งานวันเกิดของเอื้องคำดำเนินไปได้ด้วยดีจนถึงเวลาพลบค่ำ แสงไฟจากโคมหลากสีที่ตั้งประดับอยู่รอบบริเวณงานก็เริ่มส่องสว่างขึ้นทีละดวง
ทัศที่กำลังยืนรอคำสั่งจากปัฐทวีกับเหล่าแม่บ้าน จู่ ๆ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากด้านในของงาน ทัศหันไปทางเสียงนั้นพร้อมกับเหลือบตามองคนงานและแม่บ้านที่เริ่มเดินเข้าไปตามเสียงอึกทึก ไม่รอช้าทัศก็รีบเดินตามฝูงชนเข้าไปแล้วเขาก็พบกับปัฐทวีที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะ ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำคล้ายคนหายใจไม่ออก
“ท่าป้อเลี้ยงจะแพ้อาหารนะเจ้า”
เสียงของแม่บ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างตกใจ ทัศหันไปมองเธอด้วยสีหน้าฉงน “แพ้อาหารเหรอ?”
“แม่นเจ้า ป้อเลี้ยงเปิ้นแพ้มันกุ้งอย่างหนักเลย”
ได้ยินอย่างนั้นทัศก็วิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปหาปัฐทวีทันทีด้วยความเป็นห่วง ก่อนเขาจะรีบคว้าเข็มฉีดยาที่พกติดตัวมาด้วยในกระเป๋าด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย ซึ่งเข็มฉีดยานั้นมันเป็นอะดรีนาลีนที่ทัศเตรียมไว้ใช้สำหรับตัวเองเมื่อแพ้อาหาร และทัศก็ไม่ลังเลที่จะปักมันลงไปที่ต้นขาแกร่งของปัฐทวีโดยทันที
“อย่าเป็นอะไรไปนะคุณปัฐ”
“นี่แกเอาอะไรฉีดให้พี่ปัฐห๊ะ!!!” เอื้องคำเดินเข้ามาผลักทัศออกด้วยความตกใจ แล้วหันไปตวาดทัศเสียงดังต่อหน้าผู้คน “ถ้าพี่ปัฐเป็นอะไรขึ้นมาแกจะรับผิดชอบยังไง”
“ผมกำลังช่วยชีวิตคุณปัฐต่างหาก!!!”
เธอไม่ฟังคำที่ทัศอธิบาย อีกทั้งยังจะปรี่เข้ามาตบแต่ทัศก็คว้าแขนของเธอได้ทัน “ผมไม่ใช่วัวใช่ควายนะครับ ที่คุณจะมาตบมาตีผมได้”
“ปล่อยฉันนะไอ้ขี้ข้า!!!”
“อย่าลืมนะครับว่าผมก็มีมือมีตีนเหมือนกัน คุณตบ...ผมตบเหมือนกัน”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้ว อย่าทำอะไรเขาเด็ดขาด” ทันทีที่ทัศยกมือขึ้นมาเตรียมโต้กลับ ก็มีเสียงของปัฐทวีดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำให้เอื้องคำหันกลับไปสนใจปัฐทวีแทน
“พี่ปัฐคะ พี่ปัฐเป็นยังไงบ้างคะ”
“พี่ดีขึ้นมากแล้ว แต่พี่ว่าพี่กลับไร่ดีกว่า”
“เดี๋ยวสิคะพี่ปัฐ พี่พักที่นี่แล้วให้เอื้องดูแลจะดีกว่านะคะ”
“ไม่ได้นะครับ ต้องรีบพาคุณปัฐไปที่โรงพยาบาลก่อน” ทัศพูดขัดเสียงแข็ง
“ไม่ลำบากเอื้องคำดีกว่า” ปัฐทวีปฏิเสธก่อนจะดึงเข็มที่ปักอยู่ตรงหน้าขาออกอย่างช้า ๆ สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อยจากความเจ็บปวด
“ผมต้องขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย เชิญทุกคนสนุกกันให้ตามสบายนะครับ ผมขอตัว” เขากล่าวลาทุกคนในงานแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที พร้อมกับเดินไปคว้าแขนเรียวของทัศท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่มองมา
“เดี๋ยวสิคุณปัฐ! คุณต้องไปโรงพยาบาลก่อนนะ”
“ไม่จำเป็น”
ร่างแกร่งดึงทัศให้ออกมาจากงานนั้นโดยทันทีโดยไม่ยอมให้ทัศได้มีเวลาตอบหรือขัดขืนใด ๆ เมื่อทั้งคู่ได้กลับมาถึงบ้านปัฐทวีก็เดินนำอีกฝ่ายเข้ามาในห้องรับแขก พ่อเลี้ยงหยุดและหันไปมองทัศที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยความสงสัยก่อนจะผลักทัศให้ลงไปนั่งลงบนโซฟาอย่างแรง
“ต้องการเงินเท่าไหร่ก็ว่ามา?”
