิ้มอ่อนหวานทำเอาหัวใจคนงานชายและควาญช้างชั่วคราวถึงกับใจสั่น หลบตาวูบวาบแถมแก้มยังแดงด้วยความเขินอายจนกำไลหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้น
“พี่กำไล” หญิงสาวส่งเสียงปรามพลางค้อนคม กำไลจำต้องกลั้นเสียงหัวเราะแล้วเอ่ยถามซ้ำ
“อ้าว ว่าไงล่ะโจ๊ก คุณปลายดูได้ไหมล่ะ”
นั่นเองที่ควาญช้างจำเป็นชื่อโจ๊กได้สติ เขารีบยิ้มให้สาวสวยว่าที่นายหญิงน้อยของปางไม้บุญ
“ได้ครับได้ เชิญทางนี้เลยครับ” โจ๊กเดินนำทางไปยังคอกไม้ที่ทำเอาไว้กันช้างหลุด “ต้องมองไกลๆ หน่อยนะครับ”
“ทำไมเหรอ” ปลายดาวหันไปถามโจ๊ก ดวงตาคู่งามฉายความสงสัยชัดเจน
“เดี๋ยวกลิ่นของเราจะติดตัวลูกช้างครับ เกิดแม่มันมาแล้วได้กลิ่นคนมันจะไม่ไว้ใจคิดว่าเราจับลูกมันมา กลายเป็นพาพวกยกโขลงมาอีก พวกเราอาจถูกทำร้าย เป็นอันตรายได้ครับ”
หญิงสาวทำเสียงรับรู้ในลำคอ แล้วจึงหยุดเพียงแค่ก่อนถึงคอกช้างราวหนึ่งเมตร
“น่ารักจังเลย แล้วแม่ของมันล่ะ พอจะมีโอกาสเจอไหม” หญิงสาวหันไปถามคนดูแลที่ยืนถัดไปไม่ไกล ส่วนคนงานคนอื่นได้แต่เมียงมอง บางคนที่ทำงานอยู่ด้านหลังก็ถึงกับเดินออกมาเพื่อมองให้เห็นเป็นบุญตาสักครั้ง เพราะได้ยินกิตติศัพท์ความงามตั้งแต่วันแรกที่ปลายดาวเหยียบย่างอาณาจักรปางไม้บุญ
“พอได้เรื่องบ้างแล้วครับนายหญิงน้อย เอ่อ คุณปลาย” โจ๊กรีบแก้พลางยิ้มแหยเมื่อถูกปลายดาวส่งค้อน “เมื่อวานตอนค่ำตอนนายน้อยกับพวกเจ้าหน้าที่กลับออกมา เห็นคุยกันว่าเจอร่องรอยช้างโขลงหนึ่งในป่าไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ครับ ร่องรอยเดินวนเวียน อาจเป็นโขลงของเจ้าตัวเล็กในคอก แต่ก็ยังวางใจไม่ได้เหมือนกัน เพราะบางทีอาจไม่ใช่”
“แล้วถ้าแม่มันไม่มารับล่ะ จะทำยังไง” หญิงสาวยังคงสงสัย ดวงตาคู่งามจดจ้องไปที่ลูกช้างตัวน้อยที่กำลังเดินเล่นไปมา เพราะการเป็นสาวชาวกรุงทำให้หล่อนรู้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ป่าน้อยมาก อย่างมากก็เลี้ยงแค่หมา เคยขี่ม้าไม่กี่ครั้ง เกี่ยวกับสัตว์อื่นอย่างเช่นช้างจึงแทบไม่รู้อะไรเลย
“ก็ต้องพามันกลับเข้าป่า เพื่อรอให้แม่ของมันมารับกลับไป”
เสียงห้าวทุ้มที่ดังจากด้านหลังทำให้ปลายดาวและกำไลหันกลับไปมอง ชายหนุ่มปรายตามองคนงานด้วยสายตาดุเข้ม คนงานชายที่กระดี๊กระด๊าหน้าบานเพราะมีสาวงามมาเยือนหุบยิ้มฉับหมุนตัวกลับราวกับหายวับไปได้ทันที เช่นเดียวกับโจ๊กที่หลบฉากไปเช่นกัน
ธาดาหันกลับมาสบตาสาวงามตรงหน้า ดวงตาสองคู่สบตากันนิ่ง คู่หนึ่งเข้มคมเย็นชา อีกคู่สบตาอย่างประเมิน
“แล้วถ้าแม่มันยังไม่ยอมมาอีกล่ะคะ” ใบหน้างามล้ำเชิดขึ้นเล็กน้อยยามกล่าวกับเขา คนตรงหน้าสูงใหญ่ล่ำสันมากเสียจนข่มหล่อนเสียเหลือตัวนิดเดียว แต่อย่าคิดว่าหล่อนจะกลัว ส่วนชายหนุ่มยกมือขึ้นกอดอกพลางกระตุกยิ้มเพียงนิดก่อนจางหายรวดเร็วกับท่าทางยโสของแม่สาวงามตรงหน้า
“ก็ต้องพามันกลับมาที่คอก เพื่อรอแม่มันมารับ”
“แล้วถ้าทำยังไงแม่มันก็ไม่มาล่ะคะ ไม่ต้องพาไปพากลับอยู่แบบนี้เหรอ” หญิงสาวเอ่ยถาม เพราะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้างเช่นกัน
“ก็ต้องส่งให้เจ้าหน้าที่เขาดูแล พวกเจ้าหน้าที่จะฝึกให้มันได้ใช้ชีวิต พอมันสามารถใช้ชีวิตได้ตามลำพังก็ปล่อยมันสู่ป่า แต่ส่วนใหญ่แม่มันจะมารับกลับเข้าโขลง”
หญิงสาวพยักหน้าพลางทำเสียงรับรู้ในลำคอ ก่อนจะสบตาคมเข้มนิ่งคิดอยู่อึดใจ
“คุณคือคุณธาดา นายน้อยของปางไม้บุญ”
ริมฝีปากได้รูปของคนหน้าคมผิวเข้มคล้ายขยับยิ้ม แต่เพียงแวบเดียวก็จางหายราวผีหลอก
“ใช่ ผมนี่แหละธาดา”
น้ำเสียงห้าวทุ้มที่เอ่ยออกมาทำให้หญิงสาวยิ้มหวาน คนนอกมองดูแล้วคงคิดว่าหล่อนดีใจที่ได้พบเขา ทว่าความจริงนั้นกลับตรงกันข้าม
“สวัสดีค่ะ ฉันคือ...”
“คุณคือปลายดาว ว่าที่เมียของผม ใช่ไหม” คิ้วสีเข้มเลิกสูง เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่เผยออกมาจากเรียวปากภายใต้ไรหนวด ทำเอาคนตัวบางร่างหอมแก้มร้อนผ่าว ส่วนคนงานต่างอมยิ้มกันเป็นแถวเมื่อได้ยินคำพูดจาขวานผ่าซากเช่นนั้น หากเป็นคนอื่นพวกเขาคงเป่าปากเฟี้ยวฟ้าวไปแล้ว แต่นี่คือว่าที่นายหญิงน้อย พวกเขาทำได้แค่อมยิ้มขบขัน
“ยินดีต้อนรับสู่ปางไม้บุญ หวังว่าที่นี่คงจะไม่แย่จนเกินไปสำหรับสาวชาวกรุงอย่างคุณหรอกนะ”
ปลายดาวรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าถูกเล่นงานเสียตั้งแต่วันแรกที่พบหน้า เขาคงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่หล่อนตอบรับการแต่งงานครั้งนี้ แววตาที่มองมาทำให้รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าไม่ต้องการร่วมชีวิตกับหล่อนเลยสักนิด เพราะทั้งวาจาและท่าทางบอกชัดว่าพร้อมจะซัดและหาเรื่องได้ทุกเมื่อ อาจดูไร้มารยาทไปสักนิดสำหรับเจ้าบ้านแต่ก็เป็นการดีเพราะทำให้มั่นใจว่าจะได้ไม่ต้องกังวลและระมัดระวังตัวกลัวว่าเขาจะลวนลามหรือทำไม่ดีไม่ร้าย
คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็ส่งยิ้มให้เขาอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่สามารถฉุดกระฉากหัวใจของใครต่อใครมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หญิงสาวจึงใช้รอยยิ้มที่เปรียบเสมือนศัสตราวุธคู่กายมาใช้กับผู้ชายที่ดูดิบเถื่อนตรงหน้า หวังให้เขาหลงคิดว่าหล่อนจะว่านอนสอนง่ายไร้พิษสง
ทว่า...นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ปลายดาวยังต้องเรียนรู้ผู้ชายที่ชื่อธาดาอีกเยอะ
เที่ยงนั้นนายน้อยของปางไม้บุญฝากท้องไว้ที่โรงครัวร่วมกับคนงานเช่นเคย ทำให้คนที่รอคุยกับเขาเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกันหลังแต่งงานต้องคอยเก้อ ทว่าคนอย่างปลายดาวไม่คิดยอมแพ้อะไรง่ายๆ และคนอย่างเขาก็รู้จักหล่อนน้อยเกินไป
“พี่กำไลรู้ไหมว่านายน้อยของพี่กำไลเขากินข้าวกลางวันที่ไหน”
“ปกติถ้าไม่กลับมากินที่บ้านกับนายใหญ่ ก็จะกินที่โรงครัวของปางค่ะ”
เมื่อได้คำตอบ หญิงสาวจึงรวบช้อนแล้วผุดลุกทันที
“คุณปลายจะไปไหนคะนั่น” กำไลรีบสาวเท้าตามเมื่อเจ้าของร่างกลมกลึงในชุดเสื้อยืดสีเหลืองกางเกงยีนสีดำคล่องตัวทำท่าจะออกจากบ้านทั้งที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารกลางวัน
“ปลายจะไปที่โรงครัวค่ะ”
คำตอบจากสาวน้อยแสนหวานทำให้สาวใช้ถึงกับทำหน้าแหยอย่างคนรู้อะไรๆ ดี
“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นคะ ถ้าพี่กำไลกลัว ปลายไปคนเดียวก็ได้ค่ะ แค่บอกมาว่าโรงครัวไปทางไหนแค่นั้นก็พอ” ท่าทางเอาจริงเอาจังและดื้อดึงของปลายดาวทำให้กำไลเกิดความลังเล ห่วงหญิงสาวก็ห่วง กลัวนายน้อยก็กลัว ใครๆ ก็รู้ว่านายน้อยไม่ชอบให้ใครไปยุ่งวุ่นวาย ยิ่งเวลาพักกินข้าวแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
“โธ่คุณปลายคะ พูดอะไรอย่างนั้น พี่กำไลจะปล่อยให้คุณปลายเดินไปไหนมาไหนคนเดียวได้ยังไงกัน”
“งั้นก็ไปสิคะ” หญิงสาวหันหลังให้สาวใช้ ทำให้กำไลจำต้องก้าวตามไปติดๆ ด้วยความไม่สบายใจ
“ทางนี้ค่ะ” กำไลเดินนำร่างบางตรงไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ในโรงจอดรถ “น้อย ช่วยขับรถพาคุณปลายไปที่โรงครัวสักประเดี๋ยวเถอะ”
น้อยละชามข้าวทันทีที่กำไลร้องขอ ความจริงไม่ต้องร้องขอน้อยก็เต็มใจอยู่แล้ว ทว่าปลายดาวกลับรู้สึกเกรงใจขึ้นมาเพราะเป็นเวลาพักกลางวันของพวกเขาแต่หล่อนกลับมารบกวนอย่างไม่ควรทำ แม้แต่กำไลเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเหมือนกันกับหล่อน
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่น้อยทานข้าวต่อเถอะนะคะ พี่กำไลก็ด้วย กลับไปกินข้าวเถอะค่ะ”
“อ้าว คุณปลายไม่ไปแล้วหรือคะ” กำไลร้องถามเมื่อหญิงสาวทำท่าหมุนตัวกลับ
“ไปสิ แต่เรากลับไปกินข้าวกลางวันก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวเราค่อยกลับมาที่นี่ พี่น้อยว่างใช่ไหมคะ ปลายอยากรบกวนให้พี่น้อยพาปลายไปหาคุณโต”
คำร้องขอของหญิงสาวทำเอาน้อยถึงกับข้าวติดคอ
“เอ่อ ไปหานายน้อยหรือครับ” เอ่ยถามให้แน่ใจ ปลายดาวหันมามองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน เพียงแค่นั้นน้อยคนขับรถก็ถึงกับใจละลาย ยิ้มตอบอย่างเขินอายทันที
“ใช่แล้วค่ะ”
“ได้ครับได้ ได้เลยครับ”
สิ้นเสียงของน้อย ร่างงามก็หมุนตัวกลับ พลางสบตากำไลที่ได้แต่กะพริบตาปริบๆ แล้วเดินตามนายสาวออกจากโรงรถ
“คนอะไร สวยน่ารักที่สุด” น้อยพึมพำราวละเมอ
“กลิ่นตัวก็ฮ้อมหอม” ชิดก้าวขึ้นมายืนข้างเพื่อนพลางเชิดหน้าสูดกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ปลายดาวทิ้งเอาไว้ ขณะที่สายตามองตามร่างกลมกลึงด้วยสายตาหวานเชื่อม
“จริงด้วย ทั้งสวยทั้งหอม เฮ้อ อิจฉานายชะมัดเลย ต้องทำบุญด้วยอะไรเกิดมาถึงจะได้มีเมียสวยแบบนี้วะ”
สิ้นเสียงของน้อย ทั้งคู่ก็หันมามองหน้ากัน วินาทีนั้นทั้งชิดและน้อยได้สติ สบถออกมาพร้อมเพรียงกันดังๆ ว่า
“ฉิบหายแล้ว!!”