“ผูกให้หน่อย” อธิศเดินมายืนตรงหน้าหญิงสาวพร้อมกับจับเรียวแขนเล็กของเธอให้โอบรอบลำตัวเข้าไปด้านหลังเผื่อผูกปมผ้ากันเปื้อนให้เขา
กิรณาที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำต้องผูกปมผ้ากันเปื้อนให้เขาแต่โดยดี ในระหว่างที่ผูกก็ไม่วายที่จะแอบสูดดมกลิ่นกายหอมของชายหนุ่มที่อยู่ใกล้จนเธออดใจไม่ไหว
“เสร็จแล้วค่ะ” เธอเอ่ยบอกเขาทันทีที่ผูกปมเสร็จ ขืนให้เธออยู่ใกล้ๆสูดดมกลิ่นกายหอมนุ่มของเขานานกว่านี้ มีหวังเลือดกำเดาได้ไหลออกมาประจานความคิดที่กำลังลามกของเธอเป็นแน่
“น่ารัก” อธิศดันแว่นที่หล่นลงมาจากสันจมูกนิดหนึ่งขึ้นให้คนตัวเล็ก เอ่ยชมร่างบางที่กำลังนั่งเขินจนใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นแดงระเรื่อขึ้นมา
“ผูกให้พี่ด้วยสิคะ” อชิระเดินมายืนแทนที่อาหนุ่มที่ย้ายตัวออกไปเปิดดูวัตถุดิบในตู้เย็น
“เอ่อ...พี่เลย์หันหลังมากะทิน่าจะผูกง่ายกว่านะคะ” เธอเอ่ยบอกให้เขาหันหลังให้แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่ยอม เพราะตอนนี้เขากำลังยืนกอดอกทำหน้าบึ้งใส่เธอ
“เข้ามาใกล้อีกนิดสิคะ กะทิผูกไม่ถึง”เมื่อเห็นแล้วว่าเขาคงไม่ยอมหันหลังให้ และคงไม่ยอมขยับไปไหนเป็นแน่หากเธอไม่ผูกผ้ากันเปื้อนให้เขา เธอจึงบอกให้เขาขยับเข้ามาใกล้อีกนิดเพื่อที่เธอจะมัดได้ถนัดขึ้นแทน
“เสร็จแล้วค่ะ” หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นบอกชายหนุ่มที่ตอนนี้กำลังฉีกยิ้มหน้าบานส่งให้เธออยู่
“พี่อยากจูบหนูจังเลยค่ะ” กิรณายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้จนมิดทันทีที่ได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด ยิ่งเขาอยู่ใกล้จนกลิ่นกายละมุนนั่นอยู่ชิดจมูก เธอยิ่งต้องระวังตัวระวังใจตัวเองเอาไว้ให้หนักขึ้นกว่าเดิม
จุ๊บ
อชิระที่ทนความน่ารักของคนตัวเล็กไม่ไหวจุ๊บลงไปเบาๆ บนหลังมือที่ปิดปากอิ่มของเธออย่างไว แล้วเดินหนีไปหยิบหม้อหยิบกระทะ ปล่อยให้คนตัวเล็กนั่งนิ่งใจหลุดลอยไปกับสัมผัสอุ่นๆ บนหลังมือเมื่อกี้
“พวกพี่ทานสิคะ มัวแต่นั่งมองหน้ากะทิแบบนี้แล้วจะไปอิ่มได้ยังไงกัน”กิรณาเอ่ยบอกเมื่อสองหนุ่มอาหลานเอาแต่นั่งจ้องหน้าเธอ ไม่ยอมทานอาหารที่พวกเขาลงมือทำกันสักที อาหารตรงหน้ามันน่าทานจนเธออยากจะตักมันเข้าปากเต็มทน แต่เพราะเจ้าของบ้านไม่ยอมทานสักทีเธอจึงได้แต่นั่งมองและสูดดมกลิ่นของความอร่อยเพียงเท่านั้น
“พี่ไม่อยากกินอาหารบนโต๊ะเลยค่ะ” อชิระที่เอาแต่นั่งเท้าคางมองคนตรงหน้าตาเยิ้มเอ่ยบอก
“อ้าว งั้นทำใหม่มั้ยคะ พวกพี่อยากกินอะไรคะ เดี๋ยวคราวนี้กะทิช่วยทำค่ะ” เธอเอ่ยถามด้วยความร้อนรนทันทีที่ชายหนุ่มบอกว่าไม่อยากทานอาหารตรงหน้า
“พี่อยากกินกะทิค่ะ” คนเจ้าเล่ห์เอ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่มที่สื่อถึงสิ่งที่เขาต้องการ
“เอ่อ หมายถึงแกงกะทิเหรอคะ”
“หมายถึงกะทิที่แปลว่าหนูต่างหาก” อธิศเอ่ยตอบแทนหลานชายที่มัวแต่นั่งตาเยิ้มมองคนตัวเล็กไม่วางตา
“…..” กิรณาก้มหน้าตักข้าวสวยในจานเข้าปากคำโต ตอนนี้ใบหน้าเธอคงแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศไปแล้ว ไม่สนแล้วว่าเขาสองคนจะอยากกินข้าวหรืออยากกินเธอ แต่ตอนนี้เธอขอก้มหน้าก้มตาทานข้าวแก้เขินก่อน
“กินกับข้าวด้วยสิคะ พวกพี่อุตส่าห์ช่วยกันทำ หนูกินแต่ข้าวแบบนี้พี่กับอาลุคก็เสียใจแย่สิคะ”
“อือออ กะทิกินแล้วค่ะ พวกพี่สองคนเลิกมองหน้ากะทิแล้วกินข้าวกันสักทีสิคะ”
“ก็ฉันอยากกินหนูมากกว่าข้าว” ยิ่งเห็นเธอเขินจนหน้าแดงอธิศยิ่งพูดให้เธอเขินอายหนักกว่าเดิม คนอะไรเขินได้น่าจับมาฟัดให้ช้ำไปทั้งตัวขนาดนี้
“กินข้าวเสร็จขอพี่กินกะทิต่อได้ไหมคะ” อชิระก็ไม่ยอมน้อยหน้า ไม่ปล่อยให้เวลาในแต่ละนาทีของตนเองสูญเปล่า ปล่อยหมัดฮุกชกเข้าไปที่ใจเธอทุกดอกที่มีโอกาส
“อืออ พวกพี่จีบกะทิกันแรงเกินไปแล้ว กินข้าวเสร็จช่วยส่งกะทิกลับบ้านด้วยนะคะ”
“ทำไมหนูต้องรีบกลับด้วยค่ะ อยู่กับพวกพี่ต่ออีกนิดไม่ได้เหรอ” เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวให้ส่งกลับบ้านอชิระถึงกับงอแงขึ้นมาทันที
“ขืนอยู่ต่อเกรงว่ากะทิจะกลายเป็นอาหารของพวกพี่สองคนเอานะสิคะ”
“ฉันจะกินหนูให้หมดทั้งตัว”อธิศตักอาหารใส่จานให้เธอแต่สายตากลับไม่ละไปจากใบหน้าหวานที่เขากำลังเปลื้องผ้าเธอทางสายตา
“..…” เมื่อสู้คนร้ายกาจทั้งสองไม่ได้เธอจึงทำได้เพียงแต่หลบสายตาคมทั้งสองคู่ ก้มหน้าก้มตาทานข้าวจนหมดจาน
“คืนนี้พี่ต้องเห็นหน้าหนูตอนช่วยตัวเองแน่เลยค่ะ” อริชระเอ่ยบอกหญิงสาวเมื่อขับรถพาเธอมาส่งถึงหน้าบ้าน
“พี่เลย์ พี่ลามกเกินไปแล้ว” หญิงสาวตั้งท่าจะเดินหนีเข้าบ้านทันทีที่คนตรงหน้าเอ่ยบอกเรื่องที่ทำให้ใบหน้าของเธอต้องร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับโดนทั้งสองหนุ่มรั้งแขนไว้คนละข้างทำให้เธอต้องยืนเขินจนตัวม้วนอยู่หน้าบ้านต่อ
“พี่ลามกตรงไหนตรงที่ช่วยตัวเองหรือตรงที่จินตนาการถึงหนูคะ” อชิระคงต้องกลับไปทำอย่างที่เอ่ยเย้าหญิงสาวจริงๆ เพราะวันนี้ทั้งวันเขาต้องข่มอารมณ์ความใคร่เอาไว้ตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