“อะไรของคุณ?”
“ที่ช่วยฉันก็เพราะอยากได้เงินไม่ใช่เหรอ?”
“ผมช่วยคุณในฐานะเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกคนหนึ่งก็เท่านั้น คุณไม่รู้จักเหรอไอ้คำว่าน้ำใจอ่ะ” พูดจบทัศก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ในลำคอ ดวงตาของเขาทอประกายขบขัน “ผมลืมไปว่าคุณมันไม่มีหัวใจ คงไม่รู้จักคำว่าน้ำใจหรอก”
“แต่มันก็ยังดีกว่าพวกหิวเงินอย่างนาย”
“คำก็หิวเงิน สองคำก็หิวเงิน คุณแค้นผมมาตั้งแต่ชาติปางไหนกันแน่คุณปัฐ ทำไมคุณต้องปฏิบัติกับผมอย่างกับผมไม่ใช่คนแบบนี้” เขากล่าวออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ที่คำถามเหล่านั้นถูกถามออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ซึ่งมันเป็นคำถามที่เขาไม่เคยได้คำตอบจากปากของคนตรงหน้าเลย
“คนโลภมาก คนหิวเงิน ฉันไม่นับว่ามันเป็นคนหรอก” พูดจบปัฐทวีก็เดินเข้าห้องนอนของตนไป ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับเงินก้อนหนึ่งในมือ “นี่ใช่ไหมสิ่งที่นายอยากได้ เอาไปสิ!”
พ่อเลี้ยงโยนเงินก้อนนั้นใส่หน้าของทัศอย่างแรง จนเงินก้อนนั้นมันได้กระจัดกระจายไปทั่ว ทัศมองตามเงินพวกนั้นที่ค่อย ๆ ร่วงหล่นลงบนพื้นทีล่ะใบ “เงินพวกนี้มันอาจจะเป็นเพียงแค่เศษเงินของคุณ แต่สำหรับผมและอีกหลาย ๆ คนบนโลกมันมีค่ามากสำหรับชีวิตของพวกเขา”
มือเรียวบรรจงหยิบธนบัตรพวกนั้นขึ้นมาทีล่ะใบ โดยที่ทุกอย่างมันฉายชัดประจักษ์ต่อดวงตาของปัฐทวี “พวกหิวเงินมันก็ชอบมีคำพูดสวยหรูกันทุกคนนั่นแหละ อย่าคิดว่าฉันจะหลงกลคนอย่างนายง่าย ๆ นะทัศ”
“คนใจหยาบอย่างคุณ มันก็คิดได้แค่ว่าคนอื่นเลวไปซะหมด คุณคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกเหรอ!”
“แต่คนใจหยาบอย่างฉันมันก็มีศักดิ์ศรีมากกว่าพวกที่ยอมทิ้งความรักเพื่อบูชาเงินอย่างนาย!!!” ปัฐทวีต่อว่าพร้อมชี้หน้าของทัศด้วยความโมโห ก่อนจะหันหลังกลับเข้าห้องไป
“คนบ้าอะไร คนเขาอุตส่าห์ช่วยขอบคุณสักคำก็ไม่มี”
มือเรียวบรรจงเก็บชาท่ามกลางแสงแดดจัด ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่วันที่เดือนแล้วที่เขาไม่ได้รับการติดต่อจากที่บ้าน ครั้นจะโทรไปหาแต่โทรศัพท์ก็โดนพ่อเลี้ยงยึดไป
“พี่ครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
คนงานที่เก็บชาอยู่ข้าง ๆ พยักหน้าให้เล็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
“คนที่นี่เขาลงไปข้างล่างกันยังไงเหรอครับ?”
“ขี่รถลงไป๋”
“แล้วถ้าเกิดว่าผมอยากจะลงไปข้างล่างล่ะครับ?”
“อืม...เตี้ยง ๆ อ้ายจะลงไป๋ซื้อข้าวของเครื่องใจ๊พอดี ตั๋วจะลงไปกับอ้ายก๋า?”
“ได้เหรอครับ งั้นรบกวนด้วยนะครับพี่”
“บ่าเป็นหยัง คนกันเอง” คนงานว่าพลางตบไหล่ของทัศเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อ
ในเวลาเที่ยงวันทัศและคนงานลงจากเขาไปในเมืองด้วยรถซาเล้ง ที่ทัศต้องการลงไปเพียงเพราะอยากจะโทรหาพ่อของตนเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เพราะนี่ถือเป็นโอกาสเดียวที่ทัศจะได้โทรหาพ่อของเขาที่ไม่ได้ติดต่อกันมาหลายเดือนแล้ว พร้อมโอนเงินที่ได้จากพ่อเลี้ยงปัฐ แล้วส่งกลับไปให้พ่อเพื่อให้ท่านได้ใช้จ่ายค่ายาค่ารักษา
“ขอบคุณนะครับพี่ ถ้าพี่มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้เลยนะครับ” ทัศกล่าวขอบคุณคนงานอย่างสุภาพทันทีเมื่อรถจอดสนิทที่ไร่หลังจากการลงไปในเมือง
“บ่าเป็นหยัง อ้ายเอารถไปเก็บก่อนเน้อ” ว่าแล้วเจ้าของรถก็ขับเข้าไปทางบ้านพักของตนเอง
“ไปไหนมา?”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง ทัศก็รู้ได้ทันทีเลยว่านั่นคือเสียงของมัจจุราชอย่างพ่อเลี้ยงปัฐทวี “ผมลงไปโทรหาคุณพ่อมา แล้วก็ทำธุระส่วนตัวที่ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
“ปากดีนักนะ แต่นายลืมไปแล้วเหรอว่าฉันเป็นสามีของนาย ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาย”
“แค่ในนามผมไม่นับ ผมอยู่ที่นี่ในฐานะคนงานคนหนึ่งเท่านั้น อย่าลืมสิครับพ่อเลี้ยงปัฐทวี”
“ฉันไม่มีเวลามาต่อปากต่อคำกับนายหรอกนะทัศ แล้วถ้านายยังทำให้ฉันเสียเวลาอีก นายจะไม่ได้กลับไปหาพ่อของนายได้ครบสามสิบสองแน่ จำใส่กะโหลกของนายเอาไว้ด้วย”
“งั้นก็พูดธุระของคุณมาสิครับ”
“นายต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้” เขาว่าก่อนจะคว้าแขนของทัศเอาไว้แน่น หมายจะลากอีกฝ่ายให้ไปกับตน
“จะเอาผมไปไหน?”
“แม่ฉันมาที่บ้าน นายต้องเข้าไปทักทายท่าน แล้วค่อยออกมาทำงานต่อที่ไร่”
“ในสภาพนี้?”
ดวงตาคมดุมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ชุดคนงานสกปรกที่เต็มไปด้วยคราบดินและเหงื่อ ดูไม่เข้ากับภาพลักษณ์ของนายใหญ่เลยสักนิด แล้วถ้าแม่ของเขาเจอทัศในสภาพแบบนี้ เขาคงโดนดุเสียยกใหญ่
“เดี๋ยวฉันจะพานายไปเปลี่ยนชุดที่บ้านเล็กก่อน แล้วค่อยไปที่บ้านใหญ่”
“คุณก็ปล่อยผมก่อนสิ ผมเดินเองได้”
ปัฐทวีคลายมือออกจากแขนของทัศพร้อมยกมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญญาณว่าเขาจะไม่บังคับทัศ “ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะแตะเนื้อต้องตัวนายสักเท่าไหร่หรอกนะ”
“ครับ ผมรู้ดี” ร่างสูงกลอกตามองบนเล็กน้อย แล้วเดินไปยังบ้านเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่
ไม่นานนักทัศก็ออกมาในชุดเสื้อล้านนาเนื้อผ้าบางเบาทอลายละเอียดสวมทับกับเสื้อแขนยาวปลายแขนกว้างเล็กน้อย พร้อมกางเกงสะดอสีน้ำเงินหลวมพอดีตัวโดยที่ชายกางเกงปล่อยให้เป็นระบายยาวลงถึงข้อเท้า
เมื่อปัฐทวีเห็นทัศในชุดนี้ ดวงตาคมของเขาก็เบิกกว้าง ราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ทำให้ริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ทัศขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย “ทำไมครับ มันตลกมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“อะไร?”
“ก็เห็นว่าคุณยิ้ม ก็เลยคิดว่าตลก”
ปัฐฟังแล้วก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง “ฉันไม่ได้ยิ้มให้นาย ฉันยิ้มให้ชุด”
“ครับ แล้วเราจะไปกันเลยไหม?”
“อืมไปสิ แต่ก่อนจะไปนายต้องควงแขนของฉันก่อน”
ทัศหยุดชะงักแล้วส่ายหัวไปมาอย่างงุนงง “จะให้ผมควงแขนคุณทำไม ผมว่ามันไม่จำเป็นเลยนะ”
“จำเป็นสิ เพราะแม่ฉันเขาขี้สงสัยมาก”
“แต่เราสองคนแต่งงานกันตามสัญญา คุณแม่ของคุณก็น่าจะรู้ดีนิ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องโกหกท่านเลย”
“อย่าถามให้มากความได้ไหม ฉันสั่งให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ มันคงไม่ทำให้นายตายหรอก”
“ปากทำด้วยอะไรกันแน่ ชาติก่อนเกิดเป็นพริกหรือไง!” ทัศหันไปบ่นพึมพำกับตัวเองไม่ให้พ่อเลี้ยงเห็น ก่อนจะยกมือขึ้นเกาะแขนแกร่งด้วยความไม่เต็มใจ