ณ บ้านนายช่างทองสิเกน บนโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่ มีเก้าอี้สามารถนั่งรายรอบได้ประมาณ ๖ คน อันเป็นโต๊ะที่นายช่างทองมักจะใช้เป็นที่รับแขกหรือคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างสม่ำเสมอ
“ข้ามิเข้าใจเลยนะ ท่านสิเกน เหตุใดท่านโหราจึงบอกเช่นนั้น การจัดพิธีในวันนั้นมิแปลกประหลาดอันใดดอก แต่แปลกตรงที่ เหตุใดต้องจัดพิธีต่าง ๆ ในเพลากลางคืน ในคราที่พระจันทร์สถิตอยู่กลางฟากฟ้า แทนที่จะจัดในเพลาเช้าดังปีผ่าน ๆ มา ทั้งยังจะให้มีพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยอีก ข้าว่ามันแลดูแปลก ๆ พิกลนา ท่านว่าจริงหรือไม่” อำมาตย์สิงขรปรับทุกข์กับสิเกนซึ่งเป็นสหายสนิทมาช้านาน
“ถามข้ารึ ข้าก็มิรู้ดอก แต่บางทีท่านโหราฯ อาจจะได้ฤกษ์ที่ดี ซึ่งหากจะเกิดผลดีที่สุดต้องทำพิธีบูชาตอนกลางคืนกระมัง พอองค์เหนือหัวทรงเห็นเป็นฤกษ์งามยามดี ก็เลยให้จัดพิธีเลือกคู่ไปพร้อม ๆ กันเลย ดีกว่ามาจัดในภายหลัง ฮ่า ๆ ท่านก็อย่าคิดมากไปอย่างใดเลย” สิเกนตอบพร้อมหัวเราะ แล้วส่งถ้วยชาให้สหายดื่ม เผื่อจะใจเย็นลงได้บ้าง
“ว่าอย่างไร วันนี้มีอะไรกินบ้าง” เสียงดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะโผล่ออกมา “อ้าว เจ้าอำมาตย์ก็อยู่รึ แหม...ไม่ได้เจอกันเสียนาน ไปได้ดี เป็นขุนน้ำขุนนางในวัง พุงนี่พลุ้ยขึ้นเป็นกองเชียวหนา”
มิรงค์เอ่ยพลางกระเซ้าเย้าแหย่อดีตเพื่อนรักขณะเดินเข้ามาในบ้านช่างทองของสิเกน และถือโอกาสนั่งร่วมโต๊ะหยิบถ้วยน้ำชาของอำมาตย์สิงขรมาดื่ม
“เออนี่ มิได้เจอท่านตั้งนานหนาท่านอำมาตย์ใหญ่ ชุดนี่สวยมากเลยเจียวหนา ฮ่า ๆ ๆ” มิรงค์พูด พลางหัวเราะ พร้อมแปลกใจในสีหน้ากังวลของอำมาตย์สิงขรอย่างชัดเจน
จริงอยู่ ชายชรา ๓ คนเป็นสหายสนิทกันมาช้านาน มิรงค์ สิเกน และอำมาตย์สิงขร ทุกครั้งที่เจอกันมักจะมีเรื่องเฮฮา หรือต่อปากต่อคำเป็นประจำ แต่ครานี้ อำมาตย์ใหญ่เงียบแทนที่จะทักทายหรือต่อปากต่อคำเหมือนอย่างเคย
“มีเรื่องอันใดรึ เหตุใดจึงทำหน้าตาเหมือนดั่งเมียเสีย” มิรงค์เอ่ยถามให้สนุกไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเมียของสหายเสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว
“เมียข้ามิได้เสียโว้ย เพราะเมียข้าตายไปเนิ่นนานแล้ว แต่เหตุที่ข้ากังวลนั้น เนื่องมาจากในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง องค์เหนือหัวรับสั่งให้จัดพิธีบูชาเทพเจ้า” อำมาตย์สิงขรเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“อ้าว ก็มันเป็นวันดี จัดพิธีบูชาเทพเจ้าวันนี้ก็มิเห็นแปลก” มิรงค์ตอบพร้อมหัวเราะหึ ๆ “ท่านคิดมากเกินไปหรือไม่ ระวังนะท่าน คิดมากเกินไป ประเดี๋ยวศีรษะจะมิมีผมเอาดอก ฮ่า ๆ ๆ”
ยังคงกล่าวถ้อยคำยั่วประสาทแต่ก็หาได้ทำให้อำมาตย์สิงขรต่อล้อต่อเถียงเหมือนอย่างเดิมได้
“มันก็มิแปลกหรอก หากว่าท่านโหราฯ จะมิแนะนำให้จัดพิธีในเพลากลางคืน” อำมาตย์สิงขรเอ่ยอย่างมีกังวล
“...มันก็...หา เอ็งกล่าวอันใดนะ! ไอ้อำมาตย์! ทำพิธีเพลากลางคืนรึ? เอ็งพูดชัด ๆ ซีว่าข้ามิได้หูฝาดไป” มิรงค์เอ่ยอย่างตกใจ
“ท่านมิได้หูฝาดหรอกท่านมิรงค์ ท่านอำมาตย์บอกว่า องค์เหนือหัวรับสั่งให้มีการจัดพิธีบูชาเทพเจ้าตามคำทำนายของท่านโหราฯ ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง เพลากลางคืน” สิเกนช่วยตอบอีกแรง
มิรงค์มีสีหน้าบรรยายไม่ถูก เงียบไปอึดใจ จึงเอ่ยถาม “สิเกน เอ็งมีกระดานชนวนหรือไม่วะ”
“มิมีดอก ข้าเป็นช่างทองนะ มิใช่หมอดูจะได้ใช้กระดานชนวน แต่หากท่านจะหาแผ่นทองและไฟละก็ ข้าพอมีอยู่” สิเกนตอบ
“เออ นั่นข้ารู้ละ”
มิรงค์เงียบไปพัก ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นปราณภพกำลังแกะสลักทองอยู่มิไกลนัก
“เออ ไอ้หลานรัก” เอ่ยเรียกเสียงดัง “เอ็งช่วยไปนำกระดานชนวน ดินสอชนวน และหนังสือปึกใหญ่ที่วางข้าง ๆ กัน ที่บ้านข้ามาให้หน่อย”
“ได้ขอรับ ท่านลุง” ปราณภพตอบพร้อมขยับตัวกำลังจะไป
“เดี๋ยวก่อน แล้วเอ็งเอาแผ่นหนังม้วนเก่า ๆ ที่วางไว้ในกล่องใต้ฐานพระพุทธรูปมาให้ข้าด้วย...ข้าสังหรณ์ใจว่าต้องใช้มัน” มิรงค์บอก ประโยคหลังเบาเหมือนเอ่ยกับตัวเอง
“ขอรับ ท่านลุง” ชายหนุ่มรีบเดินออกจากบ้านไปตามคำบอกของสหายสนิทบิดา
มิรงค์ขยับมานั่งพร้อมหน้าสิเกนและอำมาตย์สิงขรเช่นเดิม
“มันเรื่องอันใดกันรึ มิรงค์” สิเกนถาม
“ใช่ มิรงค์ ปกติดูเจ้ามิเป็นเช่นนี้ นี่เหตุใดเจ้าเห็นเป็นเรื่องใหญ่จริงเจียว” อำมาตย์สิงขรเอ่ย
“ขอให้สังหรณ์ของข้าผิดด้วยเถิด อีกสักครู่ เราก็จะได้รู้กัน” มิรงค์พูด พร้อมซ่อนสายตากังวล แต่ก็มิวายที่เพื่อนทั้งสองจะเห็นได้
ผ่านไปชั่วเพียงอึดใจ ปราณภพ ก็กลับมาพร้อมกับกระดานชนวนตามที่เฒ่ามิรงค์สั่งก่อนจะยื่นส่งให้พร้อมกับพูดว่า
“ท่านลุง นี่ของที่ท่านให้ไปเอาขอรับ”
มิรงค์รับกระดานชนวนมาจากปรานภพ ชายชราก้มหน้าขีดเขียนกระดานชนวนอยู่เพียงครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้น มองสหายทั้งสองที่รอฟังผลคำทำนายอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงหลานรักที่เป็นผู้ไปนำกระดานชนวนมาให้ ชายชราถอนหายใจเบา ๆ แต่ไม่เล็ดลอดสายตาของผู้เป็นหลานที่นั่งสังเกตได้
“มันน่าแปลกนะ มิควรเป็นเช่นนี้เลยนะ” ชายชราบ่นอย่างมีสีหน้ากังวลใจ พลางบ่นต่อ “ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย”
สิเกนถาม “คิดสิ่งใดหรือ แล้วตามที่เจ้าคำนวณ วันดังกล่าว ดีหรือไม่ดีเล่า”
“นั่นสิ แล้วได้ความว่าเยี่ยงไรเล่า” ท่านอำมาตย์ถามพร้อมสีหน้ากังวล
“เฮ้อ!” มิรงค์ถอนหายใจ พลางตอบว่า “ได้คำตอบแล้ว เป็นดังที่ข้าคิดไว้ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ของปีนี้ เป็นวันดีก็จริง หากฤกษ์ดีที่สมควรทำพิธีอยู่ในช่วงเวลาเช้าก่อนเที่ยง แต่หากจัดตอนกลางคืนในช่วงพระจันทร์สถิตกลางฟากฟ้าแล้วไซร้ ผลจักออกมาตรงกันข้าม” เฒ่ามิรงค์พูดด้วยความหนักใจ
“หมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ ท่านลุง” เด็กหนุ่มถาม
“ก็หมายความว่า หากจัดทำพิธีในตอนกลางคืนยามพระจันทร์อยู่กลางฟ้า อาจจะทำให้เกิดหายนะ ด้วยในปีนี้เป็นวาระครบรอบ ๗๐๐ ปีของเหตุการณ์อาเพศซึ่งเคยเกิดขึ้นเนิ่นนานมาแล้ว” ชายชราอธิบาย
“อธิบายให้ชัด ๆ หน่อยสิวะ ไอ้ที่ครบรอบ ๗๐๐ ปี คือเหตุการณ์เยี่ยงไร” อำมาตย์สิงขรถาม
“ก็หมายถึง เมื่อ ๗๐๐ ปี ที่แล้วได้เกิดเหตุการณ์คืนพระจันทร์เต็มดวงและเป็นปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือด ว่ากันว่าในคืนวันดังกล่าว เจ้าแม่จะดื่มเลือดสาวบริสุทธิ์ที่ทำพิธีร่ายรำถวายเทพเจ้า แต่หากมิมีการร่ายรำถวายเทพเจ้า หรือมิมีการนำสาวพรหมจรรย์ถวายให้เจ้าแม่ดื่มเลือดแล้วไซร้ บ้านเมืองก็จะเกิดหายนะ ธรณีจะสูบ แผ่นดินจะสะเทือน เลือดจะไหลนองแผ่นดิน” ชายชราเล่า พลางถอนหายใจ
“แล้วเราหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นี้ได้หรือไม่”
“ข้าก็มิล่วงรู้ดอก ในบันทึกมิมีบอกไว้ แต่...ข้ารู้จักคน ๆ หนึ่งที่สามารถช่วยได้” มิรงค์ตอบ
“ใครหรือ” สิเกนถามบ้าง
“ก็อาจารย์ของข้าเอง ท่านพ่อเฒ่าวิรุง” ชายชราตอบ
“แล้วเราจะพบ ท่านพ่อเฒ่าของท่านลุงได้อย่างไรเล่า” เด็กหนุ่มถาม
“มิยากดอก ก่อนที่เราจะแยกจากกัน เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว พ่อเฒ่าเข้าป่าเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายในเมือง และได้มอบธูปกำยานให้แก่ข้าไว้ ๓ แท่ง หากเกิดปัญหาหรือวิกฤติอันใดที่เกินกำลังของข้า ให้จุดธูปนั้นขึ้นมา แล้วพ่อเฒ่าจะมาปรากฏตัวเอง” มิรงค์อธิบาย
“เช่นนั้น ท่านจะรอช้าอยู่ไย รีบจุดธูปเลยสิท่าน” ท่านอำมาตย์สิงขรบอก
“ได้ สิเกน แต่พวกเราต้องทำพิธีในห้องพระ” เฒ่ามิรงค์บอก
“ได้สิ” สิเกนตอบพลางเดินนำหน้าทั้งหมดเข้าไปที่ห้องพระ