พี่รหัส

747 คำ
นอกจากการมาเช้ากว่าปกติแล้ว คีรยาก็มักทำตัวแปลกแยกจากกลุ่มเพื่อน ด้วยการมีตารางเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน ในทุกเช้าจะมีคนเห็นเธอนั่งอ่านหนังสือเพียงลำพังตรงลานอินทนิลข้างสระน้ำ เท่าที่ขุนเขาแอบสังเกตดู หนังสือที่ว่านั้นก็มีค่อนข้างหลากหลาย และไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับวิชาที่พวกเขากำลังเรียนอยู่ เพราะเป็นวรรณกรรมระดับโลกหรือไม่ก็ชีทสรุปของมหาวิทยาลัยเปิดเป็นส่วนใหญ่ เท่าที่เขาทราบมา คีรยาลงเรียนหลักสูตร Non-Degree ของมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งควบคู่กันไปด้วย มีคนบอกขุนเขาว่าเธอลงเรียนนิติศาสตร์ บางคนก็ว่าคีรยาไม่ได้เรียนจริง แต่แกล้งแสดงตัวหลอกชาวบ้านว่าเป็นผู้หญิงคงแก่เรียน ด้วยการซื้อชีทหน้ามหาวิทยาลัยแห่งนั้นมานั่งอ่าน หวังอัพเกรดให้ตัวเองดูน่าสนใจขึ้น “แกโดนต้มแล้วขุน นางเพิ่งเรียน ปวช.ปีแรกพร้อมพวกเรา แล้วจะไปลงเรียนที่นั่นได้ยังไงวะ? แกลองคิดตามดูสิ พี่สาวฉันก็เรียนที่ ม.นั้น คณะเดียวกันด้วย มันบอกว่าไม่เห็นเจอยายคิ้มตามห้องบรรยายเลย นางเรียนทิพย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำตัวโคตรปลอมเปลือกอ่ะ เอาจริงๆ” เพื่อนสาวคนหนึ่งในแผนกออกแบบ บอกเขามาว่าอย่างนั้น ซึ่งขุนเขาเองก็เคยเชื่อจนหมดใจ และไปรู้สึกผิดในวันหนึ่ง ที่บังเอิญได้เห็นบัตรนักศึกษาในกระเป๋าของคีรยาเข้า พลังแห่งความริษยาของผู้หญิงช่างน่ากลัวจริงๆ ขุนเขาคิดในใจพลางขนลุก...ชีวิตในช่วงวัยรุ่นของคีรยาคงจะดีเอามากๆ ถ้าความโดดเด่นของเธอไม่ไปทิ่มตาชาวบ้านเข้าเสียก่อนเช่นตอนนี้ ความไม่ยอมแพ้ทำให้ขุนเขาไม่ละความพยายามที่จะเข้าถึงตัวเธอ หากแต่กำแพงที่คีรยาสร้างขึ้นมากลับปิดกั้นมันเอาไว้ จากที่เคยนั่งลำพังเพียงคนเดียว พักหลังๆ มาคีรยาก็เริ่มมีเพื่อนมานั่งสเก็ตช์ภาพหรืออ่านหนังสือด้วยกันอยู่เสมอ ซึ่งใครบางคนที่ว่านั้นก็คือนายกนก พี่รหัสของคีรยาที่มีรสนิยมใกล้เคียงกัน คือนิยมในบทกวีและการอ่านหนังสือจนไม่เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะนั่น… “นายจะไม่ลองอ่านดูบ้างหรือ? เล่มนี้คือมาสเตอร์พีคของคาริลยิบรานเชียวนะนายขุน ปรัชญาชีวิต…พี่อ่านทุกหน้าจนจำได้ขึ้นใจ น้องคิ้มเองก็ชอบมาก โดยเฉพาะบทที่อัลมิตราได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับ…ความรัก” ถึงตรงนี้เขาก็หันไปสบตากับน้องรหัสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม โดยเมินขุนเขาที่เป็นคู่สนทนาไปปัจจุบันราวเป็นอากาศธาตุ… “เมื่อความรักร้องเรียกเธอ จงตามมันไป…แม้ว่าทางของมันนั้น จะขรุขระและชันเพียงใด…” เมื่อนายกนกกล่าวถึงตรงนี้ คีรยาก็พับหนังสือเรียนลงโดยไม่ลืมที่จะคั่นหน้าที่อ่านค้างไว้ด้วยตั๋วรถเมล์ ก่อนจะกล่าวตอบอีกฝ่ายด้วยปรัชญาบทเดียวกัน ที่ต่อให้ขุนเขาเงี่ยหูฟังให้ตายก็ยังเข้าไม่ถึง… “และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้น จะเสียดแทงเธอ…” ครั้งนี้พวกเขาสองคนหันมาทางขุนเขา และยื่นหนังสือปรัชญาชีวิตปกแข็งขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คส่งมาให้ “คืนนี้ลองเอาไปอ่านดู แล้วเธอจะเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น” คีรยากล่าวยิ้มๆ ก่อนจะขยายความให้อีกฝ่ายฟังเสียยาวเหยียด ว่าเธอรักและหวงหนังสือมากเพียงใด กำชับให้เขาใช้กระดาษคั่นหน้าที่ติดมาในตัวเล่ม อย่าพับมุมหรือม้วนหน้าหนังสือโดยเด็ดขาด ประมาณนั้น และที่น่าขันกว่าก็คือ เธอไม่ถามขุนเขาเลยสักคำ ว่าเขาอยากอ่านมันบ้างหรือเปล่า? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย? ขุนเขารับหนังสือมาและได้แต่อุทานอยู่ในใจ เขาสองคนกำลังจีบกันเหรอวะ? หรือว่าเขาแค่คุยแบบ ‘คนคอเดียวกัน’ จะอย่างไรก็ช่างมันเถอะ ขุนเขาแอบก้มหน้ากระพริบตาเพื่อไล่ความงุนงง กล่าวขอบคุณแล้วขอตัวเดินออกมาทางกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่อีกทางใกล้ร้านค้า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม