ตอนที่ 13 ตบมา...ตบกลับไม่โกง!!!(1/2)

1245 คำ
ห้องทำงานส่วนตัวของท่านฑูต ณ สถานทูตไทย กรุงลอนดอน ห้องทำงานหรูเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกากรุกกรักบนผนัง กับเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดจากปลายนิ้วของชายวัยกลางคนในชุดสูทเรียบเนี้ยบ ท่านฑูตดิลก วัฒนสกุล นั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป ดวงตาคมดุดันภายใต้แว่นกรอบบาง ขมวดคิ้วมองหน้าจออย่างเคร่งเครียด ประตูเปิดออกเบา ๆ คุณปาริฉัตร ภรรยาของเขาในชุดผ้าฝ้ายเรียบหรู เดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ สีหน้าไม่ต่างกัน “พวกเขาส่งมาอีกแล้วเหรอคะ?” เธอเอ่ยเบา ๆ ขณะวางแฟ้มลงบนโต๊ะ ท่านฑูตดิลกพยักหน้า ก่อนหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้ดู เป็นข้อความภาษาอังกฤษ พร้อมโลโก้ปลอมแปลงของกลุ่มหัวรุนแรงกลุ่มหนึ่ง “ ‘We will burn every flag. No diplomacy. No exceptions.’ ” “ (เราจะเผาธงทุกผืน ไม่มีการทูต ไม่มีข้อแม้) ” “พวกมันส่งไปให้สถานทูตทุกประเทศรอบยุโรปแล้ว ภายใต้ชื่อกลุ่ม ‘Black Dawn’ ” ปาริฉัตรเม้มริมฝีปาก เธอเข้าใจความหมายของข้อความนั้นทันที ดวงตาสวยสะท้อนความไม่สบายใจอย่างชัดเจน “ไม่ใช่แค่ขู่แน่ ๆ …” “พวกมันมีข้อมูลข้างในมากกว่าที่เราคิด” “...มีรายชื่อครอบครัวของเจ้าหน้าที่แนบมาด้วยใช่มั้ย?” ท่านฑูตไม่ตอบ แต่เลื่อนหน้าจอลงช้า ๆ ชื่อของเธอ และ “Maysa Watanasukul” ขึ้นมาเด่นชัด พร้อมโลโก้สถานทูตไทยอยู่ด้านบน ปาริฉัตรเบิกตาเล็กน้อย “พวกมันรู้ว่าเมษาเป็นลูกเรา…” เธอกัดริมฝีปากแน่น สีหน้ากลายเป็นแม่หมีทันที “ฉันจะบินกลับไทยไปหาลูก” “เราฝากลูกไว้กับตระกูลโชติธาดา พวกเขาดูแลได้แน่ แต่…ฉันจะไม่รอจนทุกอย่างสายเกินไป” “คนพวกนี้…มันไม่ได้แค่เล่นสงครามข่าวสาร” ท่านฑูตถอนหายใจยาว “ถ้าเธอกลับไทยตอนนี้ เราจะเสี่ยงถูกจับตาทั้งครอบครัว—” “ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัย แต่มันจะกระทบถึงสถานทูตโดยตรง” เธอเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็ไม่ต้องให้ฉันกลับในนาม ‘ภริยาท่านฑูต’ สิคะ” “ฉันกลับในนาม ‘ลูกสาวตระกูลไทระ’ ก็ได้” คำพูดนั้นทำเอาท่านฑูตนิ่งไปนิดหนึ่ง ดวงตาคมกร้าวสบกับภรรยาอย่างรู้ดีว่า...ถ้าตระกูลไทระต้องออกหน้า—พวกนั้นต้องเผาศัตรูจนทุกอย่างพังไม่มีเหลือ “ฉัตร…” “เธอเลิกเป็น ‘ไทระ’ ไปตั้งนานแล้ว” “ฉันแค่เก็บดาบไว้ ไม่ได้ทิ้งมันนะคะ” ท่านฑูตดิลกยังคงจ้องตาภรรยาเงียบ ๆ หลังประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากเธอ รอยยิ้มบางปรากฏบนมุมปากของเขา ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปคว้ามือเรียวขึ้นมาช้า ๆ ก้มลง…จูบหลังมือเธออย่างแผ่วเบา “ฉัตร…เมษาเป็นเด็กฉลาด” “เธอรู้จักแยกแยะ และระวังตัวเก่งกว่าที่เราคิด” “ที่สำคัญ—มีอคินอยู่ด้วย” ปลายนิ้วของเขาลูบไล้หลังมือของเธอเบา ๆ พร้อมสายตาจริงจัง “เราแจ้งอคินให้ระวังมากขึ้น…ตอนนี้รอดูสถานการณ์ไปก่อน” “อย่าเพิ่งเปิดเกมรุก…เรายังไม่เห็นไพ่ตายของอีกฝ่าย” ปาริฉัตรยังดูไม่คลายกังวลนัก แต่ความอบอุ่นจากสัมผัสของสามีก็ค่อย ๆ ปลอบโยนความตึงเครียดลง “คุณพูดแบบนี้ทุกครั้ง…จนฉันเผลอใจอ่อนทุกทีเลยนะคะ” เธอยิ้มมุมปากเล็กน้อย มือข้างที่ถูกกุมไว้ยกขึ้นลูบใบหน้าคมของเขาแผ่วเบา “เพราะทุกครั้ง…ฉันพูดความจริง” ท่านฑูตกระซิบ ก่อนจะโน้มตัวลง—กดจูบลงที่หน้าผากของเธออย่างอ่อนโยน แล้วเลื่อนริมฝีปากลงมาที่พวงแก้ม ไล้ไปตามแนวคางมนอย่างแผ่วช้า ดวงตาหวานของปาริฉัตรปรือเล็กน้อย ขณะปลายนิ้วเธอไล้ไปตามสาบเสื้อสูทของเขา “คุณจะปลอบใจฉันแบบนี้ทุกวันไม่ได้นะคะ…” ท่านฑูตหัวเราะเบา ๆ เสียงทุ้มเจือเสน่ห์คุ้นเคย ก่อนจะเลื่อนมือโอบเอวเธอเข้ามาแนบตัว—กลิ่นหอมจากผิวกายของหญิงสาวที่เขารักมาทั้งชีวิตยังคงทำให้ใจเต้นได้เหมือนวันแรก “คืนนี้…เรายังมีเวลาอีกนิด” “แต่พรุ่งนี้...ต้องประชุมแต่เช้าไม่ใช่หรือคะ?” เธอแกล้งถามเสียงแผ่ว “ถ้าพรุ่งนี้เหนื่อย...งั้นวันนี้ให้ผมหายคิดถึงก่อนได้ไหมครับ?” เขากระซิบที่ข้างหู ก่อนจะพาเธอถอยหลังไปยังโซฟาเบดตัวยาวหลังห้อง เสียงหัวเราะเบา ๆ กับจูบอ่อนหวานเริ่มกลายเป็นจังหวะลมหายใจที่ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ แสงไฟนวลสีส้มบนโต๊ะทำงานสะท้อนเงาสองร่างที่โอบกอดกันแนบแน่น ค่ำคืนในลอนดอนยังคงเงียบ…แต่ภายในห้องนี้กลับเต็มไปด้วยไออุ่นของความรักและความห่วงใยที่ไม่มีวันจาง 🌸🌸🌸 หลังจากเหตุการณ์ ร่วง-แล้ว-ได้กอดพี่ (แถมได้ถูกอุ้มกลับบ้าน!) เมษาก็ลั้นลาราวกับคนเพิ่งถูกหวยสามงวดติด 😌 แต่ที่เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าคือ… คีตะเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์มอนสตาร์คู่ใจ เป็นรถหรูสัญชาติอิตาลี ‘Verrani’ สีดำด้าน เงาวับจนนึกว่ารถล่องหนจากเจมส์บอนด์ จริง ๆ แล้วคือ แม่ของพี่คีตะบอกว่าขี่บิ๊กไบค์อันตรายเกินไป…แต่เมษาชอบคิดว่าเปลี่ยนเพราะเธอ ยิ่งคีตะทำแบบนี้ยิ่งทำให้เหล่าบรรดาแฟนคลับของเขายิ่งไม่พอใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มของแพรว “น่าหมั่นไส้เป็นบ้า…” แพรวกัดเล็บพลางมองผ่านกระจกตึกเรียนอย่างหัวเสีย สายตาเธอไม่ละไปจากภาพตรงหน้า—คีตะประคองเมษาลงจากรถ Verrani คันหรูอย่างอ่อนโยน ก่อนจะส่งต่อให้เพื่อนของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล “ดูสิ! ทำตัวติดกับพี่คีตะอยู่ได้ทุกวัน!” “ให้ตายเหอะ กูอยากเอาแก้วปาใส่หน้า” แนนบ่นพลางเบะปาก “เอาไงดี ตบมันเลยดีมั้ย?” มุกที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบพูด “ฉันแกล้งมันไปแล้วนะ แต่พี่คีดันโผล่มารับไว้ทันอีก” “แกทำอะไรก็พลาดตลอดแหละ ยัยมุก” แพรวปรายตามองอย่างหงุดหงิด สีหน้าชัดเจนว่าไม่พอใจทั้งสถานการณ์และทีมงานไร้ฝีมือ “ตอนเย็นพี่คีตะต้องซ้อมบาสใช่ป่ะ?” แนนเสนอแผนอีกครั้ง “เราล่อมันไปหลังสนามบาสมั้ย จังหวะดี ไม่มีคน” แพรวเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจชื่อดัง แม่ของเธอแยกทางกับพ่อตั้งแต่เด็ก ทำให้พ่อของเธอสปอยและเอาใจเธอมาก ไม่ว่าเธอจะทำอะไรผิดแค่ไหน บารมีของพ่อเธอก็คอยปกป้องตลอด ทำให้ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับเธอ แพรวนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนแสยะยิ้มบาง ๆ แบบที่ไม่มีใครอยากเห็น “เอาสิ...แค่ให้เจ็บพอจำได้ก็พอ เดี๋ยวฉันจะเป็นคน ‘เจอ’ มันนอนสลบเอง แล้วไปบอกพี่คีตะ” “เนียนว่ะ…” แนนพยักหน้าชื่นชม “ฉันจะทำเป็นตกใจ เสนอพาไปห้องพยาบาล แล้วอยู่เฝ้าให้...” แพรวกระตุกยิ้มมุมปาก “รับรอง...พี่คีตะต้องเห็นใจและใจอ่อนกับฉัน” “แล้วถ้าเพื่อนมันมาด้วยล่ะ?” “ตบมันทั้งคู่” แพรวพูดอย่างเลือดเย็น “มันจะได้เข้าใจซะทีว่า พี่คีตะ...ไม่ใช่ของพวกมัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม