EPISODE 02.01
เพื่อนคุย
ทยากรกลับมาถึงบ้านในช่วงพลบค่ำ เขารู้สึกไม่ชินที่มีคนอื่นมาส่งถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเพราะฐากูรไม่ทำตัวให้รู้สึกอึดอัดเลย การได้นั่งรถมาด้วยกัน ได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน กลับทำให้เขาได้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้นผ่านบทสนทนา
สิ่งหนึ่งที่จับทางได้ชัดเจนเลยคือฐากูรเป็นคนขี้เล่น มีมุกมาหยอกเย้าให้ขบขันได้บ้าง แต่ถ้าพูดเรื่องงานจะระวังตัวและจริงจังมากเป็นพิเศษ ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่เล่น ฉะนั้นการจะหลอกถามเรื่องงานจากฐากูรนั้นกลายเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
‘เหอะ กั๊กได้ก็กั๊กไป ครั้งหน้าถ้าเจอกันก็จะหลอกถามจนรู้ให้ได้ว่ามีแพลนจะทำธุรกิจในยุโรปหรือเปล่า’
เรื่องนี้ยังคาใจไม่หาย เพราะภาพที่เห็นตอนจับมือกันครั้งแรกเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก หากเกิดขึ้นจริงเกรงว่าองค์กรของเขาจะเทียบเท่าอันดับหนึ่งอย่างทีทีเอสกรุ๊ปได้ยากเกินเอื้อมแล้ว
ร่างบอบบางเดินผ่านโรงรถที่มีรถแปลกตาคันหนึ่งจอดอยู่ ทยากรเพิ่งนึกออกว่านี่คงเป็นรถสำรองที่ทางประกันนำมาส่งให้ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาจึงเดินเข้าไปในตัวบ้าน
ทว่าขณะที่เขากำลังเปลี่ยนรองเท้าอยู่นั้นก็ได้สบตากับแม่บ้านที่สีหน้าไม่ค่อยดี ทยากรกวักมือเรียกมาถามไถ่จึงรู้ว่าประมุขของบ้านนี้กลับมาแล้ว และอารมณ์ไม่ค่อยดีด้วย นั่นพาให้ตัวเขาลอบกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ
บ้านหลังนี้เมื่อก่อนเคยอบอุ่น มีทั้งคุณตา คุณพ่อ คุณป๊า ครอบครัวคุณลุง ครอบครัวคุณน้า แต่หลังจากที่คุณพ่อกับป๊าหย่ากัน คุณตาเสีย ทยากรกับน้องสาวก็ถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศ
คุณป๊าของเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจหลังการหย่าร้างกับสามีจนนิสัยเปลี่ยนเป็นคนละคน ครอบครัวคุณลุงกับคุณน้าเลยต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นเพราะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ทุกวันนี้ในบ้านหลังใหญ่ก็หลงเหลือแค่ ‘ทินภัทร’ โอเมก้าผู้ตั้งครรภ์เขาขึ้นมาหรือที่เขาเรียกว่า ‘ป๊า’ และก็มีตัวทยากรเองซึ่งเป็นลูกชายคนโตที่ทินภัทรฝากความหวังไว้มากที่สุด แต่ครอบครัวเขาไม่ได้มีเท่านี้หรอก ยังมีน้องสาวอีกสองคนคือ ‘แทมมี่’ และ ‘เทียน่า’ ที่เรียนอยู่ต่างประเทศ
พอที่นี่เหลือกันแค่สองคนจึงเกิดความอ้างว้างบางอย่างขึ้น คงเพราะทยากรแบกความหวังของตระกูลไว้เต็มบ่า เขากับทินภัทรแทบจะไม่ได้คุยกันเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องงาน แต่พอคุยกันทีไรก็มีปากเสียงกันทุกที
อย่างตอนนี้เขาก็ตั้งใจจะเลี่ยงการพูดคุยหลังจากรู้มาว่าทินภัทรอารมณ์ไม่ดี ร่างบอบบางก้าวเดินไปทางบันไดอย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟาเห็น แต่แล้วก็...
“ทอย มานี่หน่อย”
“คะ ครับป๊า”
ยังไม่ทันที่ทยากรจะเดินเข้าไปถึงโซฟา ทินภัทรก็ได้กลิ่นอัลฟ่าติดตัวลูกชายแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน คนที่เกลียดอัลฟ่าเข้าไส้อย่างเขากำหมัดแน่นแต่ก็พยายามสงบใจเพื่อถามไถ่ เขารู้ว่าถ้าโผงผางเกินไป ทยากรก็จะไม่ยอมบอกความจริงออกมา
“วันนี้ไปงานเป็นไงบ้าง แล้วรถเสียเหรอถึงมีรถสำรองมาส่ง?”
“งานวันนี้ก็ราบรื่นดีครับ เราได้มาสามรางวัล ส่วนรถเกิดอุบัติเหตุมีคนถอยมาชนครับ เขาจะจอดแถวตรงข้ามรถผมแต่ตอนถอยเพื่อกะระยะเลี้ยวเข้าซองดันพลาดถอยมาชนหน้ารถ เห็นเขาบอกว่าตัวเซนเซอร์ในรถเสียด้วยเลยถอยไม่ระวัง”
“อื้ม ไม่เป็นอะไรก็ดี ป๊าให้ไปงานนี้เพราะอยากให้รู้จักผู้ใหญ่คนอื่น วันนี้ได้รู้จักใครใหม่ ๆ บ้างล่ะ?”
“ก็...ได้คุยอยู่สองสามคนครับ มีทายาทบริษัทรถยนต์ด้วย แล้วก็มีรุ่นพี่ที่รู้จักกันตอนอยู่อังกฤษ เขาเป็นทายาทบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อหนึ่ง”
ทยากรไม่ยอมพูดถึงฐากูรออกมา เขารู้สึกว่าพูดไปคงไม่ดีแน่ ทินภัทรเกลียดอัลฟ่าและเกลียดคนตระกูลนั้นยิ่งกว่าอะไร
อาจเป็นเพราะตระกูลของเขาถูกอัลฟ่าทอดทิ้งเรื่อยมา ทุกรุ่นที่เป็นโอเมก้านั้นไม่มีใครสมหวังเรื่องความรักกับอัลฟ่าเลย มันเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่รุ่นทวด รุ่นคุณตา จนถึงรุ่นของทินภัทรเอง
ซึ่งฐากูรเป็นทั้งอัลฟ่า เป็นทั้งทายาทตระกูลคู่แข่ง หากบอกว่าไปกินมื้อเย็นด้วยกันมา ทินภัทรคงโกรธมากแน่นอน สำหรับคนที่มีอคติอยู่เต็มหัวใจนั้นเป็นการยากที่จะรับฟังความเป็นจริง ต่อให้ระหว่างฐากูรและทยากรในวันนี้จะไม่มีเรื่องใดเกินเลยก็ตาม
“แล้ววันนี้แกกลับบ้านยังไง?”
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ในหัวกำลังขบคิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดี ทินภัทรถามเพราะเห็นว่ามีรถตู้มาส่งหรือถามเพราะไม่รู้จริง ๆ กันแน่ แต่เพื่อเอาตัวรอดจึงต้องรีบตอบออกไป
“อ๋อ รุ่นพี่ที่รู้จักมาส่งครับ”
“ไอ้คนที่ไปกินข้าวด้วยกันน่ะเหรอ?”
ทินภัทรทำเสียงเข้มจนทยากรรู้สึกว่าตัวเขานั้นพลาดแล้ว แบบนี้ไม่ใช่ว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้วหรอกหรือ?
“เอ่อ ครับ”
อึดใจต่อมาทินภัทรก็เปิดอัลบัมภาพที่แคปหน้าจอมาจากอินสตาแกรมทั้งของทยากรและฐากูร ภาพล่าสุดที่เพิ่งลงคือภาพบนโต๊ะอาหารที่สลับกันถ่ายหลังจากต่างฝ่ายต่างหลอกถามข้อมูลเรื่องงาน
ตอนนั้นแค่ตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศให้มันดำเนินต่อไปได้ แต่อีกฝ่ายดันถ่ายรูปสวย ทยากรเลยลงโซเชียลของตัวเองก็เท่านั้น เขาไม่รู้ว่าฐากูรก็จะลงด้วยเหมือนกัน
“กลิ่นฟีโรโมนของมันติดตัวมาขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไปนอนกับมันมาแล้วเหรอ?!!”
“ป๊า ผมเปล่า มันไม่ใช่แบบนั้น!”
“อัลฟ่ามันก็เลวเหมือนกันทุกคน! ป๊าเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปยุ่งกับไอ้พวกเวรนั่น! แกต้องเป็นโอเมก้าที่สูงส่งจนพวกมันไม่กล้าเอื้อมสิ แกต้องเชิด ต้องหยิ่ง จองหองใส่พวกมันเข้าไว้ อย่าโง่หลงรักพวกอัลฟ่าอย่างที่ป๊าเคยเป็น!!”
“ผมกับเขาไม่ได้...”
“มันเป็นอัลฟ่าก็ชั่วพอแล้ว นี่ยังเป็นทายาทตระกูลนั้น แกเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วกับคนพวกนั้นได้ยังไง! ถ้าแกไม่เข้มแข็งก็พาบริษัทเราขึ้นอันดับหนึ่งไม่ได้หรอกนะ!”
“ป๊าก็เอาแต่ห่วงเรื่องพวกนี้! วันนี้ผมเจอเรื่องไม่ดี ผมเหนื่อย ผมต้องจัดการทุกอย่างคนเดียวหมด ผมต้องทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าทุกคนอย่างที่ป๊าต้องการ แต่รู้อะไรไหมว่าเขาเป็นคนเดียวที่ดูแลผม เขารู้ว่าผมหิว รู้ว่าผมต้องการอะไรทั้งที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ห่วงผมมากกว่าป๊าอีกมั้ง!!”
เพียะ!!
ฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่แก้มนุ่มจนใบหน้าสวยสะบัดไปตามแรง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่เดือดดาลใส่กัน ทุกครั้งก็มีปากเสียงกันรุนแรงประมาณนี้เสมอ หากทินภัทรอดกลั้นไม่ไหวก็จะตบหน้าลูกชายจนเป็นรอยราวกับจะตีตราให้ทยากรจดจำ
ทว่าเหตุการณ์แบบนี้กลับเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเขาไม่เคยยอมจำนนในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทยากรรู้สึกว่าเขายอมทำหลายอย่างที่ทินภัทรต้องการได้ แต่บางอย่างเขาก็คิดเองได้เช่นกันว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรควรหรือไม่ควร และการที่เขาไปกินมื้อเย็นกับฐากูรมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
“แกเป็นลูกชายคนเดียวของป๊า อย่ามาทำเหมือนเห็นคนอื่นดีกว่าป๊า! ถ้าน้องสาวแกเรียนจบเมื่อไหร่ป๊าคงโล่งใจ อย่างน้อยแทมมี่กับเทียน่าก็คงไม่ต่อต้านป๊าเหมือนแก”
“เมื่อไหร่ป๊าจะเลิกบังคับคนอื่นให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการสักที อยากได้อะไรก็ทำเองดิ!”
“ทอย!!!”
ทยากรพ่นคำพูดไม่น่าฟังด้วยอารมณ์โทสะ เขาอยากประชดประชัน อยากต่อต้านทินภัทรจนสุดทาง แต่ใจลึก ๆ ก็กลัวจะกระทบกระทั่งไปมากกว่านี้จึงรีบวิ่งขึ้นมาบนห้องนอนที่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว
ฮึก!
