ณ บริษัทขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีพนักงานหลายร้อยชีวิตทำงานอย่างขมักเขม้น แต่ก็ไม่วายมีเวลาว่างมานั่งจับกลุ่มซุบซิบเรื่องต่าง ๆ ในบริษัท และเรื่องนี้คงเป็นทอร์คออฟเดอะทาวน์ของบริษัท เพราะประเด็นหลักของวันนี้เป็นเรื่องของคุณทินกร ประธานบริหารใหญ่ของบริษัทที่ควงหนุ่มหล่อมาทำงานด้วย และอีกฝ่ายมาทำงานด้วยหน้าที่ผู้ช่วยเลขาส่วนตัวของท่านประธาน
หัวโต๊ะใหญ่ที่รวมเรื่องซุบซิบมานั่งรวมกัน แก๊งค์นี้มีคนจากหลายแผนกที่สนิทกัน จึงเป็นเหมือนแหล่งรวมข่าวสาร ไม่ว่าสากเบือยันเรือรบกลุ่มนี้ก็จะเอามาแชร์กันตลอด
“ท่านประธานที่ปล่อยตัวเองโสดมาเกือบสิบปี มีหวานใจแล้วอ่ะแก” เก้งประจำกลุ่มเปิดหัวข้อเรื่อง
“จริงป่ะ!” ทุกคนอุทานพร้อมกัน
“เออ เห็นมากับตาเลยจ้า หน้าตาดีมากนะ ฉันนึกว่าเด็กฝึกไอดอลที่ไหน” เก้งประจำกลุ่มขยายความ
“โห แรงมากกกก”
“ฉันก็อุส่าเล็งของฉันมาตั้งนาน” สาวสวยฝ่ายขายพูดอย่างเสียดาย
“หยุดจ้าชะนี ท่านประธานเขาไม่ชอบแบบแกหรอก” ยัยเก้งเบรกเพื่อนอย่างไว
“ทำไมล่ะยะ ความหวังเล็ก ๆ ของฉัน” สาวสวยฝ่ายขายบึนปากใส่เพื่อนทีเล่นทีจริง
“ว่าแต่คนที่ท่านประธานควงมา ฉันอยากเห็นอ่ะ! พวกแกเจอไม่แอบถ่ายมาบ้างเหรอ” เมื่อมีคนถามคำถามขึ้น คนที่เหลือก็เริ่มสุมหัวเข้ามาเป็นวงแคบกว่าเดิม
“ไม่พลาดจ้าาา มานี่เลย ฉันอยากจะบอกว่าดูดีมากนะ เห็นแล้วอยากได้เขาเป็นหลัว” ยัยเก้งจุ๊ปาก ยื่นมือถือส่งให้เพื่อนดู ขยายรูปให้หน้าแฟนท่านประธานชัด ๆ เป็นภาพถ่ายระยะไกล แต่คมชัดด้วยกล้องหลังที่ซูมได้ถึงห้าสิบเท่า เจ้าของมือถือภูมิใจนักหนา ในที่สุดก็ได้ใช้มันเป็นประโยชน์อีกครั้งหลังจากใช้มันในคอนเสิร์ตพิงค์แบล็คเมื่อต้นปี
“คุณพระ หล่อมาก” เสียงอุทานดังขึ้นรอบโต๊ะ
“ทำไมคนหล่อกินกันเองหมดเลยวะ แล้วแบบนี้ชะนีอย่างพวกเราจะมีลูกหล่อได้ยังไง ถ้าหาสามีหล่อไม่ได้”
“ว่าแต่แกคิดว่าใครรุก..” ยังถามไม่จบประโยคเก้งก็เอามืออุดปากเพื่อนพร้อมกับมองบนอย่างเอือมระอา
“เรื่องนี้ไม่เห็นต้องวิเคราะห์ ใครเดินมั่นคงคนนั้นรุก และแน่นอนว่าท่านประธานรุกย่ะ” เก้งกอดอกพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!
“หืมไม่สบายเหรอ?” เสียงเข้มเอ่ยถามแฟนเด็ก เมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งจามหลายรอบแล้ว
“ปะ เปล่าครับ อยู่ดี ๆ ก็คันจมูก” มือเรียวถูจมูกไปมา ระหว่างกำลังเดินไปขึ้นลิฟต์กับท่านประธานหรือก็คือแฟนหนุ่มสายเปย์ของเขา
“โอเค ถ้ารู้สึกว่าไม่สบายรีบบอกพี่นะ จะได้รีบไปหาหมอ” สายตาห่วงใยฉายชัดบนใบหน้าหล่อคมของทินกร มือใหญ่ลูบหัวคนรักแผ่วเบา
“ฮื่อ บอกแล้วไงครับ ว่าอย่าทำแบบนี้ในบริษัท คนจะมองไม่ดีนะครับ” หลินเอ็ดให้คนแก่กว่า ที่พูดเท่าไหร่ก็ไม่เคยจำ”
“ไม่เห็นต้องแคร์ ก็หนูเป็นแฟนพี่” ร่างสูงตอบหน้าตาย ทั้งยังเอื้อมมือโอบเอวเพรียวของหลินอย่างเป็นธรรมชาติ
“นี่่แหน่ะ” มือเรียวหยิกเข้าที่เอวหนาของคนตัวโต
“โอ๊ย เดี๋ยวนี้รุนแรงกับพี่จัง หวงตัวด้วย แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย” ทินกรแกล้งตัดพ้อใส่แฟนเด็ก
“ก็ไว้ไปทำที่บ้านสิครับ ที่นี่คนเยอะแยะ อายเขา”
“ไม่เห็นต้องอายเลย ก็หนูเป็นคนของพี่ คนจะได้ไม่เข้ามาจีบสุ่มสี่สุ่มห้า”
“แต่ที่นี่บริษัทนะครับ”
“ที่นี่ไม่ได้ห้ามกอดเมียในที่ทำงานสักหน่อย”
“ใครเป็นคนตั้งกฎครับ ไม่เคยเจอ”
“ผมคือประธานบริษัทนี้ครับ และผมเป็นผู้คุมกฎ” ใบหน้าหล่อคมยิ้มร้าย ยักคิ้วท้าทายหลินที่ตอนนี้กำลังทำหน้าปลงสุดขีด
“เห้อ”
“ไม่ดีเหรอ แต่แด๊ดมองว่ามันดีนะ เปิดตัวไปเลย แอบคบกันไปเดี๋ยวความแตกขึ้นมายิ่งทำให้เรื่องยุ่งยาก หนูกังวลเรื่องอะไรครับ หืม?”
“ก็ผมไม่อยากให้คนมองว่าผมเป็นเด็กเส้น”
“หนูไม่ได้เป็นเด็กเส้น หนูเป็นแฟนพี่”
“มันต่างกันยังไงครับ?”
“ต่างตรงที่พี่มีสิทธิ์เลือกคนมาทำงานด้วยตัวเองได้ คนอื่นไม่เหมือนกัน อีกอย่างเราก็เคยช่วยงานพี่ พี่มองว่ามีหนูมาช่วย งานก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น”
“จริงเหรอครับ?”
“จริงสิ อย่าคิดมากเลยนะ พี่อยากให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น เข้าใจพี่ไหมครับ?”
“เข้าใจครับ” หัวใจของหลินมันพองโตทุกครั้งที่ได้ฟังคำพูดที่ตรงไปตรงมาของทินกร ตัวเขาเองก็มีความต้องการแบบเดียวกัน เพียงแต่สถานะเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย เลยเกิดความกังวลมากมาย กลัวคนรัดกของเขาจะถูกพนักงานคนอื่นมองไม่ดี
“ลิฟต์มาแล้ว ไปกันเถอะ” มือหนาสะกิดไหล่หลินก่อนจะจูงมือกันเข้าไปในลิฟต์
ภายในลิฟต์มีพนักงานอยู่สามสี่คน ทุกคนยกมือไหว้พวกเขาอย่างนอบน้อมพร้อมด้วยรอยยิ้มเวลามองทั้งคู่สลับกันไปมา
“ตามสบายเลยครับ ผมแค่จะขึ้นไปทำงาน”
“คะ..ค่ะ” พนักงานสาวคนหนึ่งรับคำตามมารยาท
ทุกคนแม้จะดูเกร็ง แต่สายตาก็อดมองไปยังคนข้างกายของท่านประธานสุดหล่อไม่ได้ มือของพวกเขายังไปปล่อยออกจากกันด้วยซ้ำ
“คิดค่าสึกหรอนะครับ มองแฟนผมขนาดนี้” ทินกรพูดทีเล่นทีจริงกับกลุ่มหญิงสาว
หลินที่ได้ยินแบบนั้นแทบทรุดลงไปกองกับพื้น ขอซึมหายไปกับช่องลมได้ไหม อายไม่ไหวแล้ว
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ พอดีว่า เอ่อ ดูเหมาะสมกันมากเลยค่ะ เลยอดมองไม่ได้” กลุ่มพนักงงานหญิงแก้ตัวกันเป็นพันละวันทั้งยังทำท่าเขินบิดไปบิดมา
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะท่าน” พวกเธอก้มหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่
“ไม่เป็นไรครับ ฮ่า ๆ” เสียงเข้มตอบกลั้วหัวเราะ เพื่อทำลายบรรยากาศตึงเครียดภายในลิฟต์ที่ช่างแออัด
เมื่อสาว ๆ เดินออกจากลิฟต์แล้วก็กรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่ตั้งแต่ลิฟต์ยังปิดไม่สนิท
“เห็มไหม ฉันบอกแล้ว กรี๊ด!” สาวเจ้าคนหนึ่งเขินจนตีเพื่อนด้านข้างหลายป้าบจนหลังแอ่น
“โอ๊ยยัยบ้า เจ็บนะ แต่ฟินอ่าาาาา”
พอประตูลิฟต์ปิดลงคนแก่กว่าก็หันมามองหน้าแฟนเด็กของเขา ที่ตอนนี้หน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกปลั่ง
“ฮ่า ๆ เห็นไหม พี่บอกแล้ว ว่าไม่มีอะไรหรอก”
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของท่านประธาน หลินที่กำลังจะไปนั่งประจำโต๊ะทำงานตัวเอง แต่ก็ถูกร่างสูงที่เดินมาด้วยกันเรียกไว้เสียก่อน
“คุณหลิน คุณเข้ามาคุยกับผมก่อนครับ” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คะ ครับ” หลินที่ทำตัวไม่ถูก ยังไม่เคยชินกับสรรพนามที่แฟนเรียกเขาเวลาทำงาน
เมื่อร่างเพรียวของหลินก้าวเข้ามาในห้องทำงานของทินกรแล้ว มือหนาก็เอื้อมไปล็อคประตูบานใหญ่ทันที ก่อนจะกอดเอวของหลินเข้ามาชิดตัวเขาอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ แด๊ด” เสียงทุ้มอุทานตกใจ พลางตีที่แขนแกร่งไปหนึ่งที
“จูบหน่อย” เสียงเข้มพูดอย่างเอาแต่ใจ ปากหยักพรมจูบริมฝีปากบาง ขบเม้มจนหลินยอมเปิดปากรับจูบร้อนแรงจากเขา
ท้ายทอยมนถูกจับไม่ให้ผละออกห่าง เรียวลิ้นร้อนตวัดหยอกล้อกัน มือหนาเองก็ลวนลามไปทุกส่วนของคนรัก เสื้อเชิ้ตที่เรียบร้อยเริ่มหลุดลุ่ยจากฝีมือของทินกร นิ้วแกร่งล้วงเข้าไปในสาบเสื้อสะกิดตุ่มไตสีสดน่ากินของร่างเพรียว
ใบหน้าหล่อของหลินถูกจับเอียงรับจูบที่วาบหวามมากขึ้นจนเขาเกือบเคลิ้มตามอีกฝ่าย แต่แล้วหลินก็ดึงสติตัวเองขึ้นมาได้จึงทุบอกคนแก่กว่าเบา ๆ ให้เขาหยุด
“ทำไมเหรอ?” สายตาของทินกรตอนนี้หยาดเยิ้มเต็มไปด้วยไฟราคะที่จุดติดแล้ว
“ที่นี่บริษัทนะครับแด๊ด” เขาเอ่ยเตือนคนแก่กว่าด้วยเสียงหอบกระเส่า เขาเองก็อยากไม่แพ้กัน แต่ที่นี่ ไม่เหมาะจะทำเรื่องอย่างว่าสำหรับเขา
“แต่พี่แข็งแล้วนะ..”