ตอนที่ 7
ตะวันตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ไหนจะต้องท่องคาถา “อย่าพูดไทยในยามหลับ” ซ้ำ ๆ จนสมองแทบไหม้
เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะสะบัดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ทอดสายตามองรอบห้องอย่างหวาดระแวง
“ไม่อยู่แล้วเหรอ...” เธอพูดกระซิบเบา ๆ พลางเหลียวหาเงาท่านแม่ทัพสุดหล่อ
‘เมื่อคืน...ยังรอดอยู่ ยังไม่เสียตัว’
เธอพึมพำในใจ ก่อนจะเบ้ปากน้อย ๆ
‘ถึงแม้ในใจจะอยากเสียมากก็ตาม...อิอิ คิดบ้าอะไรของแกวะตะวัน!’
ประตูไม้บานงามถูกเคาะเบา ๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเสียงคุ้นหูจะดังขึ้น
“ฮูหยินเจ้าขา~ เสี่ยวผิงเอาน้ำล้างหน้ามาให้เจ้าค่ะ”
“ดะ...เดี๋ยวนะ!” ตะวันร้องสวนทันที
“เจ้าคะ?”
เธอขมวดคิ้วแน่น “เมื่อกี้เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
เสี่ยวผิงกะพริบตาปริบ ๆ แล้วตอบอย่างไร้พิษภัย
“ก็...ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านกับท่านแม่ทัพเข้าหอกันแล้ว จะให้ข้าเรียก ‘คุณหนู’ เหมือนเดิม มันคง...ไม่เหมาะเท่าไรกระมังเจ้าคะ?”
“เอ่อ...”
สมองของตะวันประมวลผลไม่ทัน เธอนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหลุดหัวเราะแห้ง ๆ
“ฮะ ๆ อืม...ก็...ตามนั้นก็ได้”
เสี่ยวผิงยิ้มตาหยีอย่างพอใจ เดินเข้ามาวางกะลาน้ำไว้บนโต๊ะข้างเตียงอย่างคล่องแคล่ว
“หากฮูหยินต้องการสิ่งใด บ่าวจะรออยู่หน้าห้องนะเจ้าคะ”
“อือ ขอบใจนะเสี่ยวผิง”
ประตูปิดลงอย่างเบามือ ตะวันก็ก้มหน้าฟุบกับหมอนทันที
‘โอ้โห! แค่เข้าหอแล้วคนนับถือเป็นเมียเลยเหรอ! โลกโบราณมันไวไปมั้ยวะเนี่ย!’
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกไปล้างหน้า น้ำเย็นเฉียบช่วยให้รู้สึกตัวขึ้นมานิดหน่อย
‘เอาล่ะตะวัน... วันนี้เธอคือ “ฮูหยินแม่ทัพ” แล้วนะ จะซุ่มซ่ามเหมือนอยู่คอนโดไม่ได้อีกต่อไป’
ตะวันในร่าง หลินเหยียนหรง เพิ่งจะวางจอกน้ำขิงลง ยังไม่ทันจะขยับกายลุกจากตั่งนั่ง เสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้นพร้อมเสียงวุ่นวายจากหน้าห้อง
ไม่ทันตั้งตัว สาวใช้ในชุดจวนแม่ทัพ ก็พรวดพราดเข้ามา พร้อมกับชายบ่าวอีกสองสามคนที่กรูกันเข้าไปยกหีบสัมภาระภายในเรือน
“เดี๋ยว ๆ ๆ พวกเจ้าจะทำอะไรกัน?!” หลินเหยียนหรงเบิกตากว้าง รีบถลาไปขวางหน้าหีบผ้าแทบไม่ทัน
สาวใช้ผู้มาก่อนรีบโค้งคำนับทันที
“เรียนฮูหยิน…ท่านแม่ทัพซือหยางมีรับสั่งให้ข้าย้ายข้าวของของท่านไปยังเรือนใหญ่เจ้าค่ะ”
“หา?! เรือนใหญ่เหรอ?!”
หลินเหยียนหรงแทบจะหลุดเสียงสูง
“เจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพกล่าวว่า…ฮูหยินควรย้ายเข้าไปอยู่เรือนเดียวกับท่าน ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป”
“เมื่อวานยังไล่ข้าออกแท้ ๆ วันนี้มาจะให้ข้าย้ายเข้าไปอยู่ด้วย?! นี่เขาจะเล่นละครอะไรกันแน่!”
เธอหันขวับไปหา เสี่ยวผิง คนสนิทที่ยืนหลบมุมเสาเหมือนกำลังขำกลิ้งในใจ
“เสี่ยวผิง เจ้ารู้อะไรบ้างมั้ย!”
เสี่ยวผิงยกมือป้องปาก แววตาวิบวับก่อนตอบเบา ๆ
“เอ่อ...เมื่อคืนท่านแม่ทัพกลับมา เห็นเรือนของฮูหยินมืดสนิท ไม่มีแม้แสงเทียนสักดวง ท่านเลย...ดูเหมือนจะไม่สบอารมณ์มากนักเจ้าค่ะ”
“ไม่สบอารมณ์เพราะเรือนข้าไฟดับงั้นเหรอ? เกี่ยวอะไรกะเขาไม่ทราบ!”
“อาจจะ...เพราะกลัวว่าท่านจะกลัวความมืดกระมังเจ้าคะ” เสี่ยวผิงพูดพร้อมยิ้มแหย ๆเพราะนางเองก็คาดเดาๆไปมั่ว ๆให้เจ้านายสบายใจ
หลินเหยียนหรงนิ่งไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะเบ้ปากและอ้าปากจะพูดต่อ
ทว่า!
“ไม่ต้องถามเสี่ยวผิงให้มากความหรอก!”
เสียงทุ้มห้าวของชายหนุ่มดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทำเอาหลินเหยียนหรงสะดุ้งเฮือก หันขวับไปมองร่างสูงในชุดแม่ทัพที่ก้าวเข้ามาในเรือนราวกับเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างแท้จริง
ซือหยาง ยืนนิ่งราวรูปสลัก หางตาคมตวัดมองนางครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ต่อไปนี้เจ้าต้องย้ายมาอยู่ที่เรือนใหญ่”
“เพื่อ?” หลินเหยียนหรงเลิกคิ้วสูงอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง
“เพื่อหยุดคำครหานินทา” เขากล่าวอย่างราบเรียบ ก่อนก้าวผ่านนางไปยืนหน้าตั่งกลางห้อง “ข้าไม่ต้องการให้ข่าวลือในเมืองหลวงสร้างปัญหาให้ตนเองไปมากไปกว่านี้”
เงียบ...
ตะวันในร่างเหยียนหรงยืนอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหลุดถอนหายใจยาวพรืดออกมาอย่างอดกลั้น
เธอควรจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะพูดแบบนี้
‘นึกว่าจะพูดอะไรซึ้ง ๆ แบบว่า “กลัวเจ้าจะลำบาก” หรือ “ห่วงว่าเจ้าจะอยู่คนเดียวไม่ได้” ที่ไหนได้…ที่แท้ก็แค่กลัวโดนสังคมเมืองหลวงเมาท์เหรอ!’
เธอปรายตามองเสี่ยวผิงซึ่งรีบหลบตาแทบไม่ทัน แล้วหันกลับไปจ้องแม่ทัพหน้านิ่งที่ทำราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องงานราชการ
‘นี่มันคนหรือเสาหิน!’
“เจ้าจะย้ายไม่ย้าย?” ซือหยางถามสั้น ๆ
“โอ้โห ไม่ให้ข้าคิดบ้างเลยหรือ?” เหยียนหรงตอบพลางยกมือเท้าสะเอว “จะเอาแต่ใจไปหน่อยหรือเปล่า ท่านแม่ทัพ!”
“ข้าไม่ได้ขอความเห็นเจ้า” เขาหันกลับมามองนางเต็มตา สีหน้าไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย “นี่คือคำสั่ง”
“โอ้โหหหหห...” หลินเหยียนหรง or more accurately, ตะวันในร่างหลินเหยียนหรงลากเสียงยาวอย่างเหลืออด ก่อนส่งยิ้มแห้งแล้งไปยังร่างสูงสง่าเบื้องหน้า “แล้วท่านคิดหรือว่าแค่ย้ายเรือนไปอยู่ด้วยกัน จะหยุดพวกปากมากในเมืองหลวงได้?”
ซือหยาง แม่ทัพใหญ่ผู้ครองตำแหน่งอันทรงอิทธิพล เหลือบมองนางด้วยแววตาเยียบเย็น มือไขว้หลังยืดตรงเหมือนกำลังยืนบัญชาทัพ
“ได้ผลมากพอ...ที่จะทำให้เจ้าหยุดส่งจดหมายไปฟ้องใครต่อใครได้”
คำว่า ฟ้อง ทำเอาหลินเหยียนหรงถึงกับสะอึก กะพริบตาปริบ ๆ อย่างคนตามไม่ทัน
“ฟ้อง? ข้า...ฟ้องใครเหรอ?”
“คราก่อนเจ้าเคยเขียนจดหมายร้องเรียนข้าไปถึงเสนาบดีกรมพิธีการ กล่าวหาว่าข้าล่วงเกินเจ้า” ซือหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น แต่ทุกคำชัดเจนราวตอกตะปูใส่หีบ
“ยังไม่พอ...” เขาก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด “เจ้ายังเคยส่งสารลับไปกล่าวโทษอนุภรรยาของท่านอัครเสนาบดี...ว่าแอบวางยาในสุราของฮ่องเต้ในงานพระราชพิธี”
ตะวันในร่างหลินเหยียนหรงถึงกับอ้าปากค้าง
‘โอ๊ยยยย…เจ๊เหยียนหรงเอ๊ยยยย! เธอไปทำกรรมอะไรไว้บ้างเนี่ย! จะฟ้องร้องใครทำไมขนาดนั้น ฟ้องระดับประเทศเลยนะนั่น!’
“นี่ยังไม่นับที่เจ้าสร้างเรื่องกล่าวหาองค์หญิงฉีเหยียนว่าแอบหลงรักข้า” ซือหยางเสริมเสียงเรียบ ทว่าแววตาแฝงไปด้วยความเอือมระอาอย่างปิดไม่มิด
“อ๊าาาา!!” ตะวันร้องในใจแล้วเอามือกุมขมับ “หลินเหยียนหรง… เจ้าเป็นตัวอะไรของโลกใบนี้กันแน่!”
ภายนอกเธอยังพยายามรักษาภาพลักษณ์ไว้ไม่ให้ดูเพี้ยนจนเกินไป จึงยิ้มบาง ๆ พร้อมหัวเราะแห้งแทน
“แหะๆๆ ท่านแม่ทัพจำผิดหรือเปล่า...ข้าไม่น่าทำอะไรแบบนั้นนะ...”
“ข้ามีหลักฐานทั้งหมดเก็บไว้ที่เรือนด้านตะวันออก หากอยากรื้อฟื้น ข้ายินดีจัดให้”
ตะวันถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอ
‘โอเค...สรุปคือ เจ้าของร่างเดิมเป็นนางร้ายสายฟ้อง ฟ้องไม่เลือก ฟ้องไปทั่วแคว้นแบบไม่เกรงใจบัลลังก์มังกรเลยทีเดียว’
เสี่ยวผิงที่ยืนอยู่ด้านข้างทำหน้าอึ้งไม่ต่างกัน รีบหันหน้าหนีแล้วกระแอมเบา ๆ
“ย้ายเรือนไปอยู่กับข้าเสียที จะได้ไม่มีใครสงสัย และเจ้าจะได้ไม่ต้องก่อเรื่องเพิ่มอีก” ซือหยางตัดบทด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“นี่ข้ากำลังถูก...กักบริเวณกลาย ๆ ใช่หรือไม่?” ตะวันหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด
ซือหยางไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มบางเฉียบที่ผุดขึ้นตรงมุมปาก
‘ผู้ชายบ้านี่...ไม่สุภาพบุรุษเอาเสียเลย!’
แต่ตะวันก็จำต้องยอมไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะเธอกลัวเหล่าหลักฐานพวกนั้นมากกว่า!