เรื่อง: ไม่มีนิยามของคำว่ารัก ภาค 1
ตอนที่.10 งานโรงเรียน
โดย: srikarin2489
งานโรงเรียนถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี มีผู้ปกครองมาร่วมงานด้วยหนาตา ปาลิดามีแม่กับคุณย่ามาดูการแสดงด้วย ซึ่งเป็นการแสดงแรกในโรงเรียนใหม่ แม้ตอนอยู่โรงเรียนเดิมมักถูกเลือกให้ร่วมแสดง ในงานโรงเรียนทุกปีมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เพราะเป็นโรงเรียนใหม่ ตื่นเต้นทั้งคนแสดงและแม่กับคุณย่าที่มารอดู
“แม่มาโรงเรียนนี้ครั้งแรก ตอนมาเป็นผู้ปกครองให้ฝ้าย ตอนนั้นแม่รู้สึกว่าโรงเรียนเขาใหญ่แล้วนะ ผ่านไปยี่สิบกว่าปีเจริญกว่าเดิมเยอะ”
ลดากับคุณปรานีนั่งอยู่ในหอประชุมขนาดใหญ่ ของโรงเรียนรอดูการแสดง ร่วมกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ นั่งกันเต็มหอประชุม บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน คนรอดูการแสดงยกกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือคอยถ่ายรูปของลูกหลานตัวเองที่ออกมาทำการแสดง
“มีตึกใหม่เพิ่มอีกหลายตึกค่ะคุณแม่ จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเยอะ ตอนฝ้ายเรียนว่าใหญ่แล้วนะ มาเห็นตอนลูกเรียนใหญ่โตกว่าเดิมเยอะ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้มานั่งอยู่ในหอประชุม ในฐานะผู้ปกครองรอดูการแสดงของลูก วันเวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ ” ทั้งนักเรียน ผู้ปกครองและครูอาจารย์ นั่งเต็มหอประชุม รอดูการแสดง มีการแสดงชุดต่าง ๆ ทยอยออกมาผลัด เปลี่ยนหมุนเวียนไม่ขาดตอน เริ่มตั้งแต่ชั้นเด็กประถม เรื่อยมาจนถึงชั้นเด็กมัธยม
“คุณแม่คะ ต่อไปเป็นการแสดงของฟาง” ลดาหันไปบอกแม่สามีด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากพิธีกรบนเวที บอกว่าการแสดงชุดต่อไปเป็นอะไร
นักเรียนที่จะทำการแสดงจับคู่กันเดินออกมายืนบนเวที คู่ของอินทิรากับปาลิดาได้อยู่แถวหน้าสุด รวมทั้งคู่ของณิชมนกับคู่ของตุลยายืนเป็น หกแถว โดยคู่ของอินทิรากับปาลิดาเป็นคู่แถวกลาง
น้องม.4แต่งชุดเสื้อกระโปรงสวยน่ารัก แต่งหน้าเข้มกว่าปกติ ผมยาวไม่ได้ถักเปียแต่ปล่อยตามธรรมชาติส่วนพี่ม.6แต่งเป็นผู้ชาย สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวผูกหูกระต่าย กางเกงสแล็คสีเข้มใครผมยาวมัดรวบไว้เรียบร้อย
