ตอนที่ 5 : บทเรียนแรก

2067 คำ
หลังจากเหตุการณ์ที่โต๊ะอาหาร ไป๋หลินเดินตามหวังอี้เฉิงเข้าไปในห้องทำงาน เธอยังมีความกังวลปรากฏออกมา เมื่อไม่มีคนนอกจึงพยายามโน้มน้าวเขาอีกครั้ง “เจ้านายคะ อย่างไรฉันไม่เห็นด้วยที่จะเก็บเด็กผู้หญิงคนนั้นไว้ใกล้ตัว” น้ำเสียงของเธอดูหวาดกลัวการถูกตำหนิ แต่ยังอยากยืนยันอย่างหนักแน่น “ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรพูด แต่…” หวังอี้เฉิงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองไฟในเมืองไม่หันกลับ “เธอกำลังข้ามเส้น… ไป๋หลิน รึว่าเธอกำลังสงสัยคือการตัดสินใจของฉัน” “ไม่ใช่นะคะ!” ไป๋หลินกำหมัดแน่น ก่อนจะรีบปรับอารมณ์ เอ่ยออกมาช้าๆ “เพราะฉันเป็นห่วงคุณ คนแบบเธอจะทำให้คุณอ่อนแอ วันหนึ่งศัตรูจะใช้เธอเป็นจุดอ่อนโจมตีคุณ” “ฉันรู้ว่าแสงอาทิตย์ที่สดใสมันสวยงาม แต่มันก็ร้อนแรงจนแผดเผาเช่นกัน” ไป๋หลินมองเขาอย่างระมัดระวัง คำพูดของเธอไม่ผิด ยังถูกต้อง หวังอี้เฉิงนิ่งเงียบ…. เขารู้ว่าคำพูดนั้นไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล แต่กลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งคอยปั่นป่วนอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าสามารถทำให้คนเกิดความลังเล ไป๋หลินก้าวมายืนข้างๆ เอ่ยย้ำความคิดของตนด้วยแววตาแน่วแน่ “คุณคือเจ้านายของพวกเรา… อย่าลืมว่ารอบตัวคุณคือไฟ หากหวั่นไหวเล็กน้อยอาจตกอยู่ในอันตราย และยิ่งไปกว่านั้น… คุณไม่ใช่คนธรรมดาที่มีสิทธิ์จะรักใครตามใจ” เธอพูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง เหลือเพียงเงาสะท้อนของหวังอี้เฉิงที่กำลังคิดไม่ตก เช้าวันถัดมา มีร่างขี้เซาที่นอนห้อยหัวอย่างอ่อนเพลีย เสียงปลุกของแม่บ้านทำให้เธอต้องฝืนตื่น “ไม่คิดว่าแค่การฝึกมารยาทพวกนั้นก็ทำให้แทบหมดแรง ฉันเดินแบกถังน้ำวันละยี่สิบถังยังไม่เหนื่อยเท่า” “คุณเพียงไม่ชิน แต่พอทำบ่อยขึ้นจะรู้สึกว่ามันท้าทาย” “เธอใช้เวลานานไหมกว่าจะมีบุคลิกที่ดีเช่นนี้” “ฉันอยากได้งานย่อมต้องทุ่มเทอย่างหนัก แม้ว่าเจ้านายจะเป็นมาเฟียที่น่ากลัว แต่สวัสดิการที่นี่ยอดเยี่ยม เขาไม่เคยเอาเปรียบปฏิบัติต่อทุกคนอย่างดี ขอแค่ทำตามกฎเกณฑ์ ใส่ใจงานที่ได้รับมอบหมาย” “แสดงว่าเขาไม่ได้ใจร้าย?” “มันขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นอยากทำงานรับค่าแรง หรืออยากหายไป” “ฟังดูเด็ดขาด ไม่สนว่าจะมีเสียงร้องขอชีวิต แต่พอเข้าใจได้ ถ้าเขาไม่เข้มงวดจะมีบางพวกที่คิดย่ามใจ ทำตัวเหลวไหล” “วันนี้คุณจะใส่ชุดไหนดี เอาเป็นเสื้อแยก หรือชุดกระโปรง” “ขอแบบที่คล่องตัวเถอะ ฉันยังต้องฝึกมารยาทขั้นยาก” พอคิดว่ามีอะไรที่รออยู่ ซูเสี่ยวหนิงอยากร้องไห้ “ไม่รู้การวางหนังสือตั้งใหญ่บนหัวเป็นเวลานาน