EP.1
บ้านพิชญไพกูล
10:30น.
“ผมไม่ยอมนะครับแม่! พิมพ์ลภัศเขาต้องเป็นเมียผมไม่ใช่เหรอ! ทำไมอยู่ ๆ ถึงกลายไปเป็นเมียไอ้ภัทรล่ะครับ!” เสียงโวยวายบ่งบอกถึงอารมณ์โกรธของคนพูดดังขึ้นลั่นบ้าน
คุณภีธัทรภีจ้องมองพี่ชายที่มีใบหน้าคล้ายกันราวกับแกะอย่างไม่พอใจ ประกายความเจ็บแค้นฉายชัดในดวงตาสีเข้ม
“ช่วยไม่ได้ก็อยากเข้าห้องผิดเองนี่” คุณภัทรธีภัทรแฝดคนพี่เอ่ยเสียงเรียบพร้อมไหวไหล่อย่างไม่สะท้าน มองเผิน ๆ ก็ดูปกติดี ทว่าไม่ใช่กับคุณภี การที่คุณภัทรแสดงท่าทีแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการกำลังกวนประสาทคุณภีเลย
“ไอ้ภัทร! มึง!” คุณภีโกรธจัดจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ร่างสูงผลุนผลันลุกขึ้นตรงไปกระชากคอเสื้อของคุณภัทรอย่างรุนแรง
“ภี หยุดได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังจะบานปลาย คุณป้าวิภาก็ตวาดปรามลูกชายคนเล็กเสียงแข็งขึง
คุณภีชะงักกำปั้นของตัวเองทันที เขาจ้องหน้าคุณภัทรอย่างเอาเป็นเอาตายก่อนจะยอมปล่อยมือออกจากคอเสื้อ คุณภัทรที่ตอนนี้คล้ายว่าได้เป็นผู้ชนะกระตุกมุมปากเบา ๆ นัยน์ตาสีเข้มมีความสะใจฉาบอยู่บาง ๆ
ส่วนฉันที่ดันเด๋อด๋าเข้าห้องผิดจนเผลอไปมีอะไรกับคุณภัทรได้แต่ยืนหน้าซีด ตัวสั่นเกร็งด้วยความหวาดกลัวและเสียขวัญ เสียซิงกับเขาทั้งมีก็ดันเสียให้ผิดคนซะงั้น...
“แต่แม่ครับผมต้องเสียเมียผมไปให้มันงั้นเหรอ?” คุณภีทิ้งตัวนั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรง ขอบตาเริ่มแดงระเรื่อคล้ายคนกำลังจะร้องไห้
เว่อร์ไปหรือเปล่าเขากับฉันเพิ่งเจอหน้ากันวันแรกเองนะ ทำอย่างกับถูกแย่งคนรักยังไงอย่างงั้น ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ทันได้คุยกันสักคำ ฉันก็สงสัยนะว่าทำไม แต่วินาทีหน้าเสียวหน้าขวานแบบนี้การยืนเงียบ ๆ คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“ไม่มีใครเสียอะไรให้ใครทั้งนั้น” ประโยคนี้ของคุณป้าวิภาทำเอาเราทั้งสามคนเงยหน้าขึ้นมองท่านพร้อมกันด้วยความคลางแคลง คุณป้าหมายความว่ายังไง...
ไวเท่าความคิด คำตอบมาก่อนการเกิดคำถาม
“เรื่องเมื่อคืนถือว่าเป็นอุบัติเหตุ อีกอย่างตาภัทรเองก็เคยบอกไว้แล้วว่าไม่อยากแต่งงานใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ถือซะว่าเรื่องเมื่อคืนมันไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน” ฉันเบิกตาโตขึ้นทันทีหลังฟังคุณป้าพูดจบ ไม่อยากจะเสียมารยาทคิดว่าท่านเพี้ยนไปแล้วเหรอถึงได้เลือกแก้ไขปัญหาด้วยวิธีนี้
คุณป้าเคยเล่าให้ฉันฟังตอนทำข้อตกลงกันว่าสาเหตุที่ให้ฉันแต่งงานกับคุณภี เพราะคุณภัทรเคยถูกคนรักเก่าหักหลังอย่างเลือดเย็นและเขาก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาดว่าชีวิตนี้จะไม่ลงเอยกับใครอีก
ฉันเข้าใจและเห็นใจคุณภัทรนะ แต่ว่าการที่ให้ฉันที่มีอะไรกับเขาไปแล้วแต่งงานกับคุณภีน่ะ และที่สำคัญคุณภีและคุณภัทรเป็นพี่น้องกันนะ แถมยังเป็นแฝดกันด้วย มันไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ แบบนี้ฉันก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงสองผัวน่ะสิ
ฉันแอบเหลือบมองท่าทีของคุณภัทรและคุณภีพบว่าอารมณ์ในตอนแรกของทั้งสองถูกสลับจากอีกคนไปสู่อีกคน
คุณภียิ้มหน้าระรื่นราวกับเด็กได้ของเล่น “จริงนะครับแม่ ขอบคุณนะครับ” เขาโผเข้ากอดคุณป้าด้วยความดีใจ แต่ก็ยังไม่วายยักคิ้วแสยะยิ้มเยาะเย้ยใส่คุณภัทร
ส่วนคุณภัทรฉันคงไม่ต้องบอกนะว่าตอนนี้สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมมากแค่ไหน แม้จะไม่ได้ปั้นหน้าเป็นยักษ์แต่ก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังไม่พอใจกับคำตัดสินของคุณป้าเอามาก ๆ
ถึงอย่างนั้นคุณภัทรก็ไม่ได้พูดหรือจะเดินเข้าไปต่อยคุณภีเหมือนที่คุณภีจะต่อยเขาในตอนแรก
การไม่โต้ตอบของคุณภัทรทำให้ทุกคนรวมถึงฉันคิดว่าปัญหานี้น่าจะจบลงด้วยดี ทว่าเขามักว่ากันว่า ‘ความเงียบมักนำพามาซึ่งพายุลูกใหญ่’
และแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เมื่อคุณภัทรได้ขยับปากพูด
“แต่ผมไม่ยอม ยัยนี่ต้องเป็นเมียผมคนเดียวเท่านั้น!”
หลังจากวันนั้นเรื่องราววุ่นวายก็ได้เริ่มต้นขึ้นและนำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน
หากสงสัยว่าทำไมฉันถึงได้มาอยู่ที่นี่และฉันตกลงอะไรกับคุณป้าวรรณวิภาก็คงต้องย้อนไปเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน
หนึ่งอาทิตย์ก่อน
โรงพยาบาลรักดี
“ถ้าหนูพิมพ์ยอมมาเป็นสะใภ้คนรองของป้า ป้าจะออกค่าใช้จ่ายในการรักษาพิมพ์พิมลให้จนกว่าจะหายดี” นี่เป็นเสียงของคุณป้าวรรณวิภาที่กำลังยื่นข้อเสนออันน่าลำบากใจให้กับฉัน
“คือพิมพ์...” ฉันไม่รู้ว่าจะปฏิเสธหรือควรตอบตกลงดี แน่นอนว่าฉันยังไม่อยากแต่งงานมีสามี ทว่าอาการป่วยที่ทรุดหนักลงเรื่อย ๆ จนต้องถึงคราวผ่าตัดของแม่ก็รบกวนจิตใจให้แตกออกเป็นสองฝั่ง
ฝั่งหนึ่งยืนกรานจะไม่แต่ง คนไม่ได้รักกันจะไปแต่งงานกันได้อย่างไร
ฝั่งหนึ่งเร่งเร้าให้รีบแต่งเพื่อจะได้ต่อลมหายใจให้กับแม่ ไม่รักไม่เป็นไรอยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง
ฉันไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหน เวลาให้คิดให้ตัดสินใจก็มีไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเพราะคุณหมอบอกว่าอาการของแม่แย่ลงจนต้องรีบทำการผ่าตัดโดยด่วน
ตอนได้ฟังครั้งแรกฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเพราะเมื่อวานแม่ยังดี ๆ อยู่เลย แต่มาวันนี้แม่กลับ...