เขาล็อกประตูแล้วทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพลางซบหน้าลงบนฝ่ามือ ร่างกายสั่นเทิ้มไปตามแรงสะอื้นไห้
‘เหนื่อยว่ะ เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณลุงกับคุณน้าถึงย้ายออกจากที่นี่’
ความขัดแย้งภายในครอบครัวแบบนี้คงไม่มีใครรับรู้ คนนอกไม่มีทางรู้แน่นอนเพราะทยากรไม่ได้ป่าวประกาศว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
คนอื่นคงจะคิดว่าตระกูลปรีชาโชติวรกุลนั้นรักใคร่กลมเกลียว แต่ละคนก็แบ่งหน้าที่กันทำงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้ามองแค่งานมันก็ออกมาดีจริง ๆ นั่นแหละ
ทว่าเบื้องหลังมันมีที่มาที่ไปมากกว่าที่คนอื่นคิด ทินภัทรมีเปอร์เซ็นต์ถือหุ้นสูงที่สุดในตระกูลเพราะคุณตายกหุ้นให้ลูกชายคนโปรดโดยตรง ญาติคนอื่นก็มีทั้งที่ยอมและไม่ยอม คนที่ไม่ยอมก็พยายามงัดข้อกับทินภัทรอยู่บ่อย ๆ
แล้วตัวแทนของทินภัทรก็คือลูกชายคนเดียวอย่างทยากร เขาเข้ามาแบกรับปัญหาภายในทุกอย่าง อีกทั้งยังถูกชี้นิ้วสั่งให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เรื่องการทำงานก็อยากให้เขาเก่งเกินใคร เรื่องการใช้ชีวิตก็อยากให้เป็นโอเมก้าที่สูงส่งพร้อมกับกล่อมให้เกลียดพวกอัลฟ่าตั้งแต่เด็กจนโต
จริงอยู่ว่าทยากรทำตัวหยิ่งยโสดูสูงส่งอย่างที่ทินภัทรต้องการได้ ทุกวันนี้คนนอกก็มองว่าเขามีลักษณะนิสัยอย่างนั้น เป็นโอเมก้าที่เข้มแข็ง ดูฉลาดและเข้าถึงยาก
คนเดียวในโลกที่เห็นตอนที่ทยากรอ่อนแอคงเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขา หากเป็นปกติหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้เขาต้องโทรไปเล่าให้เธอฟังแล้ว ติดอยู่ตรงที่วันนี้เธอกำลังเดินทางจากอังกฤษกลับมาไทยจึงไม่สามารถติดต่อได้
น่าเสียดายที่เขามีเพื่อนที่จะปรึกษาเรื่องพวกนี้ได้แค่คนเดียว เนื่องจากทินภัทรไม่อนุญาตให้คบหากับคนที่มีฐานะต่ำกว่า ใครที่ผ่านเข้ามาจะต้องถูกตรวจสอบทั้งที่มันเป็นเรื่องไร้สาระมาก ทำให้ทยากรไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหนอีกเลย
แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบไปถึงเรื่องหัวใจด้วย ใครเข้ามาจีบก็ไม่ผ่านเกณฑ์ของทินภัทรสักคน
‘ชีวิตเรามันยังเป็นของเราอยู่ไหมวะ แม่ง’
ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองเพดานห้องนอนก่อนจะยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา เขาพยายามสงบใจตัวเองให้หยุดร้องไห้ เมื่ออารมณ์ดีขึ้นเลยเพิ่งรู้สึกเจ็บที่แก้มขึ้นมา
เขาเดินไปส่องกระจกพลางถอนหายใจใส่ตัวเองหลังจากเห็นแก้มที่บวมแดงขึ้นมาจากการถูกตบ ทั้งที่เขาอยากปรึกษาทินภัทรเรื่องภาพที่เห็นหลังจากได้จับมือกับอัลฟ่าคนหนึ่ง แต่ความสงสัยส่วนนี้ถูกปัดตกไปแล้วแทนที่ด้วยความขัดแย้งเรื่องอื่นแทน
อันที่จริงถ้าทินภัทรอารมณ์ดีกว่านี้ เขาก็ตั้งใจจะเล่าเรื่องฐากูรให้ฟังนั่นแหละ รู้ว่าอย่างน้อยอาจจะโดนดุที่ไปสุงสิงกับอัลฟ่าที่เป็นทายาทตระกูลนั้น
ทว่าสำหรับทยากร การหาคำตอบเรื่องภาพที่เห็นนั้นสำคัญกว่าสิ่งใด เขาตั้งใจใกล้ชิดเพื่อหลอกถามเรื่องงาน ซึ่งถ้าได้ข้อมูลดี ๆ มา มันก็ดีต่อองค์กรไปด้วย