ความรักเปรียบเสมือนเกมส์
ถ้าเล่นแล้วชนะ...เราก็จะมีความสุข
แต่ถ้าเล่นแล้วแพ้...เราก็จะเสียใจและเจ็บใจที่แพ้มัน
การเอาคืนจึงมักเกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อเราแพ้....
.
.
.
“ขอโทษนะ... หลิวคิดว่าเราคงไปด้วยกันไม่ได้... เราเลิกกันเถอะตั้ม”
น้ำเสียงนุ่มนวลเปล่งออกมาจากริมฝีปากเรียวบางของหญิงสาวหน้าตาสะสวยทรงเสน่ห์ เธอปรายตามองผู้ชายผมสีน้ำตาลหน้าตาหล่อเข้มที่นั่งอยู่ตรงข้ามด้วยสายตานิ่งเรียบ ไร้เยื่อใยในน้ำเสียงของเธออย่างชัดเจน เขาที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อยถึงกับชะงักค้างไปในทันทีพลางเหลือบตาขึ้นมองคนพูดด้วยความตกใจ
“วะ...ว่าไงนะ? ทำไมอยู่ ๆ หลิวพูดอย่างงั้นล่ะ ล้อเล่นกันใช่ไหม?...”
ชายหนุ่มยิ้มขบขำราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดคือเรื่องตลก หญิงสาวถอนใจเหนื่อยหน่ายขณะดึงสร้อยข้อมือที่เขาซื้อให้เป็นของขวัญออกจากข้อมือซ้ายของเธอ ดวงตาคมเฉี่ยวตวัดขึ้นมองชายหนุ่มที่เริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจพลางวางสร้อยเส้นนั้นลงบนโต๊ะ
“ฉันพูดจริง! และก็ไม่ขำอะไรทั้งนั้น มันจบแล้วตั้มช่วยรับความจริงด้วย”
“ทะ...ทำไมล่ะหลิว ตั้มไม่ดีตรงไหน? ตั้มจริงใจกับหลิวนะ! จะมาเลิกกับตั้มง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!” เขารีบดึงมือเธอไปจับอย่างร้อนรน บัดนี้หนุ่มหล่อจอมเพลย์บอยกำลังอ้อนวอนขอร้องผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่บอกเลิกเขาแบบกะทันหันจนตั้งตัวไม่ทัน
ร่างบางแสยะยิ้มเย็นชา เธอรู้สึกสมเพชเขาจริง ๆ ที่ยอมอ้อนวอนขอร้องเธอ ทั้งที่ที่ผ่านมาเขาเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายตัดสัมพันธ์กับหญิงสาวมานักต่อนักแล้ว ผู้หญิงหลายคนต้องเจ็บช้ำกับการกระทำที่เห็นแก่ตัวของเขา ผู้ชายที่รักสนุกเพียงชั่วคราว มีความสุขบนคราบน้ำตาของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบเธอ
และนี่... คือสิ่งตอบแทนที่เขาควรได้รับ ความรู้สึกของคนที่ถูกเฉดหัวทิ้งมันเป็นยังไง… เขาจะได้รับรู้มันวันนี้!
“แล้วยังไง? ก็ใครบอกให้นายมาจริงใจกับฉัน นายเองก็น่าจะเข้าใจนะ เวลาที่เรา ‘เบื่อ’ อะไรแล้ว เราก็มักจะทิ้งของสิ่งนั้นไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของมัน นายก็เคยทำแบบนี้มาก่อนไม่ใช่?” เธอดึงมือกลับแล้วลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมส่งยิ้มหวานให้กับเขาที่ตอนนี้นิ่งเงียบไปราวกับถูกสะกด “นี่คือบทเรียนสำหรับผู้ชายอย่างนาย ลาก่อน..”
ปิดภารกิจ!
หญิงสาวหยิบแว่นกันแดดสีชาขึ้นมาสวมขณะเดินออกมาจากร้านอาหารชื่อดัง ทิ้งชายหนุ่มรูปหล่อที่มองตามเธอราวกับใจสลายก็ไม่ปานไว้เบื้องหลังโดยเธอไม่แม้แต่ชายตากลับไปมอง มือบางเปิดประตูรถแท็กซี่ที่จอดอยู่ก่อนสอดร่างบางเข้าไปนั่ง เธอพ่นลมหายใจอย่างเบื่อหน่าย ไม่ใช่ว่าเธอเป็นคาสโนวี่ที่ชอบหักอกผู้ชายเป็นว่าเล่นหรอกนะ แต่เพราะสิ่งที่เธอทำมันคือ ‘งาน’ ต่างหากล่ะ!
“ไปไหนดีครับ?” คนขับรถวัยกลางคนหันมาพูดกับเธอด้วยความสุภาพ เธอส่งยิ้มพร้อมกับบอกที่อยู่ปลายทางนั่นก็คือบ้านของเธอนั่นเอง จากนั้นรถแท็กซี่ก็เคลื่อนตัวออกไปช้า ๆ หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทแกมทอง นั่งเหม่อมองครุ่นคิดถึงงานที่เธอทำมาร่วมสามปี งานที่มีชื่อว่า Sassy Girl Club
Sassy Girl Club หรือที่รู้จักกันในนาม SG คลับ คลับเล็ก ๆ ที่ถูกก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มนักเรียนหญิงไฮสคูลกลุ่มหนึ่งซึ่งมีหน้าที่รับจ้างเอาคืนพวกผู้ชายเจ้าชู้ทั้งหลาย งานหลักของคลับคือสมาชิกในคลับทุกคนจะต้องรับภารกิจจากลูกค้าเพื่อแก้แค้นและเอาคืนผู้ชายที่เป็นเป้าหมายของลูกค้า สมาชิกทุกคนมีหน้าที่ตีสนิท สานสัมพันธ์ และทำให้เป้าหมายตกหลุมรักจนกว่าลูกค้าหรือผู้ว่าจ้างจะพอใจ หลังจากนั้นก็ตัดสัมพันธ์เหล่านั้นทิ้ง จัดการหักอกเป้าหมายให้เจ็บช้ำและให้ได้รับบทเรียนราคาแพงเฉกเช่นที่เขาได้เคยกระทำไว้กับผู้ว่าจ้างของเรานั่นเอง
และนายตั้ม.. ก็คือเป้าหมายของภารกิจนี้!
.
.
.
[บทบรรยาย : นิวเคลียร์]
“เฮ้อ~”
ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยหน่ายขณะมือบางกำลังแกะวิกผมสั้นสีช็อกโกแลตบนหัวออกด้วยความชำนาญ ทุกครั้งที่ทำภารกิจฉันจะต้องทำตามกฎเหล็กของคลับ นั่นก็คือการปลอมตัว การทำงานใน SG คลับ เราจะให้เป้าหมายรู้ไม่ได้ว่าตัวจริงของเราเป็นใคร ชื่ออะไร เพราะฉะนั้นชื่อหลิวที่นายตั้มเรียก จึงเป็นแค่ชื่อปลอมของฉันนั่นเอง!
ชื่อจริงของฉันคือนิวเคลียร์ ฉันเรียนอยู่ไฮสคูลปีสุดท้ายที่โรงเรียนนานาชาติเซนต์มารีอา ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ไม่ต้องแปลกใจว่าพวกเราทำภารกิจกันได้ยังไงโดยที่ยังไม่มีผู้ชายหน้าไหนจับได้เลยสักครั้ง ก็เพราะว่าโรงเรียนเรามีแต่ผู้หญิงไง อีกอย่างผู้หญิงที่มาเป็นลูกค้าที่น่ารักของคลับเรานั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนเราทั้งนั้นแหละ
Rrr..
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากกระเป๋าสะพายขณะฉันกำลังขึ้นบันไดไปชั้นสองของบ้าน ฉันรีบควานหาก่อนจะโดนไอ้พี่ชายตัวดีมันตะโกนด่า เนื่องจากไปรบกวนโสตประสาทขณะที่มันกำลังนอนตีพุงดูโทรทัศน์อย่างสบายใจอยู่บนโซฟาตัวโปรด
ติ๊ด!
“ฮัลโหล” เสียงกรอกรับสายเนือย ๆ
[ยัยนิว...แกอยู่ไหนวะ?] เสียงยัยน้ำชาเพื่อนรักดังมาจากปลายสาย
“อยู่บ้านดิ ทำไมย่ะ นี่ฉันเพิ่งจะเหยียบบันไดบ้านเองนะแก มีอะไรอ่ะ” ฉันเดินขึ้นบันไดต่อจนไปถึงหน้าประตูห้อง ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปท่ามกลางความมืดสลัว แอบน่ากลัวแฮะ
[อ้าว แล้วไหนแกบอกว่าจะไปบอกเลิกตั้มไง เสร็จแล้วเหรอ?]
“เออดิ ตั้มมันเบสิคสำหรับฉันอยู่แล้ว มันหลงฉันจะตาย”