“รับสักนิดมันจะตายรึไงฮะ!!!” ยังไม่ทันจบประโยค หมอนั่นสะบัดหน้าใส่ฉันพร้อมก้าวเดินออกไปอย่างไม่ไยดี
“ขอโทษทะ...” และเดือดร้อนไปถึงคนที่มาด้วยต้องเอ่ยแทน
“หึ...!” ฉันแทรกขึ้นด้วยเสียงหัวเราะในคอ พลางยกมือขึ้นเสยผมอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป
“นี่!!” เมื่อส่งเสียงเรียกไม่ได้ผล ฉันจึงเอื้อมคว้าช่วงต้นแขนของคนที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวและกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้า
ไม่แน่ใจว่า...เผลอออกแรงมากเกินไปหรือเขาไม่ทันตั้งตัว ร่างสูงถลาใส่ฉันจนเกือบจะหงายหลัง แต่ยังดีที่เขาทรงตัวได้ก่อนพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงราวกับไม่อยากสัมผัสแตะต้องตัวกัน
ส่วนฉันเองก็ไม่ได้เสียหลักสักเท่าไหร่ พยุงตัวได้อยู่...
“....” ฉันตวัดมองคนนิสัยไม่ดีอย่างเอาเรื่อง พร้อมจะพ่นชุดคำหยาบใส่แบบรัวๆ
แต่...
ถ้อยคำหยาบคายเหล่านั้นถูกกลืนลงลำคอทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง การควบคุมลมหายใจก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เท้าเรียวขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรักษาสมดุล เนื่องจากเราอยู่ใกล้กันเกินความจำเป็น
และฉันเลิกคิดเรื่องที่จะได้เจอเขาในวันนี้ไปแล้ว
คนตัวสูงตรงหน้า…ที่น่าจะสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร กลุ่มผมไม่ถึงกับดำสนิทสะเปะสะปะในแบบไม่ถูกเซท มาพร้อมกับการแต่งตัวในมาดหนุ่มเซอร์ เสื้อแจ็คเกตหนังสีดำคลุมทับเชิ้ตขาวซึ่งไม่ได้ติดกระดุมจนครบ กางเกงยีนขาดนิดหน่อยคู่รองเท้าผ้าใบสีขาวที่ไม่ได้ขาวหมดจด ทุกอย่างมันดูลงตัวไปหมด ไม่ว่าเสื้อผ้าจะเป็นแบบไหน ใบหน้าคมเข้มก็ยังเด่นชัดเหมือนเดิม และนี่เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ฉันไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย
ครั้งแรก…ที่ฉันได้เห็นคุณพีรกานต์ในระยะใกล้ชิด
ครั้งแรก…ที่เราอยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าว
ในสมองฉันตอนนี้กำลังประมวลผลว่าควรเรียกเขายังไงดี…เรียกแบบมิณได้ไหม แต่มิณบอกเขาไม่อนุญาตให้ใครเรียกชื่อเล่น นอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท
งั้นเรียกในใจ คงไม่เป็นไรมั่ง…
เสียงถอนหายใจแรงของคุณพีรกานต์ปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ดวงตาคมฉายแววดุดัน คิ้วเข้มขมวดยุ่ง สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจขั้นสุด
“ใจเย็นก่อน” ผู้ชายอีกคนเอ่ยขึ้นหลังเดินมาหยุดยืนข้างๆ และแทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่เฮียฟิวส์กลับหลังหันแล้วขยับห่างออกไปสักระยะ คล้ายกับไม่อยากใส่ใจ ซึ่งมันไม่ต่างจากที่ฉันกำลังทำใส่เจ้าของประโยคอยู่ตอนนี้เลย
คิดว่าคงเป็นใครสักคนในแก๊ง แต่ไม่ได้อยากสนใจว่าเขาจะเป็นใคร เพราะมีเพียงคนเดียวที่อยู่ในสายตาฉัน...
“เพลินตา...?”
สุดท้ายฉันจำเป็นต้องละสายตาจากแผ่นหลังของคุณชายแสนเย้ยหยิ่ง ไปยังบุคคลที่สามตามมารยาท
“อ้อ…คุณหมอนี่เอง”
ฉันพบว่า ผู้ชายที่มีสัมพันธไมตรีอันดี คือ คุณหมอไวน์ นายแพทย์หนุ่มหล่อประจำกลุ่ม ตอนอยู่ด้านในแสงมันไม่ได้เพียงพอจะเห็นหน้าใครชัดเจนถ้าไม่เพ่งมองจริงจัง เราเคยเจอกันหลายครั้งตอนฉันเกิดอุบัติเหตุไปรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา
ดีจัง ที่คุณหมอยังจำฉันได้
“ไม่เจอกันนานเลยนะ” นายแพทย์หนุ่มเริ่มทักทายฉันอย่างเป็นทางการ
“ก็ดีแล้วไหมคะ ใครจะไปอยากเจอหมอบ่อยๆ กัน” ฉันตอบกลับทีเล่นทีจริง ก่อนคู่สนทนาจะหัวเราะหึออกมา
ระหว่างนั้นฉันยังลอบมองผู้ชายอีกคนผ่านหางตาเป็นระยะ ไม่นานก็เริ่มมีกลุ่มควันเลือนรางลอยฟุ้งรอบตัวเขา
“แล้วนี่เจ็บตรงไหนรึเปล่า” คุณหมอเอ่ยถามพลางไล่สำรวจตามร่างกาย ประหนึ่งว่าฉันเป็นคนไข้
“อ๋อ นิดหน่อยค่ะ…อ๊ะ!” ตอนแรกฉันก็คิดว่าไม่เป็นอะไรจึงตอบไปแบบนั้น แต่กลับรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในตอนขยับแขนซ้ายจนหลุดเสียงร้องพลางนิ่วหน้าเล็กน้อย
“เห่ย! โดนเศษแก้วรึเปล่าวะ ฉันว่าไปทำแผลดีกว่า” คุณหมอไวน์ทำท่าทางตกใจพร้อมกับประคองแขนฉันขึ้นมาดูบาดแผลบริเวณใกล้ๆ ข้อศอกที่มีเลือดไหลซึมออกมา
ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน พอเจอผู้ชายก็ลืมทุกอย่างไปจนหมดสิ้น รวมถึงความเจ็บด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพลินกลับไปทำอยู่ห้องเองค่ะ” ดูจากแผลก็ไม่ลึกท่าไหร่ คงแค่ถากๆ น่าจะไม่เป็นอะไรมาก
“แต่ฉันว่า…” คำแย้งของคุณหมอยังไม่ทันจบสมบูรณ์ ก็ถูกขัดจังหวะซะก่อน
“กูขึ้นไปก่อนนะ” คุณพีรกานต์เดินเข้ามาใกล้มากขึ้น ทำให้ฉันได้มีโอกาสพินิจใบหน้าฟ้าประทานนั่นอีกครั้ง ฉันเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้
มีแวบหนึ่งที่ดวงตาเกรี้ยวกราดหลุบมองบาดแผลของฉัน ก่อนจะช้อนขึ้นมองหน้าคุณหมอไวน์ในตอนที่ได้ยินเสียงครางรับ
“เออ!”
ต่อมาเจ้าของใบหน้ายุ่งเหยิงก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ็คเกตหยิบอะไรสักอย่างออกมาแล้วโยนให้เพื่อนตัวเอง
และฉันเห็นว่าสิ่งที่คุณหมอไวน์รับมาคือรีโมตรถยนต์
“ในเก๊ะหน้ามีที่ทำแผลอยู่”
เสียงปลดล็อกรถดังขึ้นในวินาทีต่อมา เกิดแสงสีส้มกะพริบต่อเนื่องสามครั้ง ส่งผลให้ฉันสามารถระบุตำแหน่งได้ชัดเจน ว่าซูเปอร์คาร์สีขาวนั่นคือรถคู่ใจของคุณพีรกานต์
จากนั้นจึงหันมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน พร้อมหลุดยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
ได้เจอกันแบบจริงจังสักทีนะคะคุณพีรกานต์
ถือว่าการเจ็บตัวของฉันครั้งนี้ไม่สูญเปล่า
ถือว่าเป็นก้าวแรกที่ดีมาก…ของมากที่สุด
ถึงจะไม่รู้เลย...ว่าเขาจะจำฉันได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าเขาได้อ่านข้อความที่ฉันส่งไปบ้างรึเปล่าหรือแค่เปิดเพราะไม่อยากให้มันค้างการแจ้งเตือนเฉยๆ
แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง ฉันจะเดินหน้าจีบผู้ชายคนนี้ให้ได้...