จะทำให้ความฉลาดลดลงไหม” คำพูดนี้ทำให้แม่บ้านหยุดหัวเราะไม่ได้เลย การที่มีสาวน้อยคนนี้มาอยู่ในบ้านช่างมีสีสัน ช่วงบ่าย ไป๋หลินเดินมาหาซูเสี่ยวหนิงพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ ใบหน้านิ่งราวกับน้ำแข็ง ปรายตามองสาวน้อยที่ชุบร่างสวยงามอย่างดูถูก “เจ้านายมีคำสั่ง บอกให้เธอเรียนรู้เรื่องธุรกิจและการเข้าสังคม ต้องตามโลกภายนอกให้ทัน จะได้ไม่ทำเรื่องขายหน้า ฉันจึงเตรียมบทเรียนเล็กๆ ให้แล้ว หวังว่าจะไม่ขี้เกียจหลังยาว” ซูเสี่ยวหนิงทำตาโต เมินคำเหน็บแนมพวกนั้น เธอรู้ไป๋หลินไม่ชอบเธอดังนั้นจะไม่มีคำพูดดีๆ ออกจากปาก เลยไม่จำเป็นต้องถือสา สนใจเพียงเรื่องที่จะบอกเท่านั้น “จริงเหรอ! งั้นฉันจะได้ช่วยคุณอี้เฉิงทำงานบ้างแล้ว” แม้จะชอบความสุขสบาย แต่มันกลับว่างเปล่า ไม่ชินอยู่บ้างกับการนั่งกินนอนกิน รู้สึกว่าพลังงานจะถดถอย อีกทั้งการที่มีงานทำ แสดงว่าเวลาที่ต้องเรียนมารยาทจะลดลง นี่ไม่ใช่ที่น่ายินดีหรือ? ไป๋หลินแสยะยิ้มบาง ๆ อย่างคนเจ้าเล่ห์ “อย่าเพิ่งดีใจ งานแรกคือ อ่านข้อมูลทั้งหมด จดจำมันให้ขึ้นใจ เพื่อในอีกสามวันเธอต้องไปส่งสัญญาให้ตระกูลหลิว” นี่คือแผนต้อนรับซูเสี่ยวหนิง และเป็นกับดักที่ไป๋หลินจงใจสร้างมันเพื่อจัดการกับเธอ ขอเพียงเธอทำพลาดเจ้านายจะต้องคิดใหม่กับการเก็บเด็กสาวคนนี้ไว้ข้างกาย ตระกูลหลิว… เจ้าของบ่อนใหญ่อีกแห่งและเครือข่ายใต้ดินที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์ จะบอกว่าเป็นมิตร คงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ยังไม่ถึงขั้นเรียกว่าศัตรู พวกเขามีเขตเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ไม่ยุ่งกับคนอื่น ข้างหลังปรากฏสีหน้าตกใจ ลูกน้องหลายคนเบิกตากว้าง เพราะแม้แต่พวกเขาก็ยังไม่อยากข้องแวะโดยตรงกับสงครามดอกไม้ พอฟังทันทีรู้เลยว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ ซูเสี่ยวหนิงที่ไม่รู้อะไรกลับพยักหน้าหงึกๆ เธอตื่นเต้นที่จะได้เข้าสู่โลกธุรกิจสีเทา “ได้เลย! ฉันต้องทำได้แน่!” แต่เธอไม่รู้เลยว่านี่คือ “กับดัก” ที่ไป๋หลินสร้างขึ้นโดยเฉพาะ ยังตั้งใจอ่านข้อมูลที่ได้มาจากอีกฝ่าย มีรอยยิ้มประดับบนหน้าไม่จาง พอเห็นว่าหนูตกหลุมที่ขุดล่อ จึงไม่คิดจะรั้งอยู่ดู เพียงกำชับคนให้ปิดปากสนิท ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะต้องถูกเธอเล่นงาน “อย่าลืมคำนวณให้ดี ว่าใครที่เจ้านายไว้วางใจ” ด้วยคำพูดประโยคนี้พวกเขาต่างก้มหน้าไม่คิดท้าทาย ซูเสี่ยวหนิงเองก็ตั้งใจหารายละเอียดยิบย่อย เธออาศัยถามคนที่ยืนเฝ้า ว่ารู้เกี่ยวกับตระกูลหลินมากน้อยเท่าใด พวกเขาไม่เบื่อที่จะตอบ แต่ยังมีความหนักใจในแววตา หลายครั้งที่ลังเลว่าควรกล่าวเตือน