CHAPTER 02
ศึกรบมาส่งฉันที่ทำงานเหมือนทุกวัน ฉันทำงานในออฟฟิศเล็ก ๆ ในเมือง เป็นออฟฟิศเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยผู้คนที่คอยจ้องแต่จะจับผิดกัน..
“น้ำฟ้า เอาเอกสารของลูกค้าไปแก้ไขด้วยพรุ่งนี้ลูกค้าจะเข้ามาดูงาน”
‘พี่อร’ เป็นรุ่นพี่ที่รับผิดชอบโครงการของลูกค้าคนล่าสุด เธอถูกลูกค้าส่งมาแก้งานหลายครั้งและครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเธอกลับส่งงานมาให้ฉันทำ
“ค่ะ”
ฉันเป็นพวกที่เก่งแค่กับไอ้ลูกหมาเท่านั้น เพราะศึกรบเป็นเด็กกวนประสาทที่ฉันระบายได้ทุกเรื่องและมันก็รู้ด้วยว่าชีวิตการทำงานของฉันห่วยแตกแค่ไหน
อยากกลับไปทะเลาะกับมันจัง : (คงคลายเครียดน่าดู
ฉันเดินมานั่งโต๊ะทำงานของตัวเอง ก้มหน้ารับกรรมแก้งานเพื่อนให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
เวลาผ่านไปจวบจนเที่ยงตรง ทุกคนเขียนเมนูที่อยากกินแล้วยื่นมาให้ฉัน
“มันเป็นธรรมเนียมเนอะ น้องที่เด็กกว่าต้องคอยดูแลพี่ ๆ ที่มาอยู่ก่อน พี่แก่แล้วทำมาเยอะแล้วด้วยตอนนี้ก็ถึงตาน้องแล้ว ขอบคุณนะคะ”
นี้คือประโยคกรอกหูฉันตั้งแต่วันแรกที่ได้งาน
พี่แก่แล้ว พี่ทำมาเยอะแล้ว น้องยังเด็กให้น้องทำดีกว่า
ได้แต่คิดในใจว่าตรรกะเหี้ยไรวะแต่ภายนอกกลับฉีกยิ้มแล้วขานรับว่า ‘ค่ะ’ แต่โดยดีเพราะฉันไม่อยากให้ชีวิตการทำงานต้องมีเรื่องให้น่าปวดหัวมากกว่านี้
ฉันเดินไปยังร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ไกลจากออฟฟิศประมาณหนึ่งกิโล เดินเท้าไปโดยที่บรรยากาศร้อนฉ่า!
เมคอัพที่โบกลงมาได้ละลายเป็นเนื้อเดียวกันแน่ ๆ
“เดี๋ยวหนูมารับนะคะ ไปสั่งน้ำก่อน”
“ได้จ้ะ”
ฉันยกยิ้มเป็นมิตรให้ป้าเจ้าของร้านแล้วเดินถัดออกไปอีกสามร้านไปยังคาเฟ่ที่พี่ ๆ เขาสั่งน้ำมา
ในคาเฟ่ค่อนข้างทันสมัยและมีบรรยากาศการถ่ายรูปเยอะ เด็ก ๆ มหาลัยชอบมานั่งดื่มนั่งกินกันที่นี่เพราะเป็นคาเฟ่ที่อยู่ใกล้มหาลัยด้วย
“เมนูตามนี้นะคะ พี่นั่งรอที่เดิมเลย”
“ได้ค่ะพี่ฟ้า ผมจะทำให้อร่อยเลยครับ”
น้องพนักงานที่แรก ๆ เป็นคนแปลกหน้าตอนนี้ขยับเป็นคนคุ้นเคยเพราะฉันมาซื้อบ่อย
“ขอบใจมากจ้า”
พูดจบฉันก็เตรียมเดินหันหลังไปนั่งโต๊ะประจำของตัวเอง แต่พอหันหลังไปกลับปะทะสายตากับกลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่นั่งเท้าท์มอยกันอยู่และหนึ่งในนั้นมีเด็กที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ศึกรบ”
มันมองฉันแล้วลากสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า สภาพฉันหลังจากลากขาเดินมาสั่งอาหารค่อนข้างสะบักสะบอมพอสมควร
“มาทำไร”
มันลุกขึ้นแล้วเดินมาหาฉันที่ยืนเอ๋ออยู่
“สั่งน้ำ”
“คนเดียว”
“ใช่”
“กี่แก้ว”
ศึกรบถามต่อ มันกะจะสัมภาษณ์ให้ครบทุกอย่างที่คาใจเลยหรือไง
“สิบแก้ว”
ฉันตอบและพยายามทำสีหน้าให้ร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พี่ไปนั่งก่อนดีกว่า อยากนั่งพักอะเมื่อยเท้า”
ฉันเดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง เป็นที่นั่งติดริมกระจกที่เป็นที่นั่งเดี่ยวสำหรับลูกค้าที่มาคนเดียว
“เดี๋ยวกูมา”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองศึกรบที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างกัน
“ทำไมพี่ต้องมาคนเดียว”
ศึกรบยังสงสัยในสิ่งที่ไม่ได้รับคำตอบ
“แล้วนายจะให้พี่มากับใคร คนอื่นต้องทำงานต่อ”
“แล้วทำไมต้องใส่รองเท้าส้นสูงมา”
เด็กช่างสังเกตลากสายตาลงมามองส้นสูงที่ฉันใส่ พอถูกมองฉันก็เกร็งจนจิกเท้าแต่กลับส่งเสียงร้องผะแผ่วเพราะปวดเท้าที่เดินค่อนข้างไกลและอากาศอบอ้าว
“พี่เขาบอกว่ามันทำให้ออฟฟิศดูน่าเชื่อถือ พี่ควรแต่งตัวให้ดูดีตลอดเวลา”
มันก็จริง การแต่งกายถือเป็นเรื่องหลัก
“ไอ้ตัวที่พูดทำไมไม่มาเอง”
“นี่.. พี่เด็กสุดฉันต้องทำเหมือนนายไง นายเด็กกว่าพี่นายก็ต้องคอยดูแลพี่เวลาพี่กลับดึก แฮะ ๆ”
ฉันยกยิ้มจนตาหยีแต่ศึกรบกลับมีแววความไม่พอใจเจือปนอยู่ เขาขยับลงมานั่งคุกเข่าตรงหน้าฉันก่อนจะถอดรองเท้าฉันออกมาแล้วพบว่าเท้าฉันตอนนี้แดงแทบทุกนิ้ว อีกทั้งส้นเท้าก็แดงก่ำ
“ทำไรอ่า”
ฉันงุนงงแต่คนน้องไม่ได้ตอบแต่ถอดรองเท้าฉันออกทั้งสองข้าง
ศึกรบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาเพื่อนตัวเองที่โต๊ะก่อนที่จะหยิบบางอย่างติดมือมาด้วยแล้วเขาก็ลงไปนั่งเหมือนเดิม
“ทำอะไร ไม่ต้อง”
“นิ่ง ๆ เถอะน่า”
เสียงแข็งแบบนี้เหมือนกำลังโมโหอะไรอยู่ เวลาศึกรบอ่อนข้อให้ฉันชอบแหย่แต่เวลาเขาดุฉันจะนิ่งทันที
ดุเป็นหมาบ้า แต่เป็นหมาบ้าที่ค่อนข้างสงบแต่จู่โจมอย่างเลือดเย็น
ศึกรบบีบเจลคลายเส้นลงมาบนขาฉัน เขานวดคลึงอย่างแผ่วเบาและละเมียดละไมจนคลายเส้นที่ตึงจัดของฉันให้คลายตัวลงได้เป็นอย่างดี
“เย็นอะ”
ศึกรบช้อนสายตาขึ้นมามองหน้าฉันที่ยกยิ้มให้เขาไป ฉันมุ่ยหน้าเมื่อเห็นเขาหน้าบึ้งแล้วยื่นมือไปหยิกแก้มต้าวหมาเด็กตรงหน้าทั้งสองข้าง
“ทำไมต้องหน้าบึ้ง อกหักมาเหรอ?”
ฉันแซวแม้จะไม่เคยได้ยินได้เห็นศึกรบมีแฟนก็ตาม
“ผมไม่มีแฟนให้อกหัก”
แต่ถึงมีใครจะกล้าหักอกคนที่ดูหล่อและแบดบอยอย่างเขากัน
“เหอะ.. จ้า.. อย่าให้เห็นนนะว่าแอบซุกใครอยู่ อ๊ะ..”
ศึกรบจงใจดึงขาฉันให้ขยับลงมา ตัวฉันร่นตามแรงดึงทำให้ฉันรีบคว้าไหล่เขาก่อนจะร่วงลงพื้น
“นี่.. ไอ้เด็กบ้า แกล้งกันเหรอ!”
ฉันทุบไหล่หนาแล้วมุ่ยหน้าอย่างงุ่นง่าน แต่ศึกรบกลับยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจแล้วยื่นตัวขึ้นมาให้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน
“ผมแกล้งพี่ได้คนเดียว”
ฉันขมวดคิ้วแล้วดึงแก้มเขาไว้เหมือนที่ชอบทำ
“พี่ควรพูดประโยคนั้นสิ พี่แกล้งนายได้คนเดียวเพราะนายเป็นไอ้ลูกหมาที่พี่รังแกได้”
“ได้”
คำตอบสั้น ๆ สไตล์ศึกรบฉันชินจนกลายเป็นเรื่องปกติ เขายืดตัวขึ้นเมื่อพนักงานมาเสิร์ฟน้ำสิบแก้วตามที่ฉันสั่ง
“พี่ไปก่อนนะ จะไปรับข้าวที่สั่งไว้ด้วยเย็นนี้อย่าลืมมารับพี่นะ”
ฉันยิ้มกว้างแล้วหยิบเครื่องดื่มสิบแก้วขึ้นมาถือแต่สิบวินาทีต่อมาเครื่องดื่มทั้งหมดกลับอยู่ในมือศึกรบไปแล้ว
“กลับกันก่อนเดี๋ยวกูค่อยตามไป”
ศึกรบถือน้ำสิบแก้วที่อยู่ในถุงเดียวกันด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างเขากุมมือฉันเอาไว้แล้วจูงให้เดินตามกันไป
“ได้ดิ พี่สาวเกาะมันแน่น ๆ นะครับมันนักซิ่ง”
ฉันหันไปมองเพื่อนศึกรบที่แซวกัน เพื่อนเขามีทั้งผู้ชายและผู้หญิงปะปนกันไป
“จริงเหรอคะ พี่จะได้กลับไปฟ้องแม่นายว่านายซิ่งรถ ว้าย! ไอ้เด็กบ้ามาลากพี่แบบนี้ทำไมเล่า”
ฉันบ่นจนปากจีบคอจีบแต่ศึกรบไปฟัง มันแขวนเครื่องดื่มไว้ที่แฮนด์รถแล้วอุ้มฉันขึ้นไปนั่งบนบิ๊กไบค์คันเดิมที่สูงมากจริง ๆ
“พูดมาก”
มันปรามฉันแล้วค้ำแขนลงมาข้างกายเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ
“ว่าพี่แบบนี้ได้ไง ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม!”
“รู้ได้ไง? ปากเราเคยสัมผัสกันหรือไง?”
ไอ้คำถามเสียงทุ้ม ๆ ที่มาพร้อมใบหน้าที่นิ่งเรียบนี้มันกวนตีนกว่าเดิมมากนะ
“กวนตีน!”
ฉันทุบอกศึกรบเต็มแรง คนโดนทุบหัวเราะอย่างพอใจแล้วหยิบหมวกกันน็อกมาใส่ให้ฉันก่อนจะคร่อมรถตัวเองขึ้นมาเตรียมตัวขับออกไป
“ร้านข้าวอยู่ไหนบอกผมแล้วกัน”
“จ้า ~ จ้า ~ พ่อหนุ่มนักซิ่ง กะ กรี๊ดดด”
เสียงกรี๊ดฉันสิ้นหวังมาก
ศึกรบจงใจบิดรถให้ฉันหัวทิ่มเขากลางหลังเขา ฉันสวมกอดเอวเขาไว้นิ่งแล้วกรีดร้องทั้งน้ำตา
ไอ้เด็กบ้า..
Talk
ไอ้หมาเด็กมันดูแลพี่ไม่ห่าง หวงอย่างกับหมา 😆😆