กลับกำลังจะจากฉันไป...
แม่ฉันป่วยเป็นโรคหัวใจ ก่อนหน้านี้ท่านรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ช่วงแรกของการป่วยแม่ใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติทั่วไป เพราะมีฉันและพ่อคอยให้กำลังใจและดูแลไม่ห่างจนฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีครอบครัวที่อบอุ่น ทว่าความคิดนั้นกลับถูกพ่อเหยียบย่ำทำลายมันอย่างไม่มีชิ้นดี
หลังจากที่แม่ป่วยได้ไม่นานพ่อก็คงจะเริ่มเบื่อและรำคาญที่ต้องจมปลักอยู่กับเมียที่เจ็บออด ๆ แอด ๆ แม่ไม่สามารถสนองความต้องการหลาย ๆ อย่างให้พ่อได้เหมือนเมื่อก่อน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อเลือกที่จะทิ้งฉันกับแม่ไป
พอไม่มีพ่อแม่ก็เริ่มตรอมใจจนทำให้อาการทรุดลงเรื่อย ๆ และตอนนี้หากฉันไม่รีบตัดสินใจ ฉันก็อาจจะต้องเสียแม่ไปตลอดกาล...
“ฉันสัญญาว่าหากหนูยอมตกลงตามข้อเสนอของฉัน ฉันจะไม่ทอดทิ้งพิมพ์พิมล ต่อให้รักษาที่นี่แล้วไม่ดีขึ้นฉันก็จะส่งแม่หนูไปรักษาตัวที่อเมริกา” สีหน้าของคุณป้าวิภาจริงจังและแน่วแน่มากจนฉันเริ่มไขว้เขวไปทางเธอ
คุณป้าวรรณวิภาเป็นเจ้านายเก่าที่แม่เคยไปทำงานเป็นคนใช้เมื่อสมัยที่ฉันยังไม่ทันลืมตามาดูโลก คุณป้ารักแม่ฉันเหมือนน้องสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ก็ได้คุณป้านี่แหละที่คอยช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายหลาย ๆ อย่าง ลำพังฉันกับแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ตั้งแต่ที่พ่อทิ้งพวกเราไปสถานะทางการเงินก็ตกต่ำลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดฉันก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อเอาเงินที่หาได้จากการทำงานมาเป็นค่ารักษาพยาบาลให้แม่
เอาจริง ๆ ฉันก็แอบมีความคิดที่เห็นแก่ตัวว่าไหน ๆ คุณป้าก็ช่วยเรามาตั้งหลายครั้งโดยไม่มีข้อแม้แล้วจะช่วยกันอีกสักครั้งไม่ได้เหรอ แต่ฉันก็เข้าใจนะเพราะจำนวนเงินที่ต้องใช้ในครั้งนี้มันสูงมากจริง ๆ
“แล้วฉันก็จะส่งหนูพิมพ์เรียนต่อจนจบปริญญาตรีด้วยนะจ๊ะ” คุณป้ายื่นอีกหนึ่งข้อเสนอด้วยท่าทีคล้ายเซลล์ขายของที่ทั้งลดแลกแจกแถมเพื่อทำให้ลูกค้ายอมตอบตกลง โดยไม่รู้เลยว่ามันทำให้ฉันคิดหนักมากแค่ไหน
ฉันไม่อยากแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักแต่ในขณะเดียวกันก็ทนเสียแม่ไปอีกคนไม่ได้ หรือจะยอมรับข้อเสนอของคุณป้าวิภาดี...
“ญาติต้องตัดสินใจแล้วนะครับ เหลือเวลาไม่มากแล้ว” ขณะที่ฉันกำลังคิดไม่ตก คุณหมอประจำตัวแม่ก็เปิดประตูเดินออกมาบอกในสิ่งที่ทำให้ฉันได้คำตอบในทันที
“ตกลงค่ะคุณป้า พิมพ์ยอมรับข้อเสนอของคุณป้าค่ะ” ฉันหลับตากลั้นใจโพล่งออกไปอย่างไม่มีทางเลือก ชีวิตของแม่สำคัญกว่าศักดิ์ศรีเป็นไหน ๆ คุณป้าวิภาไม่ได้พูดอะไรกลับมาเธอเพียงแค่คลี่ยิ้มกว้างให้ฉันแล้วหันไปคุยกับคุณหมอเรื่องทำการผ่าตัด
การผ่าตัดของคุณแม่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตอนนี้ท่านได้สติและฟื้นขึ้นมาพูดคุยกับฉันได้เหมือนเดิมแล้ว แถมคราวนี้สีหน้าและท่าทางของแม่ยังดูสดใสร่าเริงขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าฉันได้เรียนหนังสือต่อ
ฉันมีความสุขมากที่ได้แม่คนเดิมกลับมาจนเกือบลืมไปเลยว่ามีความทุกข์กองโตกำลังรอฉันอยู่
หนึ่งอาทิตย์หลังจากที่แม่ฟื้นฉันก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านพิชญไพกูลเพื่อเริ่มภารกิจการมีสามี ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่เพราะกลัวแม่จะช็อกและอาการทรุดลง
ฉันโกหกแม่ว่าต้องกลับไปนอนหอเพื่อนเพราะระยะทางจากโรงพยาบาลไปมหาวิทยาลัยค่อนข้างไกลพอสมควรจึงกลัวไปเรียนไม่ทัน ซึ่งแม่ก็ยอมเชื่ออย่างไร้ข้อกังขาและไม่ได้งอแงอะไรเพราะคุณป้าวิภาจ้างพยาบาลพิเศษเอาไว้คอยดูแลแม่แทนฉันแล้ว
โชคดีที่คุณป้าวิภายอมช่วยฉันปิดบังเรื่องทั้งหมด ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายคุณป้าก็บอกแม่ว่าไว้ฉันเรียนจบเมื่อไหร่ก็ค่อยทยอยใช้คืนทีละส่วน และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวดีแล้ว วันแรกของการก้าวขาเข้าไปเหยียบบ้านพิชญไพกูลก็ดำเนินมาถึง
กลับมาปัจจุบัน
แล้วฉันก็ดันเข้าผิดห้องไปมีอะไรกับคุณภัทรแทนที่จะเป็นคุณภี ฉันไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ดูจากสีหน้าของคุณภัทรและคุณภีที่กำลังจ้องกันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วนั้น..บอกตรง ๆ ว่าฉันอยากจะวาร์ปลงดินหนีมันไปซะเดี๋ยวนี้เลย
“ถ้ามันมีปัญหากันมากก็ให้หนูพิมพ์เป็นคนเลือกเอาละกันว่าอยากจะแต่งงานกับใคร” คุณป้าวิภาโยนการตัดสินใจที่เป็นดั่งระเบิดสงครามมาให้ฉัน จากนั้นเจ้าตัวก็เดินขึ้นบนชั้นสองไปอย่างหน้าตาเฉย
ขวับ!
พลันสายตาของสองหนุ่มก็หันขวับมาจ้องหน้าฉันอย่างคาดเค้นจะเอาคำตอบ ฉันจึงต้องรีบหลุบตาลงทันทีเพราะไม่อยากถูกรังสีอำมหิตของสายตาคู่สองนั้นแผดเผาจนไม้เกรียม
ให้ตายสิ แล้วฉันควรจะทำยังไงต่อไปดีเนี่ย คุณป้านะคุณป้าทำไมทำกับพิมพ์แบบนี้ล่ะคะ...