อินทิราตัดผมสั้นแบบนี้ทำให้เหมือนผู้ชายมาก โดยไม่ต้องแต่งเพิ่ม ด้านหน้าเวทีมีนักเรียนหลายคนเข้าไปรอถ่ายรูป ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ มีบางคนร้องบอกให้อินทิรายิ้มให้กล้อง ซึ่งเจ้าตัวให้ความร่วมมือยิ้มให้ พอเสียงเพลงเริ่มขึ้นนักเรียนที่ทำการแสดงเต้นเข้าคู่กันได้อย่างราบรื่น ไม่มีคู่ไหนติดขัดเลย สมกับที่ซุ่มซ้อมกันมาเป็นอย่างดี
“คนที่เต้นคู่กับฟาง ผู้หญิงหรือผู้ชายฝ้าย” คุณปรานีเอียงหน้าไปถามลูกสะใภ้ แต่สายตายังมองดูการแสดงบนเวที
“ผู้หญิงค่ะ” ลดามองดูลูกสาวทำการแสดง ด้วยใบหน้าระบายยิ้มภูมิใจในตัวลูก
ตอนเริ่มต้นการแสดง ปาลิดามีอาการประหม่าตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเป็นโรงเรียนใหม่คนนั่งดูอยู่ในหอประชุม ล้วนแต่ไม่ใช่คนคุ้นเคยเหมือนตอนอยู่โรงเรียนเก่า ส่วนคู่เต้นไม่มีอาการประหม่าแต่อย่างใด คุ้นชินกับการแสดงบนเวทีมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม แถมยังยิ้มสดใสเสียอีก เรียกว่าเจนเวทีเลยก็ว่าได้
ลดามีกล้องถ่ายรูปมาด้วย ปาลิดามักได้รับเลือกให้แสดงงานของโรงเรียนมาตั้งแต่เรียนอนุบาล เนื่องด้วยเป็นเด็กหน้าตาดีน่ารักและกล้าแสดงออก เวลาโรงเรียนมีงานจะถูกครูเลือกไปทำการแสดงเสมอ จนลดาต้องไปหาซื้อกล้องคุณภาพดีมาคอยตามถ่ายรูปลูกไว้ ถ่ายได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ ขณะลูกทำการแสดงอยู่บนเวที เธอคอยยกกล้องถ่ายรูปไว้ แม้จะนั่งห่างเวทีมาหน่อยแต่สามารถซูมกล้องถ่ายได้
การแสดงจบลงพร้อมเสียงปรบมือดังก้องหอประชุม ทำให้นักเรียนที่ทำการแสดงยิ้มแก้มแทบปริไปตามๆ กัน พอลงจากเวทีปาลิดารีบมาหาคุณย่ากับแม่ ทั้งสองออกมารออยู่นอกหอประชุมแล้ว โดยมีอินทิรา เดินตามหลังมาด้วย
“คุณย่า” ร้องเรียกเสียงใสเข้ามายกมือไหว้ แล้วเข้าสวมกอดคุณย่าด้วยความคิดถึง
“ไม่เจอกันไม่กี่เดือน โตเป็นสาวขึ้นนะหลานย่า” คุณปรานีกวาดสายตามองสำรวจหลานสาว ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา
“ฟางมีเพื่อนมาด้วยค่ะ” ปาลิดาหันไปทางอินทิราที่ยืนยิ้มอยู่
“พี่อินเป็นพี่ม.6ค่ะ เป็นเพื่อนของพี่เนตรด้วย พี่อินนี่คุณย่ากับแม่ของฟาง”
ขณะรับไหว้จากอินทิรา ลดามองด้วยแววตาแปลกใจครุ่นคิด เพราะท่วงท่าและรอยยิ้มของอินทิรา คล้ายใครคนหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเลย
“หนูเป็นผู้หญิงหรือลูก”
คุณปรานีมองเหมือนไม่แน่ใจ เท่าที่เห็นอินทิราแต่งตัวแบบนี้เหมือนผู้ชายมาก ดูเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาสดใสหน้าคม โครงหน้าเรียวยาว คิ้วเรียวแต่เข้ม ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม สีเดียวกับคิ้วและผม จมูกโด่งปลายเชิดเล็กน้อย มีรูปจมูกที่โด่งสวยเนื้อปากอิ่มชัด ผิวพรรณดีสดใสสมวัย โทนออกไปทางฝรั่งนิดๆ เรียกว่าหล่อเลยก็ยังได้ รูปร่างสูงโปร่ง
“ค่ะคุณย่า ที่นี่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนค่ะ” เสียงพูดเป็นเสียงของผู้หญิง ยืนยันได้ว่าเป็นผู้หญิงจริง ๆ
“เออนั่นสิ” แม้อินทิราจะบอกอย่างนั้น คุณปรานียังมองอินทิราอย่างพิจารณา แปลกใจที่เห็นในคนคนเดียวมีทั้งความสวยแบบผู้หญิงและหล่อแบบผู้ชายผสมผสานกันอย่างลงตัว
“คุณพ่อคุณแม่พี่อินล่ะคะ”
“พวกท่านไปเปิดโรงพยาบาลสาขาที่ต่างจังหวัด วันนี้เลยมาไม่ได้ พวกท่านมาร่วมงานโรงเรียนทุกปี ปีนี้มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
“น่าเสียดายจัง แม่เลยไม่ได้เจอคุณแม่ของพี่อิน”
“น่าเสียดายนะ” ลดาพลอยรู้สึกเสียดายด้วยไม่เจอศิษย์เก่าที่เรียนอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อยากทำความรู้จักพูดคุยด้วย ตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย
เธอไม่ได้มาที่โรงเรียนอีกเลย จนลูกมาเรียนต่อม.4ที่นี่ อยากพูดคุยกับคนที่เป็น
ศิษย์เก่าเหมือนกัน
“แม่ขับรถมารับอินแทบทุกวัน ถ้ามีโอกาสแม่ของอินคงได้ทำความรู้จักกับคุณน้าค่ะ”
หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกับแม่และคุณย่าของปาลิดาแล้ว อินทิราแยกตัวไปหาตุลยาที่รออยู่พร้อมบุษกร ตุลยากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการกินขนมไม่ขาดปาก หยิบขนมออกจากถุงส่งใส่ปากเคี้ยวด้วยท่าทางหิว
“ตั้งแต่ลงจากเวที แกกินขนมไม่หยุดปากเลยนะตุล”
“ฉันหิว กลัวใส่ชุดแล้วออกมาดูไม่ดี เมื่อเช้าเลยไม่ได้กินข้าวเช้า” ปากว่ามือยังหยิบขนมจากถุงใส่ปากตัวเองไม่ขาด
“ไม่กินข้าว แต่ยัดนมแทนไปหลายกล่องใช่มั้ย ไอ้ตุลนมกล่อง” ตุลยาหัวเราะทั้งที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปาก กับคำว่าอย่างรู้เท่าทันของเพื่อน
“คนกินเก่งอย่างแก ที่ถือสุภาษิตว่าท้องแตกตายดีกว่าของเหลือ ไม่กินข้าวต้องกินอย่างอื่นแทน”
“แกรู้ใจฉันขึ้นทุกวันนะบุษ นึกว่าจะสนใจแต่อินคนเดียว” บุษกรมองค้อน เมื่อเพื่อนยื่นหน้ามาว่าด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“แกใช่มั้ยบุษ ที่พาเพื่อนเรียกฉันว่าไอ้ตุลนมกล่อง”
“ต่อให้ฉันไม่เรียกคนอื่นก็เรียก ตั้งแต่ม.1แล้ว ทุกเช้าจะเห็นแกถือนมกล่องดูดตอนเดินเข้าห้องเรียน มันต้องดูดตอนเดินเข้าห้องเรียนทุกครั้ง ฉันเคยสังเกตดู แกถือนมกล่องมาด้วยทุกวัน พอจะเข้าห้องเรียนแกถึงจะเริ่มดูด”
“ฉันไม่รู้ตัวเลยนะ ว่าฉันทำแบบนั้นทุกเช้าเลย” ตุลยายิ้มขำเมื่อนึกภาพตัวเองตามที่เพื่อนว่า
“ตุล...ช่วงปิดเทอมที่เราจะติวเข้มกัน คุณพ่อกับแม่ฉันบอกให้ชวนแก ไปอยู่ที่บ้านฉันเลยแกจะว่าไง”
“โอเคเลยเพื่อน” ตุลยาตอบรับทันทีไม่เสียเวลาคิด แล้วหันไปทางบุษกร
“ฉันกับอินวางแผนจะติวเข้มกัน แกสนใจร่วมด้วยมั้ยบุษ อินเขามีข้อสอบเก่าให้เราฝึกทำ แม่เขาจะเป็นติวเตอร์ให้ด้วย”
“ฉันไม่พลาดอยู่แล้ว ฉันต้องสอบเข้าแพทย์ให้ได้ ความฝันของฉันคือเป็นศัลยแพทย์” บุษกรประกาศบอกด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นจนตุลยาหันไปยิ้มกับอินทิรา
“ฉันจะสอบเข้าแพทย์ให้ได้เหมือนกัน” ตุลยาประกาศบอกเสียงมุ่งมั่นบ้าง
“แกอยากเป็นหมออะไรตุล”
“ไม่รู้ แค่อยากตามแกกับอิน”
“ไอ้บ้า...ไอ้คนไม่มีความคิด แค่อยากตามฉันกับอินนี่นะ” บุษกรแว้ดเสียงใส่ตาขวาง
“ช่าย...แกไม่มีทางแยกจากฉันได้ง่าย ๆ หรอกบุษ” บุษกรแยกเขี้ยวให้เมื่อเพื่อนยื่นหน้ามาบอกใกล้
“อย่าหวังเลยว่าแกจะได้อยู่กับอินแค่สองคน ฉันจะตามเป็นมารแกตลอดไป” บุษกรได้แต่แยกเขี้ยวให้ด้วยความโมโห แต่ตุลยากลับหัวเราะสนุก
เพื่อนทั้งสองต่อปากต่อคำกันไม่มีใครยอมใคร ทำให้อินทิราได้แต่ส่ายหน้า รู้ว่าตุลยาชอบบุษกรแต่กลับแสดงออกแบบคู่กัด คอยก่อ กวนยั่วแหย่ให้บุษกรโมโหตลอด วันไหนไม่เห็นทั้งสองกัดแขวะกันถือว่าเป็นเรื่องแปลก เป็นสีสันในการมาเรียนหนังสือ อินทิราคอยห้ามหรือยุส่งบ้างแล้วแต่อารมณ์ แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันคือความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิท ทะเลาะจิกกัดตีกันคือเรื่องธรรมดา
“พ่อแม่แกไม่ว่าหรือตุล ปิดเทอมครั้งที่แล้วแกก็ไม่กลับบ้าน ตั้งแต่ขึ้นม.ปลาย แกไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะ”
“ไอ้ตุลมันใจแตก ไม่อยากกลับชุมพรแล้ว มันหลงแสงสีของกรุงเทพฯจนลืมชุมพร” ตุลยาหัวเราะร่วนกับคำว่าของเพื่อน
“พอฉันบอกว่าจะสอบเข้าเรียนแพทย์ พ่อฉันเขาทุ่มเต็มที่เลย เขาอยากให้ลูกเรียนแพทย์สักคน พ่อบอกว่าถ้าฉันอยากได้อะไรให้บอก พ่อฉันเขาพร้อมทุ่มไม่อั้น”
“พ่อไอ้ตุลจะรู้มั้ยนะ พูดแบบนี้เสร็จไอ้ตุลแน่ ดูหน้ามันสิอิน ไม่มีใครเจ้าเล่ห์เท่าไอ้ตุลนมกล่อง พ่อมันบอกแบบนี้เท่ากับเปิดประตูให้มันเลยนะ เปิดประตูให้ไอ้โจรเข้าไปขนสมบัติ” ตุลยาไม่โกรธกลับหัวเราะกับคำว่าของเพื่อน
“ไม่ต้องห่วงพ่อมันหรอกบุษ พ่อมันเป็นเศรษฐีชุมพร นายหัวเตชน์ร่ำรวยมากครอบครองที่ดินเยอะแยะ ทำเลทองเกือบทั้งนั้น พ่อมันพร้อมทุ่มให้มันอยู่แล้ว จะช่วยมันขนสมบัติด้วยซ้ำไป” ตุลยาหัวเราะอีกพร้อมทั้งยกหัวแม่มือให้อินทิรา
“พ่อฉันรวยไม่ได้ครึ่งพ่อแกหรอกอิน นายหัวเตชน์ทรัพย์สินเยอะแต่เงินไม่เยอะ พ่อแกเป็นเจ้าของโรงพยาบาลGPH เอกชนขนาดใหญ่ มีโรงพยาบาลในเครืออีกหลายแห่ง รวมทั้งธุรกิจอย่างอื่นอีกที่คุณย่าแกทิ้งไว้ให้ มูลค่าทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่มหาศาล พ่อแกติดท็อปเท็นมหาเศรษฐีเมืองไทย เวลาเขาจัดอันดับมหาเศรษฐีแต่ละปีต้องมีซื่อพ่อแกด้วย พ่อฉันแค่เศรษฐีต่างจังหวัดไม่ใช่มหาเศรษฐี ถ้าจบแพทย์เราน่าจะเข้าทำงานโรงพยาบาล ของพ่ออินได้”
“พูดออกมาไม่อายเลยนะ ยังไม่ทันสอบได้กล้าคิดเนอะ” บุษกรอดไม่ได้ที่จะขัดคออีก
“แกมั่นใจหรือตุล ว่าแกจะสอบเข้าแพทย์ได้”
“ถ้าฉันสอบเข้าได้ แกจะให้อะไรฉัน”
“สอบให้ติดก่อนเถ่อะ แกอยากได้อะไรฉันจะให้”
“ฉันไม่ขออะไรมากหรอก แกเป็นติ่งเกาหลีใช่มั้ย แกกับแก๊งสาวสวยคุยกันแต่เรื่องไอดอลเกาหลี ซื่อเกาหลีแม่งเรียกโคตรยากเลยว่ะ”
“ทีแกล่ะไอ้ตุล คุยกับอินมีแต่เรื่องบาสเอ็นบีเอ กับรถบิ๊กไบค์” บุษกรสวนคืนทันควัน
“ฉันเป็นนักบาส แกจะให้คุยเรื่องวอลเล่ย์หรือไง” บุษกรมองค้อนกับคำย้อนว่าของเพื่อน
“เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้าฉันสอบเข้าแพทย์ได้ แกต้องเต้นแบบศิลปินเกาหลีให้ฉันกับอินดู โอเคปะ” ยื่นหน้าไปท้าทายใกล้เพื่อน
“โอเค” บุษกรรับคำท้าทันควัน
“แต่ฉันว่าแกสอบไม่ติดหรอก ไม่มีวาสนาได้ดูฉันเต้น” บุษกรลอยหน้าว่าบ้าง
“อิน...ไอ้บุษมันดูถูกฉัน แกต้องช่วยฉันนะอิน ถ้าแกอยากดูบุษมันเต้นแบบศิลปินเกาหลี มาจับมือกันเป็นสัญญาว่าแกจะช่วยฉัน” อินทิรายิ้มขำเมื่อเพื่อนทำเสียงโวยวาย แต่ยอมยื่นมือไปจับด้วย
“ต้องอย่างนี้สิเพื่อน ฉันต้องสอบเข้าเรียนแพทย์ให้ได้ อย่างแรกเพื่อคอยเป็นมารไอ้บุษ อย่างที่สองเราจะได้ดูบุษเต้นแบบศิลปินเกาหลี ขอแบบเซ็กซี่ๆนะ ให้รู้ว่าแกมีของโชว์กับเขาเหมือนกัน” บุษกรขึงตาดุให้ เมื่อตุลยาเข้าไปกอดคออินทิราแต่เอียงหน้ามายักคิ้วให้