หากแต่ทำแบบนั้นเรื่องจะหลุดไปถึงหูของหวังอี้เฉิง คนที่ซวยจะเป็นพวกเขา น่าลำบากใจนัก ไม่ว่าพูดหรือเงียบ สุดท้ายจะต้องเป็นคนที่ถูกตำหนิ อาจเพราะสามารถปรับตัวได้เร็ว หรือเพราะอยากเอาชนะคำสบประมาทก็ไม่ทราบ ซูเสี่ยวหนิงสลัดคราบเด็กกะโปโลทิ้ง เธอพยายามปรุงแต่งทั้งคำพูดและการกระทำ แม้จะก้าวขาขยับตัวก็ดึงสติตัวเองให้ออกมาดูดี แต่เธอไม่เคยพูดเรื่องที่ไป๋หลินมอบหมายหน้าที่ออกไป หวังอี้เฉิงเองก็ไม่เคยถาม เขาเพียงมองลูกแมวจรที่กลายเป็นแมวขนฟูที่น่ารักอย่างพึงพอใจ กระทั่งวันนี้ ไป๋หลินจึงเดินเข้ามาบอกว่า “ถึงเวลาที่เธอจะต้องออกไปเรียนรู้สร้างประสบการณ์ อย่าลืมการวางตัว ทุกคำพูดของเธอจะส่งผลกระทบต่อเจ้านาย หากว่าเขาโกรธจนกลายเป็นความบาดหมาง เธอรับผิดชอบไม่ไหวแน่” “ฉันพร้อมแล้ว จะทำให้ดีที่สุดและต้องสำเร็จเท่านั้น” “มั่นใจคือเรื่องดี แต่ต้องรู้จักตัวเองด้วย” เธอไม่เชื่อสักนิดว่าคนที่เพิ่งอ่านแผนงานไม่กี่วันจะทำสำเร็จ และเธอไม่กลัวว่าความล้มเหลวจะทำลายความเชื่อมั่นที่หวังอี้เฉิงมีต่อเธอ เนื่องจากไป๋หลินไม่เคยทำอะไรโดยไม่มีแผนสำรอง แค่รอให้พลาดแล้วเข้าไปกู้สถานการณ์ ไม่เพียงแสดงความสามารถ ยังทำให้เขาเห็นว่าใครกันแน่ที่เขาต้องให้ความสำคัญ ของหวานเพื่อกินเล่น มันจะสู้อาหารมื้อหลักได้ยังไง ไป๋หลินยืนกอดอกมองซูเสี่ยวหนิง เดินไปขึ้นรถเพื่อเตรียมมุ่งหน้าไปเยือนตระกูลหลิว มีรอยยิ้มเย็น เธอหมุนกายเพื่อไปนั่งรอเตรียมพร้อม แม่บ้านกับคนมากมายต่างเห็นใจในชะตากรรมของซูเสี่ยวหนิง รู้สึกว่าต้องไว้อาลัยให้เธอ ในห้องรับรองตระกูลหลิว ซูเสี่ยวหนิงเดินเข้าไปพร้อมซองเอกสาร มีพ่อบ้านปากแหลมที่แสดงความหยิ่งผยอง เธอไม่สนใจ เปรียบว่ามีอริมาเยี่ยม อย่าคาดหวังจะเห็นรอยยิ้มจากเขา กลางห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศกดดัน คนของตระกูลหลิวนั่งเรียงราย สายตาจับจ้องมาอย่างเย็นชา เขาไม่เข้าใจว่าหวังอี้เฉิงดูถูกตน หรืออยากประกาศความเป็นศัตรู ถึงได้ส่งเด็กสาวที่ไม่ประสามาเจรจา ซูเสี่ยวหนิงยิ้มสดใส ทำเป็นไม่รับรู้บรรยากาศขมุกขมัว ใจดีสู้เสือ ไม่ใช่แค่ตัวสองตัวนะแต่เป็นฝูงเสือ “สวัสดีค่ะ นี่คือ… สัญญาจากคุณหวังอี้เฉิง” เธอพูดเสียงใสเหมือนเด็กเข้าเรียนมาส่งการบ้าน คนของตระกูลหลิวจึงพากันหัวเราะเยาะ มีหัวหน้าตระกูลหลิวกลั้วขำพลางหรี่ตามอง “เจ้าเด็กที่น่ารำคาญนี่…ใครส่งมา กล้าดีนักที่เอาของสำคัญมาโดยไม่รู้จักกลัว” ซูเสี่ยวหนิงยังคงยิ้มแย้ม ดวงตากลมโตไม่สั่นไหวฉายความกลัวเลย ยังดูมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม “ก็คุณหวังอี้เฉิงเป็นคนเลือกฉัน เพราะไว้ใจฉันไง อีกอย่างธุรกิจไม่เลือกเพศเลือกวัย มันต้องดูรายละเอียดและผลประโยชน์เป็นปัจจัยหลัก” “ฉันพูดถูกมั้ยคะ?” คำพูดนั้นทำให้คนในห้องโถงเงียบลงชั่วขณะ เพราะมันไม่เพียงแปลว่าหญิงสาวคนนี้มีน้ำหนักมากในใจมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ แต่การใช้คำพูดอย่างชาญฉลาดนั้น ที่มุ่งเน้นเพียงผลประโยชน์คือสิ่งสำคัญของการเจรจา ย้ำให้เห็นว่า....อย่าดูรูปลักษณ์ภายนอก เธอยังมีความสงบที่เกินอายุ หัวหน้าตระกูลหลิวเปลี่ยนสีหน้าในบัดดล จากเยาะเย้ยเริ่มเป็นจริงจัง เปิดแฟ้มอ่านดูทุกตัวอักษร จากที่คิดจะอ่านผ่านๆ กลับทำให้ตาเบิกกว้าง จู่ๆ เขาลุกขึ้นมาเชิญซูเสี่ยวหนิงนั่งเก้าอี้ รับรองเธอด้วยตัวเอง ราวกับให้เกียรติสูงสุด “ปล่อยให้เธอยืนเสียนาน เชิญนั่งลงก่อน” “ขอบคุณค่ะคุณท่านหลิว” ซูเสี่ยวหนิงนั่งลงอย่างมึนงง ยังทำตัวตามสบาย พลางหยิบขนมบนโต๊ะมากินด้วยความเพลิดเพลิน ทุกคนต่างมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ ที่เคยดูแคลนในตอนแรกก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นระมัดระวัง เสียงเปิดหน้ากระดาษ ในห้องที่เงียบกริบ นอกจากเสียงเคี้ยวเบาๆ แล้วไม่มีใครกล้าส่งเสียงเลย กระทั่งแฟ้มถูกวางลง หัวหน้าตระกูลหลิวจึงหันมองเธอ ซูเสี่ยวหนิงรีบกลืนขนมคำสุดท้ายลงคอ มองสบตาเขาเพื่อรอตอบคำถาม “แผนงานพวกนี้…. นับเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่ส่วนแบ่งการลงทุนและความเสี่ยงเหมือนฝ่ายคุณหวังจะเสียเปรียบเล็กน้อย นี่ไม่น่าจะใช่ความต้องการของเขา” “ฉันเป็นคนเปลี่ยนมันเอง” “เหตุผลล่ะ เธอกำลังเอื้อประโยชน์ให้ฉัน ไม่กลัวเขาจะเล่นงานเธอรึไง” “ผิดแล้ว! ฉันเป็นคนของหวังอี้เฉิง จะไม่ยอมให้เขาสูญเสียประโยชน์ เส้นทางนั้นส่วนใหญ่เป็นถิ่นของคุณ หากเทียบกันแล้ว ยังไงคุณต้องนำมาเป็นข้อต่อรอง ฉันจึงได้เสนอไปแบบนั้น” “ในระยะแรกเราอาจได้ผลตอบแทนน้อย แต่ระยะยาวล่ะ?” “ร้ายกาจ! เธอคิดยืมมือฉันตีตลาดก่อน พอมีชื่อเสียงผู้คนรู้จักพวกเขาจะรู้ว่าหากต้องการจะหาได้จากที่ไหนบ้าง” “แต่กว่าจะถึงตอนนั้น คุณได้กอบโกยไปไม่น้อย ยังมีฐานลูกค้าจำนวนมาก เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แต่ดูแลอาณาเขตตัวเองไม่ให้ถูกหมีดำกับหมาป่าแย่งไป” “เธอพูดได้คล่องปากนัก คนที่ต้องปะทะกับตำรวจคือฉัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันคือความยุ่งยากในพื้นที่ของฉัน” “มีเงินจ้างผีโม่แป้ง ภาษิตนี้ไม่ว่าจะพันปีหมื่นปีก็ยังใช้ได้ดี” “อะไรทำให้เธอมั่นใจ เจ้าหน้าที่บางคนก็ขยันซื่อสัตย์ เขาแทบอดใจรอลากฉันเข้าคุกไม่ไหว” “เขาอยากทำ แต่หัวหน้าเขาล่ะ? ถ้าเป็นเรื่องยากแบบนั้น ทำไมธุรกิจคุณถึงเติบโตเป็นขั้นบันได อีกนิดมันจะยาวเหมือนกำแพงเมืองจีน” สีหน้าของผู้นำตระกูลมืดลง ขอบปากกระตุกยิกๆ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม