ตอนที่. 27 เตรียมลุยศึกอินเทิร์น1(1)

1824 คำ
เรื่อง: ไม่มีนิยามของคำว่ารัก ภาค 1 ตอนที่. 27 เตรียมลุยศึกอินเทิร์น1(1) โดย:srikarin2489 หลังรับประทานอาหารค่ำเสร็จ นั่งพูดคุยกันต่อสักพัก ได้เวลาแยกย้ายไปพักผ่อน บุษกรเปลี่ยนชุดเก่าออกมาสวมชุดนอนเป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นปกอ่อน กางเกงขาสามส่วนผ้าเนื้อนิ่มใส่สบาย เดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นเพื่อนทั้งสองนอนคุยกันอยู่บนเตียง ดูโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือของอินทิรา ชุดนอนของอินทิรากับตุลยา เป็นเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นง่าย ๆ ยิ่งทำให้ดูเหมือนเด็กหนุ่ม คนหนึ่งหล่อคมแบบลูกผสม ส่วนอีกคนคมเข้มแบบไทย แม่ของตุลยาจัดให้นอนห้องเดียวกันตามความต้องการของลูก เตียงนอนขนาดใหญ่นอนด้วยกันได้ ปกติเป็นห้องนอนของตุลยากับน้องสาว แต่ตอนนี้ ตวิษาไปเป็นแอร์โฮสเตสอยู่ต่างประเทศ “เฮ้ย...จะทำอะไร” ตุลยาทำเสียงโวยวาย เมื่อบุษกรเบียดเข้ามาแทรกตรงกลาง “ฉันจะนอนตรงกลาง แกขยับไป” บอกพร้อมดันร่างเพื่อนให้ขยับออกไป ครั้นจะนอนอีกข้างของอินทิราก็ไม่ได้เพราะอินทิรานอนชิดริมเตียงแล้ว “แกมาทีหลังนะ นอนริมไปซี่” “ฉันจะนอนตรงกลาง” ยืนยันเสียงแข็งจนเพื่อนทำหน้าย่นใส่ “ตามสบายเลยคุณหมอบุษ ชอบเหลือเกินนะตรงกลาง ตอนกลับจากทะเลอินเป็นคนขับ กอดเอวอินซะแน่น กลัวตกหรือไง ตอนฉันขับไม่เห็นแกกอดฉันเลย” “ฉันอยากกอดใครฉันก็จะกอด แกมีปัญหาอะไร” ทำหน้าตึงร้องว่า “แกมันสองมาตรฐาน” อินทิราได้แต่ยิ้ม เห็นเพื่อนเริ่มต่อปากต่อคำกัน “อินดูอะไร” บุษกรพลิกตะแคงไปทางอินทิรา เห็นกำลังดูโทรศัพท์อยู่ “ดูจังหวัดที่เราจะไปเป็นหมออินเทิร์น เป็นจังหวัดใหญ่มีที่เที่ยวน่าสนใจเยอะอยู่นะ แต่ไม่รู้ว่าเราจะมีเวลาไปเที่ยวหรือเปล่า” บุษกรขยับไปชิดดูหน้าจอโทรศัพท์ในมือเพื่อน “ดูๆ ไปแล้ว เราสามคนเหมือนสามคนผัวเมียเลยนะ” ตุลยาทำเสียงเปรยขึ้น “โอ๊ย...อะไรของแกวะบุษ มาทุบฉันทำไม” ตุลยาร้องโวยวายว่าเมื่อถูกบุษกรทุบเข้าที่ท้อง “ใครไปเป็น สามคนผัวเมียกับแก” “แล้วมันเหมือนมั้ยล่ะ เหมือนแกมีผัวสองคนเลย อ๊ะ...อย่านะ ถ้าแกทุบอีกฉันสู้นะโว้ย” ร้องขัดก่อนเมื่อเห็นบุษกรยกมือขึ้นแล้วทำท่าจะทุบอีก บุษกรได้แต่ทำปากขมุบขมิบเข่นเขี้ยวแล้วลดมือลง “ดูต่อซิอิน ที่นั่นมีของกินอะไรขึ้นซื่อบ้าง ถ้ามีเวลาเราจะได้ไปหาชิมถึงถิ่นเลย” “มาเบียดฉันทำไมเล่า” บุษกรโวยบ้างเมื่อถูกตุลยาเบียดเข้ามา ทำเป็นดูจอโทรศัพท์ในมืออินทิรา “ฉันอยากดูมั่ง” บุษกรทำได้แค่แยกเขี้ยวใส่ เพราะดูออกว่าถูกเพื่อนแกล้ง “ตอนเราเป็นหมอเอ็กเทิร์น ขึ้นเวรว่าเหนื่อยมากแล้ว รุ่นพี่บอกว่า อินเทิร์นสาหัสกว่าหลายเท่า ได้เจอเวรเยินกันคราวนี้ แต่ฉันภาวนาอยู่เรื่องเดียว” “อะไร” เพื่อนทั้งสองพร้อมใจกันหันมาถามตุลยา “ขอให้เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี ถ้าไม่มีแรงกดดันจากที่ทำงาน ต่อให้งานหนักแค่ไหนพร้อมสู้” อินทิรากับบุษกรพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน “พี่รหัสฉันบอกว่า โรงพยาบาลที่เราจะไปอยู่ พี่ ๆ พยาบาลส่วนมากน่ารัก ส่วนสตาฟเราต้องลุ้นเอาว่าจะเจอแบบไหน ภาวนาขอให้พวกเราเจอสตาฟใจดีด้วยเถ่อะสาธุ” อินทิรากับตุลยายิ้มขำ เมื่อเห็นบุษกรภาวนาแล้วยกมือไหว้ท่วมหัว “อิน...แม่แกเคยเป็นหมออินเทิร์นที่นี่ ไม่ใช่เหรอ” “เออ...ใช่จริง ๆ ด้วย” อินทิราทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ “แม่เคยเล่าให้ฟังตอนเป็นหมออินเทิร์น งานหนักคนไข้เยอะมาก เพราะเป็นโรงพยาบาลศูนย์ประจำจังหวัด แม่ฉันทำแค่ปีเดียวก็ลาออก เพราะต้องไปดูแลคุณยายที่ป่วย ถ้าเราผ่านอินเทิร์น1ไปได้น่าจะดีขึ้นหน่อย อินเทิร์น2กับ3ไปอยู่โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลเล็กลงคนไข้คงน้อยลงด้วย” “ใช่... โรงพยาบาลเล็กลงแต่หมอน้อยลงด้วย เราอาจต้องอยู่เวรถี่ขึ้น โรงพยาบาลอำเภอไม่มีหมอเฉพาะทาง ไม่มีเครื่องมือและยาบางอย่าง ไม่มีความพร้อมเหมือนโรงพยาบาลใหญ่ เราต้องรับเองทุกเคส ถ้าเจอเคสยากอาการซับซ้อน ต้องรีเฟอร์ต่อโรงพยาบาลอื่น หมอมือใหม่อย่างพวกเราจะเจออะไรบ้างไม่รู้” ตุลยาทำหน้าหนักใจประกอบจนเพื่อนยิ้มขำ “อีกอย่างนะรพช.ไม่มีหมอสู เราต้องได้เจอหัตถการทำคลอดแน่ๆ เป็นหัตถการที่ฉันไม่ชอบเลย เราต้องรับจบเองหมดดูทั้งแม่ทั้งลูก ฉันจะไม่เรียนต่อเป็นหมอสูเด็ดขาด” “ฉันก็ไม่เรียนต่อเป็นหมอสูเหมือนกัน ฉันไม่ชอบหัตถการทำคลอด อินล่ะอยากเป็นหมอสูมั้ย” เพื่อนทั้งสองยิ้มขำเมื่อเห็นอินทิราสั่นหน้าทันที “อินไม่ชอบหัตถการทำคลอดเหมือนกัน เคยทำตอนเรียนรู้สึกใจหวิวๆยังไงไม่รู้” สามเพื่อนรักทำหน้าเห็นพ้องกันในเรื่องนี้ “ฉันเคยฟังรุ่นพี่เล่า ตอนเขาไปอยู่รพช.ถูกเรียกตัวกลางดึก ให้ออกไปชันสูตรศพ ตอนนั่งรถไปแค่บรรยากาศก็ชวนขนหัวลุกแล้ว ออกไปไกลไฟข้างทางไม่มีมืดตึ๊ดตื๋อ ฉันไม่กลัวผีก็จริง แต่ไม่ชอบบรรยากาศแบบวิเวกวังเวง ฉันเคยอยู่ต่างจังหวัดบ้านนอก รู้ดีว่าบรรยากาศมืดตึ๊ดตื๋อเป็นยังไง” “แต่ไม่ว่าจะยังไง อย่าพึ่งกังวลไปก่อน ไอ้แฝดสามของอาจารย์ลุยด้วยกันมาเยอะแล้ว เราจะลุยต่อสู้มั้ย” บุษกรพูดพร้อมชูมือขึ้นให้เพื่อนจับประสานใจสู้ “สู้โว้ย” ทั้งสามประสานเสียงกันแล้วหัวเราะครื้นเครง “พรุ่งนี้เราไปนอนรีสอร์ทกัน ฉันบอกพ่อกับแม่ไว้แล้ว เราจะได้เล่นน้ำทะเลให้ฉ่ำเลย” ตุลยาเดินออกมาจากในบังกะโลอยู่ติดริมหาด สามารถเล่นน้ำได้สะดวก เป็นบังกะโลหลังกะทัดรัดน่ารักโทนสีฟ้า แต่ตรงประตู ขอบหน้าต่าง ขอบระเบียงและเสาระเบียงเป็นสีขาว ระเบียงเล็กด้านหน้าพื้นกระเบื้องยังเป็นสีฟ้า และมีเก้าอี้สองตัวไว้สำหรับนั่งเล่นรับลมชมทะเล อยู่ใกล้ชายหาดจนได้ยินเสียงคลื่นซ่าซัดอยู่เป็นระยะ มองออกไปทางชายหาด เห็นอินทิราเดินเตะน้ำทะเลเล่นอยู่ตามลำพัง ท่าทางหงอยเหงาซึมเศร้าของเพื่อน ทำให้ตุลยาลังเลว่าจะเข้าไปหาดีไหม แค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ ยังสัมผัสได้ถึงความเศร้าของเพื่อน “ฟาง...ฟางอยู่ไหน เมื่อไหร่ฟางจะกลับมาหาพี่” อินทิราก้มมองจี้รูปเกือกม้าห้อยอยู่ที่คอ เสียงพึมพำแผ่วเบาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและคิดถึง จับจี้รูปเกือกม้าขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง ได้แต่เฝ้าคิดถึงคนให้หกปีแล้วที่ปาลิดาหายเงียบไปเลย ไม่มีข่าวคราวหรือการติดต่อกลับมา ทำให้คนเฝ้ารอทำได้เพียงรอซึ่งไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกหรือเปล่า เป็นการรอที่อ้างว้างและเจ็บปวดความหวังริบหรี่ลงทุกวัน “ฟาง...พี่คิดถึงฟางรู้มั้ย” อินทิราเหม่อมองท้องทะเลกว้างเวิ้งว้างแล้วตะโกน ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดคิดถึง น้ำตารินอาบแก้มอยากให้เสียงร้องเรียกดังไปถึงคนที่อยู่อีกฟากฟ้าหนึ่ง ขณะก้มหน้าสะอื้นเบารับรู้ว่ามีคนมายืนข้าง ๆ เมื่อเห็นเป็นเพื่อนจึงรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก “แกไม่ต้องอายฉันหรอกอิน ถ้ามันเจ็บปวดอัดอั้นใจมาก ปล่อยมันออกมาเลยเพื่อน” ตุลยายืนอยู่ข้างเพื่อน มองออกไปในท้องทะเลกว้างสุดสายตา ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คลื่นซ่าซัดเข้ามาเป็นระลอก มองดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่ชวนเหงาใจสำหรับคนที่มีความในใจ เสียงคลื่นวิ่งเข้ากระทบฝั่ง ซ่าซัดอยู่ตลอดเวลา ลมแรงจนเสื้อผ้าและผมปลิวลู่ตามลม สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของทะเล “ระบายมันออกมาบ้าง แกจะได้รู้สึกดีขึ้น” ริมฝีปากเนียนอิ่มขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาคมเข้มรื่นคลอไปด้วยหยาดน้ำตา โดยที่เจ้าตัวพยายามกลั้นสะอื้นไว้ “ฉันรู้สึกอ่อนแอทุกครั้งที่คิดถึงฟาง ฉันไม่เคยลืมเขาได้เลยแม้จะพยายามแค่ไหน ยิ่งพยายามลืมยิ่งคิดถึงเขา” น้ำเสียงแหบเศร้าจนเพื่อนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดเศร้าในใจของคนพูด รับรู้มาตลอดว่าเพื่อนไม่เคยลืมปาลิดาได้ ภายในใจซุกซ่อนไว้ด้วยความเศร้าและคิดถึง “หกปีแล้วนะอิน” ตุลยาพูดเสียงขรึมตายังมองท้องทะเลกว้าง มองเห็นเรือประมงลอยลำเท้งเต้งในทะเลอยู่ไกลลิบ ๆ เห็นคลื่นม้วนตัวราวกับจับมือกันแล้ววิ่งซ่าซัดเข้าสู่ฝั่ง ระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่มีสิ้นสุดและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “ใช่หกปี มันนานเหลือเกิน แม้จะไม่เคยได้ข่าวเขาเลย แต่ฉันยังหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาจะกลับมา แต่ไม่กล้าคาดหวังว่าเขาจะยังเหมือนเดิม เขาอาจจะมีคนใหม่แล้วก็ได้” คนพูดยกมือขึ้นกอดอก รู้สึกรวดร้าวหนาวเหน็บในใจ เมื่อคิดว่าปาลิดาคงมีคนใหม่แล้ว “ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะ” ตุลยาหันมาถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเห็นว่าเขามีคนใหม่จริงๆ ฉันคงตัดใจได้แล้วไปตามทางของฉัน คงทำได้แค่อวยพรให้เขาโชคดีมีความสุข อย่างน้อยเราก็เคยมีอดีตที่ดีต่อกัน ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอกตุล แค่ได้รักเขาก็พอแล้วสำหรับฉัน เราไม่ได้เกิดมาเพื่อคู่กัน มันถึงเป็นแบบนี้” ตุลยาเอื้อมมือไปบีบไหล่เพื่อนเบา ด้วยความรู้สึกเข้าใจและเห็นใจ “แกเก่งมากอิน ที่แกอยู่กับความเจ็บปวดคิดถึงมาได้หลายปี ฉันอยากเจอฟางเหมือนกัน อยากถามเขาว่าทำไมถึงทำกับเพื่อนรักของฉันแบบนี้ ฉันจะเอาใจช่วยให้แกหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้ให้ได้” อินทิราฝืนยิ้มที่ดูจืดชืดขมขื่นกับเพื่อน “อิน...ตุล” เสียงบุษกรร้องเรียกดังมาจากทางหน้าบังกะโลแล้วเดินเร็วเข้ามาหา ทำให้อินทิรารีบเช็ดคราบน้ำตาออกให้หมด ปรับสีหน้าเป็นปกติเท่าที่จะทำได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม