📚 ฝนแรก… ร่มเดียว ·˚ ༘┊͙

2017 คำ
📚“12” ·˚ ༘┊͙ เย็นวันนั้น หลังซ้อมบาส พิมเดินออกจากยิมพร้อมเสียงหัวเราะของกันต์ที่ค่อย ๆ ไกลไป พอประตูปิด ความเย็นก็ปะทะหน้า กลิ่นดินชื้นบอกว่าฝนกำลังมา เธอยืนอยู่หน้าตึก มองฟ้าสีเทาที่มืดเร็ว ลมแรงพัดป้ายโยก ใบไม้เสียดสีกันเสียงดัง เธอก้มมองหากระเป๋า…ไม่มีร่ม “แน่เลย…ลืมอีกแล้ว” เธอบ่นกับตัวเอง ไม่แปลกใจนัก เพราะร่มคือสิ่งที่เธอมักลืม วันนี้ก็ต้องไปเอาหนังสือที่อีกตึก ฟ้าแลบ เสียงฟ้าครืนตามมา เธอคิดว่าคงต้องรีบเดินให้ทัน แต่ก้าวไม่กี่ก้าว หยดแรกก็ตกกระทบแขน ก่อนจะกลายเป็นฝนหนักราวกับเทน้ำ พิมถอยกลับเข้าใต้กันสาด น้ำกระเซ็นใส่รองเท้า เสียงฝนดังจนแทบไม่ได้ยินอะไร เธอหยิบมือถือขึ้นมา ไม่มีร่ม ไม่มีเพื่อนให้ขอยืม เพราะแยมกลับไปแล้ว “ลืมร่ม?” เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง พิมหันไป—ธันวายืนอยู่ ห่างสองก้าว ใส่เสื้อฮู้ดสีกรม กางเกงวอร์ม ถือร่มสีดำที่ยังปิดอยู่ “ค่ะ” เธอตอบทั้งที่รู้ว่าเขาเดาออกแล้ว เขาเงยหน้ามองฟ้า ก่อนเปิดร่ม เสียงก้านเหล็กดังแชะ แล้วส่งมาให้เธอ พิมอึกอัก “แล้วพี่ล่ะคะ?” “เดินด้วย” เขาพูดสั้น ๆ ก่อนขยับเข้ามา ร่มถูกยกสูงบังทั้งคู่ เอียงมาทางเธอนิดหน่อย ฝนซัดแรง พื้นเต็มไปด้วยแอ่งน้ำ เสียงฝนดังกลบทุกอย่าง เหลือเพียงเสียงรองเท้าสองคู่ที่ก้าวไปพร้อมกัน พิมก้าวระวังเพราะทางลื่น เธอเหลือบมองเขา—ยังเดินนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสื้อฮู้ดเปียกละอองนิด ๆ ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้อง “ครืนนน!” ดังหนักจนพื้นสะเทือน พิมสะดุ้งในใจ แต่เก็บอาการไว้ “กลัวฟ้าร้องไหม” เขาถามขึ้น “ไม่ค่ะ” เธอส่ายหัว เขามองมือที่เธอกำกระเป๋าแน่น “แต่แขนสั่น” พิมหัวเราะเบา “อากาศเย็นค่ะ” เขาไม่พูดต่อ แค่เลื่อนร่มบังทางที่ฝนสาดแรงขึ้น และขยับให้เธอเดินด้านในฟุตปาธ ไม่มีคำพูดเพิ่ม แต่ไม่อึดอัด เสียงฝนทำหน้าที่แทนบทสนทนา ระยะห่างกำลังดี ไม่ชิดเกินไป แต่ใกล้พอให้เธอรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้าง ๆ ในหัวพิมคิดว่าภาพนี้คงจำไปอีกนาน—ร่มสีดำ ฝนแรกของเทอม กลิ่นฝนปนกลิ่นสบู่สะอาดจากเสื้อเขา และคำถามสั้น ๆ ที่เหมือนใส่ใจมากกว่าคุย จนถึงหน้าตึกเรียน ไฟสว่างตัดกับฟ้ามืด ธันวาหยุด “เข้าตึก” พิมรับร่มจากเขา “แล้วพี่ล่ะคะ?” “เดี๋ยวไปต่อ” เขาตอบเรียบเหมือนไม่มีอะไรพิเศษ พิมยิ้ม “ขอบคุณค่ะ” เขาพยักหน้าแล้วเดินกลับ ร่มยังอยู่ในมือเธอ เขาไม่เอากลับ เธอมองตามแผ่นหลังที่ค่อย ๆ จางในม่านฝน ก่อนก้มดูร่มสีดำในมือ หัวใจเธอชื้นกว่าร่มด้วยซ้ำ เธอยกมันขึ้นหมุนเบา ๆ แล้วก้าวเข้าตึก เสียงฝนยังดังอยู่ข้างนอก แต่ในใจเธอได้ยินจังหวะหัวใจตัวเองชัดกว่าเดิม—โป๊ก โป๊ก โป๊ก—คล้ายเสียงหยดฝนกระทบผืนร่ม ࿐ ࿔*:・゚ 📚“13” เชียร์ข้างสนาม 📣 เช้าวันเสาร์ ท้องฟ้าเปิดใสเหมือนไม่มีวี่แววว่าฝนเคยตกเมื่อวาน ลานหน้าอาคารกีฬาถูกประดับด้วยผ้าสีส้มขาวตัดกัน คนเริ่มทยอยเข้ามา เสียงคึกคักดังทั่วสนาม วันนี้คือแมตช์กระชับมิตรระหว่างชมรมบาสกับศิษย์เก่า พิมยืนอยู่ในห้องน้ำหญิง มองป้ายเชียร์ในมือแล้วหัวเราะเบา ๆ ป้ายกระดาษฟิวเจอร์บอร์ด A3 พื้นสีครีม เขียนด้วยปากกาเมจิก “THANWA 29” มีวาดสายฟ้าเล็ก ๆ มุมขวา เธอตั้งใจทำให้ดูเรียบง่าย แต่สุดท้ายก็แอบติดสติกเกอร์ลูกบาสเล็ก ๆ มุมล่างอยู่ดี เธอยกป้ายขึ้น ลองกะระดับสายตา “ไม่บังคนหลัง” แล้วจัดผมหางม้าให้แน่น ยิ้มให้กระจก วันนี้ไม่ได้ทำงานโต๊ะสกอร์ แต่ขอเป็นกองเชียร์เต็มตัว ก่อนวิ่งออกไปยังโถงสนาม ในคอร์ต นักกีฬากำลังวอร์ม รุ่นพี่ศิษย์เก่าหยอกล้อกับน้อง ๆ เสียงรองเท้าครูดพื้นไม้ดัง “คี๊ด คี๊ด” กันต์เดินมาหา “โห น้องพิม ป้ายเชียร์ทำเองเหรอ กลิ่นเมจิกยังหอมอยู่เลย” พิมยิ้ม “ทำเมื่อคืนค่ะ พี่จอมให้พักงานสกอร์ เลยขอเป็นกองเชียร์แทน” กันต์ยกนิ้วโป้ง “ถูกต้องที่สุด ต้องยืนข้างสนามฝั่งม้านั่งทีมเรา เวลาพักหรือเปลี่ยนตัว เขาจะเห็นพอดี” พิมหัวเราะ “ขอให้เป็นธรรมชาติด้วยนะคะ” “ธรรมชาติแน่นอน แต่ผ่านการคำนวณแล้ว” กันต์ทำหน้าทะเล้น “ไป เดี๋ยวพาไปยืนตำแหน่งทอง” เธอเดินตามไปที่เส้นข้างสนาม ยืนหลังเส้นกันชนกับกลุ่มรุ่นพี่ฝ่ายสื่อ กันต์ชี้พื้น “ตรงนี้แหละ” พิมผูกเชือกผ้าใบเล็กเข้ากับป้ายกันหล่น หยิบขวดน้ำสองขวดวางข้างขาตั้งไว้ เสียงนกหวีดกรรมการดังขึ้น นักกีฬาสองทีมเดินเข้ากลางสนาม พิมเห็นธันวาในเสื้อทีมสีน้ำเงินกรม เบอร์ 29 เทปข้อมือยังอยู่เหมือนเดิม เขาไม่ได้เด่นจนแย่งสายตาทุกคน แต่เวลายืนในคอร์ตเหมือนทุกอย่างนิ่งลงรอเขา พิมยกป้ายขึ้นระดับอก ลองพูดเบา ๆ “ธันวา…สู้ ๆ” แต่ยังไม่ใช่จังหวะ เธอรอ “เริ่มเกม!” ลูกบาสถูกโยนขึ้นกลางอากาศ เสียงเชียร์ดังทันที เกมเดินเร็ว ธันวาเลี้ยงบอลข้ามครึ่งสนาม ส่งต่อให้เพื่อนยิงลงห่วง “สวบ!” คะแนนแรกเข้า พิมเผลอตะโกนออกมาเอง “ธันวา—สู้ ๆ!” เสียงเธอยังไม่เต็มนัก แต่ชัดเจน กันต์ทำมือหมุนเหมือนโค้ช “เปิดคอหน่อย” พิมหัวเราะ สูดหายใจใหม่ คราวนี้พอธันวาวิ่งไปตั้งสกรีน เธอยกป้ายสูงเหนือหัวแล้วตะโกนเต็มเสียง “ธันวา—สู้ ๆ!” 📣 คราวนี้เสียงพิมดังไปไกลกว่าที่คิด กลิ่นหมึกปากกาบนป้ายยังติดอยู่ แต่ตอนนี้เหมือนกลายเป็นกลิ่นกำลังใจของเด็กปีหนึ่งที่ใส่สุดตัว หัวใจเธอร้อนวูบเพราะความกล้าที่ไม่ค่อยได้ใช้ ทีมศิษย์เก่าโต้กลับไว แซงขึ้นนำหนึ่งแต้ม เสียงเชียร์สองฝั่งดังสลับกัน พิมไม่หลุดจังหวะ เธอตะโกนกับกลุ่มเชียร์ข้าง ๆ “ดีเฟนซ์! ดีเฟนซ์!” มือก็ยกป้ายขึ้นลงเหมือนธงเล็ก ๆ กลางควอเตอร์แรก ธันวาตัดเข้ายิงสองแต้ม ลูกชนกระดานแล้วลงห่วง เสียงเชียร์ดังลั่น พิมเผลอตะโกนเต็มเสียง “ธัน-วา—สู้ ๆ!” จนคอเริ่มแห้ง เธอรีบดื่มน้ำหนึ่งอึก แล้วตะโกนต่อ “ไปต่อ—ไปต่อ!” เธอไม่เรียกชื่อเล่น ไม่พูดคำหวาน ใช้ชื่อจริงของเขาเสมอ เพราะอยากให้มันตรงที่สุด โค้ชขอไทม์เอาต์ ธันวานั่งพักดื่มน้ำ พิมยืนห่าง ไม่กล้าเดินเข้าไป แต่พอเขาลุกขึ้น เธอก็ยกป้ายขึ้นเงียบ ๆ ให้เขาเห็นก่อนกลับไปเล่น เธอไม่ได้หวังอะไร แค่บอกว่า “เรายังอยู่ตรงนี้” เข้าควอเตอร์สอง เกมเร็วขึ้น พิมเริ่มเสียงแหบ เธอหันไปหัวเราะกับกันต์ “คอเริ่มไหม้แล้ว” กันต์ยื่นลูกอมเมนทอลมา “อมไว้ ช่วยคอ หายใจท้อง อย่าหายใจคอ” “ค่ะ ครูสอนร้องเพลง” พิมอมลูกอมแล้วลูบคอ ตั้งเสียงใหม่ พอธันวาเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งสองคน โลกเหมือนหยุดครึ่งวินาทีแล้วหมุนเร็วกว่าเดิม พิมตะโกนอีก “ธันวา—ธันวา—ไปเลย!” เสียงเธอไปถึงพร้อมกับจังหวะที่เขายิงระยะกลาง บอลชนขอบแล้วตกลงห่วง “สวบ” คนเชียร์เฮกันใหญ่ พักครึ่งแรก พี่จอมเดินมาส่งขวดน้ำให้ “น้องพิม เก็บแรงบ้างก็ได้” พิมหัวเราะ “หนูเก็บไม่อยู่แล้วค่ะพี่” แล้วหันไปตะโกน “สู้ ๆ” ใส่เพื่อนร่วมคณะที่ถือกระบองเป่าลมอยู่ข้าง ๆ อีกที ธันวาเดินผ่านหน้าพิมตรงไปล็อกเกอร์ เขาไม่ได้หันมามองตรง ๆ แต่สายตาเหมือนแวะหยุดนิดเดียวที่ป้าย “THANWA 29” ก่อนเดินต่อ พิมไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่หัวใจรีบเก็บภาพนั้นไว้ทันที ควอเตอร์สามเริ่ม เกมเริ่มหนัก เสียงฝีเท้าและแรงชนดังต่อเนื่อง พิมตะโกนเรียกชื่อเขาแทบทุกครั้งที่เขาได้บอล “ธันวา—สู้ ๆ!” ถึงจะรู้ว่าไม่ได้ทำให้ยิงแม่นขึ้น แต่เธอรู้สึกเหมือนเสียงเธอเป็นอีกจังหวะหนึ่งของทีม มีจังหวะหนึ่ง ธันวาวิ่งรับบอลแต่โดนรุ่นพี่ศิษย์เก่าพุ่งมาดัก พิมเผลอตะโกน “ระวัง!” สุดเสียง ธันวาชะลอครึ่งก้าวแล้วเปลี่ยนทางทันที หลบเฉียด ๆ ก่อนส่งบอลออกไป ทำให้ทีมไม่เสียบอล พิมถอนหายใจแรง เหมือนเพิ่งผ่านทางรถติดโหด ๆ มา “ใจเย็น ๆ น้อง” คนข้าง ๆ แซว พิมยิ้ม “พยายามค่ะ” ก่อนจะยกป้ายขึ้นอีกเหมือนมันเป็นอากาศหายใจ ท้ายควอเตอร์สาม ทีมเราได้ฟาวล์ ธันวาไปยืนที่เส้นโยนโทษ โค้ชไม่เปลี่ยนตัว เขายืนกลางไฟที่ส่องลงมา ริมฝีปากเม้มนิด ๆ แบบคนไม่ชอบโอ้อวด พิมยกป้ายสูงกว่าเดิม แขนล้าแต่ใจไม่ล้า “ธันวา—สู้ ๆ!” เธอตะโกนจนเสียงแตก และตอนนั้นเอง เขาเงยหน้าขึ้น หันตามเสียงตรงมา สบตากับเธอ—สั้นแค่หนึ่งลมหายใจ แต่ชัดจนเวลาหยุดอยู่ตรงนั้น เสียงฝีเท้าในสนามกลายเป็นเสียงเบาเหมือนน้ำไหล พิมไม่รู้ว่าหน้าตัวเองเป็นยังไง เธอแค่ยิ้ม ยิ้มเหมือนจะบอกว่า “อยู่ตรงนี้นะ” ธันวายืนชู้ตลูกโทษ ลูกแรกลง คนเฮ ลูกสองก็ลงอีก เสียงโค้ชสั่ง “กลับเกม!” ทีมกระจายกลับไปตามตำแหน่ง ระหว่างเปลี่ยนตัวสั้น ๆ นักกีฬาวิ่งผ่านหน้าฝั่งเชียร์ ธันวาผ่านมาพอดี พิมเผลอยื่นขวดน้ำไป “น้ำค่ะ” เหมือนปากพูดเอง เขาหยิบไป สัมผัสปลายนิ้วผ่านกันนิดเดียว แต่ใจเธอสะดุดแรง เขาดื่มหนึ่งอึกแล้วคืนขวดให้ ก่อนปล่อยมือก็หันมาสบตาใกล้ ๆ แววตาเขาโค้งขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังยิ้ม “ขอบคุณ” เขาพูดสั้น ๆ แล้ววิ่งกลับไป พิมยืนค้าง เหมือนกด Pause ไม่ทัน Play จนกันต์สะกิด “โห น้ำขวดทองคำ” เธอหัวเราะค่อย ๆ วางขวด มือยังสั่นนิด ๆ แล้วหันมากระซิบ “พี่ เห็นมั้ย…ตาเขายิ้มให้เราใช่ปะ” กันต์ทำเสียงจริงจัง “ตายิ้มครึ่งหน่วย ความโค้งหางตาเพิ่มชัด ไม่ใช่บังเอิญหรอก” พิมหัวเราะไหล่ตก “บ้าเอ้ยพี่” แต่หัวใจเธอเต้นแรงแทบไม่ติดพื้น ควอเตอร์สุดท้าย เกมเข้มข้น พิมยังตะโกนจนคอแสบ แต่ก็ยังไม่หยุด “ธันวา—สู้ ๆ!” หรือ “ดีเฟนซ์!” เสียงเธอกลายเป็นอีกชั้นหนึ่งของเกม ช่วงท้ายเสมอกัน โค้ชเรียกแผนสุดท้าย ธันวาวิ่งหลอกเปิดทาง เพื่อนชู้ตสามแต้ม บอลเด้งชนห่วงแล้วลง คนทั้งฮอลล์เฮดังลั่น ผู้เล่นวิ่งชนกันเป็นกอง พิมชูป้ายสูง น้ำตาคลอเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเสียงเชียร์เชื่อมทุกคนไว้จริง ๆ เมื่อเกมจบ ผู้เล่นทยอยออกจากคอร์ต พิมลดป้ายลง หอบเหมือนตัวเองวิ่งทั้งเกม ธันวาออกมาช้ากว่าคนอื่น คุยกับโค้ชเสร็จแล้วเดินผ่าน เธอเห็นเขาเช็ดเหงื่อด้วยผ้าขนหนูขาว “ป้าย” เขาพูดสั้น ๆ สายตาเหลือบไปที่ “THANWA 29” ในมือเธอ พิมยกขึ้นนิด “ทำเองค่ะ เมื่อคืน” เขาพยักหน้าเหมือนเช็กงาน “อืม” พิมรีบพูด “เมื่อกี้เล่นดีมากเลยค่ะ” “ทีม” เขาแก้สั้น ๆ “ไม่ใช่คนเดียว” แต่หางตาเขาโค้งขึ้นอีกที ราวกับยอมรับเสียงเชียร์โดยไม่ต้องพูด “ค่ะ ทีมสู้ ๆ” พิมยิ้มจนแก้มปริ กันต์โผล่มาพร้อมโทรโข่ง เกือบชนเธอ “โอ๊ะ น้องพิม ป้ายสวย ถ่ายรูปส่งฝ่ายสื่อหน่อย” เขาหยิบมือถือขึ้น “ยกป้าย ยิ้ม หนึ่ง สอง สาม” พิมยกป้ายขึ้น ยิ้มหน้าแดงนิด ๆ เสียงชัตเตอร์ดัง ภาพธรรมดา แต่สำหรับเธอ มันคือภาพที่อยากเก็บไว้เสมอ ……(ต่อ) “13”……… ୨˚̣̣̣͙୧ ꒰ ヾ₊˚. 𖦹꙳࡛࣪⋕ ˚.✦ ⵢ₊˚.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม