บทที่ ๑๐ หมดความอดทน

2863 คำ
บทที่ ๑๐ หมดความอดทน เสียงร้องไห้ดังออกมาจากนอกห้อง เนตรนรินทร์ที่นั่งอยู่บนโซฟานอกห้องนั่งเล่นกับพิภพต่างสนใจว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น “อึก! พี่รู้ไหมตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านใหญ่นะ พ่อก็เอาแต่ใช้งานผม ให้ผมทำงานงกๆ แทบไม่ได้พักเลย เห็นผมเป็นวัวเป็นควายหรือไง ฮืออ ขนาดวัวควายยังได้พักเลยนะ แล้วผมอะ ผมที่เป็นคนแท้ๆ อะพี่ ผมเองก็มีชีวิตจิตใจ อึก! ผมก็อยากพักบ้าง ฮือออ” คำพูดมากมายที่พรั่งพรูออกมาไม่ต่างน้ำตาที่อีกฝ่ายพยายามบีบออกมา แม้จะไม่มีให้เห็นสักหยดก็ตาม ถึงมีขากางเกงเขตตะวันก็คงจะเช็คให้เรียบร้อยแล้ว เขตตะวันกรอกตาขึ้นบนขณะยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะขยับไปไหนไม่ได้อยู่ดี จะเพราะใครล่ะถ้าไม่ใช่ภาณุกำลังกอดขาเขาแน่น ไม่รู้เจ้าตัวเห็นเป็นผ้าเช็ดหน้าหรือไงถึงได้กอดไว้แน่นแบบนี้ เขาถอนหายใจราวกับสถานการณ์ตอนนี้เสมือนภาพเดจาวู ซึ่งไม่ใช่ครั้งสองครั้งที่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ หากวันไหนภาณุทำงานหนักหรือถูกกดดันก็จะชอบวิ่งแจ้นมาฟ้องเขาตลอด แล้วกว่าจะกลับกรุงเทพฯ ก็คงอีกสักพักใหญ่ “เอาล่ะ ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ...” ก้มหน้ามองน้องชายที่ผงกหัวขึ้นมองเขาเช่นกัน เขตตะวันทำหน้าขยะแขยง เมื่อเห็นน้ำมูกอีกฝ่ายยืดเปื้อนขากางเกงเขา สรุปพยายามบีบน้ำตาหรือน้ำมูกกันแน่เนี่ย “ฟืดด ขอโทษพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ...” พูดพลางใช้มือเช็คน้ำมูกตัวเอง “เฮ้อ ช่างเถอะ” สกปรกจริง เขตตะวันคิด อยู่ๆ ก็อยากกินพาราสักเม็ดสองเม็ด ส่วนทางด้านเนตรนรินทร์กับพิภพก็เงียบราวกับเป่าสาก ไม่มีบทสนทนาระหว่างทั้งคู่แต่เนตรนรินทร์ก็แอบมองอีกฝ่ายด้วยความสนใจ พิภพรูปร่างสูงโปร่งมากหากเทียบกับเขตตะวัน ส่วนสูงก็สูสีกัน ผิวของเขาไม่ถึงกับขาวมากแต่ดูสุขภาพดี การแต่งกายของอีกฝ่ายจะดูดีมากในเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแลคสีดำที่เนียนกริบ ให้ความรู้สึกเหมือนธาวินพี่ชายคนที่สองของเนตรนรินทร์มาก ใบหน้าเจ้าตัวแม้จะดูเรียบเฉยแต่เวลามองเนตรนรินทร์ทีไรราวกับมีประกายแห่งความเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ในดวงตาสีดำคู่นั้น ซึ่งเนตรนรินทร์ไม่ชอบเลยเวลามีใครมองเขาด้วยสายตาแบบนี้ แม้เขาจะให้ความรู้สึกเหมือนพี่ชายคนรองของตนก็ตาม “น้องชื่อเนตรเหรอ พอดีพี่ได้ยินเขตพูดถึงน่ะครับ” ไม่รู้ว่าเขตตะวันพูดถึงเขาในลักษณะไหน แต่เนตรนรินทร์ก็พยักหน้ารับเล็กน้อย อีกฝ่ายคลี่ยิ้มจนไม่เห็นดวงตาเป็นรอยยิ้มที่ดูหวานมากในสายตาของเนตรนรินทร์ “งั้นเหรอ จริงสิ พี่เรียกว่าน้องเนตรได้ใช่ไหม แล้วก็พี่ชื่อพิภพนะครับ เรียกพี่ภพก็ได้พอดีพี่อายุเท่ากันกับเขตน่ะครับ” เนตรนรินทร์พยักหน้า มองคนที่นั่งตรงข้ามกันอย่างชั่งใจ แต่ก็เหมือนจะเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรชัดเจน “พี่ภพเป็นคู่ขาของลุงเหรอ?” “หื้ม? ลุง? หมายถึงเขตเหรอครับ?” เนตรนรินทร์พยักหน้า พิภพก็ทำหน้าเหมือนถึงบางอ้อก่อนจะส่งยิ้มตาหยีให้เขาอีกรอบ ท่าทีแสดงออกแบบนั้นเนตรนรินทร์ไม่สามารถคาดเดาคำตอบจากการกระทำของเจ้าตัวได้เลย “แล้วน้องเนตรคิดว่ายังไงล่ะครับ?” “...” นอกจากจะไม่ยอมตอบคำถามของเขาแล้ว ยังจะใช้คำถามหลอกถามเขาอีกแฮะ เนตรนรินทร์ทำหน้ามุ้ยไม่ชอบใจ “ถ้าไม่ใช่คู่ขาก็เป็นคู่รักกันเหรอ อืม...ไม่ยักรู้แฮะ ว่าลุงมีคนรักมาก่อน” “อืม...” “งั้นพี่ภพกับลุงก็ เอ่อ...เป็นแฟนกันเหรอ” “พวกพี่เหมือนเป็นแบบนั้นเหรอครับ?” เนตรนรินทร์กรอกตาเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่กวนประสาทตน “แต่ว่านะ เห็นเขตเป็นแบบนั้นแต่อีกฝ่ายฮอตมากเลยนะ แถมเรื่องบนเตียงยังดุด้วย” “ห๊ะ?...” เนตรนรินทร์ไม่สบายใจเมื่อได้ยินแบบนั้น แถมมองพิภพด้วยสายตาแปลกๆ แม้จะพยายามคิดว่าลุงคงไม่ได้มีซัมติงอะไรกับพิภพก็ตาม แต่ตั้งแต่เนตรนรินทร์มาที่ไร่เคียงตะวันก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายควงสาวสวยมาให้เห็นเลย ทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงยังโสดอยู่ แต่พอมาวันนี้อีกฝ่ายกับพาชายหนุ่มเข้าบ้านมาด้วย ทำให้เนตรนรินทร์อดคิดไม่ได้ว่าลุงอาจจะมีรสนิยมชื่นชอบไม้ป่าเดียวกันก็ได้ เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจคนที่มีรสนิยมชื่นชอบเพศเดียวกันหรอก เพราะเขาเองก็เคยมีประวัติแอบชอบพวกผู้ชายเหมือนกัน แม้สุดท้ายจะอกหักไปตามระเบียบเมื่อวันรุ่งขึ้น อีกฝ่ายควงแฟนมาเปิดตัวต่อหน้าต่อตาเนตรนรินทร์ สุดท้ายเลยปิดฉากการแอบรักและรักแรกของเขาลงไปทั้งแบบนั้น เนตรนรินทร์ตั้งมั่นว่าจะไม่ไปแอบชอบหรือหวั่นไหวกับใครอีก ไว้เขาใช้ชีวิตให้สนุกสุดเหวี่ยงไปอีกสักพักค่อยคิดเรื่องมีแฟน สุดท้ายเลยโสดมาจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ที่เคยคิดจะชื่นชอบเพื่อนต่างเพศเป็นอันหันมาสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของคนอื่น แม้แต่ญาญินเพื่อนสนิทของเขาเองก็ตาม แต่พอถามนิดถามหน่อยไม่กี่วันต่อมาอีกฝ่ายก็กลับมาโสดดั้งเดิม พอมาถึงเรื่องเขตตะวันเขาเองก็สนใจอยู่บ้าง แต่พอจะหลอกถามพิภพก็ดันโดนเขาตอบด้วยคำถามไม่หยุด แต่ใครจะยอมแพ้กันล่ะ เขาต้องรู้ให้ได้ เมื่อปักเชื่อไปกว่าครึ่งแล้วว่าลุงกับพิภพมีซัมติงกัน เนตรนรินทร์ก็ชักอยากรู้ว่าใครรุกใครรับ “พี่ภพเคยโดน...เอ่อ โดนลุงเสียบเหรอ” ถามอย่างสงสัยและไม่ปิดบัง พิภพได้ยินดังนั้นก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา “แล้วน้องเนตรไม่คิดบ้างเหรอครับ ว่าเขตจะเป็นฝ่ายโดน...” “...” อยู่ๆ ภาพที่ลุงเป็นฝ่ายโดนกระทำก็ฉายในหัวของเนตรนรินทร์ จากที่ปักใจเชื่อมาตลอดว่าเขาเป็นฝ่ายกระทำคนอื่นมาตลอดเป็นอันต้องพังทลายลงต่อหน้าของเนตรนรินทร์ “อุ๊บ! ฮ่าๆ” ตอนนี้ไม่รู้เจ้าตัวทำหน้าแบบไหนอยู่กันแน่ พิภพเห็นถึงกับกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่เพราะเก๊กต่อไปไม่ไหว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแกล้งสนุกแบบนี้ เนตรนรินทร์กรอกตาเมื่อรับรู้ว่าตนโดนอีกฝ่ายหลอกอีกแล้ว “ฮ่าๆๆ โทษทีๆ พอดีเห็นท่าทีน้องเนตรแล้วนึกอยากแกล้งขึ้นมา...อุ๊บ! คิกๆ” พิภพหันหน้าไปอีกทางเพื่อขำต่อ “ฮึ่ม!” เนตรนรินทร์แค่นเสียงไม่พอใจขณะกอดอกมองไปทางอื่น ไม่ลืมที่จะพองแก้มตามฉบับของเจ้าตัว พิภพพยายามที่จะหยุดขำขณะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ สายตามองคนตรงหน้าที่นั่งทำตัวกลมดิกอยู่ยิ่งพองแก้มด้วยแล้วให้ความรู้สึกน่ารักน่าเอ็นดูแปลกๆ “น้องเนตรงอนเหรอครับ?” “เฮอะ” งอนสินะ พิภพคิดพลางยิ้มเอ็นดู ก่อนจะลุกจากโซฟาไปนั่งตัวเดียวกับอีกคน พลางยื่นมือไปสะกิดอีกฝ่ายเล็กน้อย “น้องเนตรดีกันนะครับ เอาเป็นว่าพี่ไม่แกล้งแล้ว” จะพยายามไม่แกล้งอะนะ ที่เขาหมายถึง พิภพยิ้มเมื่ออีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้นทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเองก็แสร้งถอนหายใจขณะเอนหลังพิงโซฟาพลางพึมพำเบาๆ แต่เพราะพวกเขาอยู่ใกล้กัน เนตรนรินทร์จึงได้ยินเสียงบ่นพึมพำชัดเจน “กะว่าจะบอกสักหน่อย น่าเสียดาย” ได้ยินดังนั้นก็หูผึ่ง ขณะปรับเปลี่ยนท่าทีราวกับไม่เคยโกรธเคืองหรืองอนอีกฝ่ายมาก่อน “อะแฮ่ม ความจริงเนตรก็ไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นหรอกนะ...” พิภพเหลือบมองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนท่าทีไวกว่าที่คิดก็แอบขำในใจ “อ๋อ งั้นเหรอครับ” “ใช่ครับ เพราะงั้นพี่ภพมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาก็ได้นะครับ เดี๋ยวเนตรรับฟังเอง” “ฮ่าๆ...น้องเนตรเนี่ยน่าสนใจจังนะครับ” พิภพได้ยินก็หลุดขำ มองอีกคนที่ทำหน้านิ่งขึ้นมาที่อยู่ๆ เขาก็หัวเราะอีกแล้ว และคงหัวเราะเยาะเขาอีกตามเคย เคเลย เขาผิดเองแหละที่หลงเชื่อว่าอีกฝ่ายจะหยุดแกล้งเขาแล้ว ชิ “แหม อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิครับ” พิภพรีบอธิบายมองคนตรงหน้าที่พองแก้มอีกรอบก่อนจะคลี่ยิ้ม “ที่จริงพี่กับเขตเราเป็นเพื่อนสมัยเรียนกันน่ะ ส่วนตอนนี้เรียกว่าเป็น‘คู่ค้า’ทางธุรกิจคงจะดีกว่า...” พิภพพยายามเน้นคำว่าคู่ค้าเสียงดังมากหน่อย เผื่ออีกคนจะได้เลิกคิดเรื่องลามกพวกนั้นสักที ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์แบบนั้นไปได้ เลยทำให้เขานึกอยากแกล้งขึ้นมา “พอดีเขตมีแพลนจะสร้างเรือนหอไว้ท้ายไร่ และพี่เองก็คงมาอยู่ที่นี่อีกสักพักใหญ่...” พิภพพูดต่ออีกประโยคเพื่อคลายความสงสัยให้อีกคน เพราะถึงไม่พูดเจ้าตัวก็น่าจะถามเขาอยู่ดี “อ๋อ งี้นี่เอง” ไอ้เราก็นึกว่ามา... เนตรนรินทร์สะบัดหน้าไล่ความคิดแปลกๆ ออกจากหัว ก่อนจะหันมามองพิภพเสียใหม่พลางยิ้มอย่างเป็นมิตร “ถ้างั้นเราก็มาผูกมิตรกันดีกว่านะครับ” เนตรนรินทร์พูดพลางยื่นมือไปทางด้านพิภพ “ผูกมิตรเหรอ ได้สิครับ ดีกว่าเป็นศัตรูกันอยู่แล้ว” พิภพไหวไหล่เล็กน้อยพลางยื่นมือมาจับกับเนตรนรินทร์ก็รู้สึกแปลกใจเพราะมืออีกฝ่ายนุ่มมาก ไม่ได้รู้สึกแข็งกระด้างเหมือนมือบุรุษทั่วไป ไม่รู้ว่าที่อื่นจะนุ่มเหมือนมือหรือเปล่า เขายิ้มเล็กน้อยเมื่อสายตามองพวงแก้มของเจ้าตัว ขณะเก็บมือกลับอย่างนึกเสียดาย แกร๊ก! แล้วบทสนทนาของเนตรนรินทร์กับพิภพก็เป็นอันจบลงทั้งแบบนั้น เมื่อเขตตะวันกับภาณุเดินออกมาจากห้องสภาพทั้งคู่ดูย่ำแย่ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะสีหน้าของเขตตะวัน เขตตะวันมองหันมามองทั้งคู่ก็แปลกใจ เหมือนก่อนจะเข้าห้องไปเห็นทั้งคู่นั่งโซฟาคนละฝั่งนิ ทำไมพอเดินออกมาคราวนี้ถึงมานั่งด้วยกันได้กัน เขตตะวันส่งสายตาไปทางพิภพ ราวต้องการคำอธิบาย เจ้าตัวที่ได้รับสายตาไม่เป็นมิตรจากเพื่อนเก่าก็ยิ้มตาหยีไม่พูดไม่จา ส่วนภาณุอ้าปากหาวก่อนจะเดินมาเอนกายลงบนโซฟาตรงข้ามกับพวกเนตรนรินทร์ บริเวณใต้ตาเขายังมีรอยแดงๆ ให้เห็นอยู่ “เนตรมานี่มา” เขตตะวันเรียกคนตัวเล็กซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย ทำให้พิภพมองภาพตรงหน้าอย่างสนใจไม่ต่างจากภาณุที่แอบเหล่มองทั้งคู่เช่นกัน “ว่าไง” “เมื่อวานพี่บอกว่าไง ทำไมวันนี้ถึงมาอีก” “ลุงจะดุเนตรไม่ได้นะ ก็คุณย่าวานให้เนตรเอาข้าวต้มมัดกับแกงสายบัวมาให้ลุงน่ะสิ...อืม” ประโยคสุดท้ายเหมือนเขาจะลืมอะไรสักอย่าง แต่ก็จำไม่ได้ว่าลืมอะไร “งั้นเหรอ แล้วจะกลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง” “หึ เจอเนตรปุบก็ไล่ปับเลยนะ ใจร้าย...” “โตขนาดนี้แล้วยังดัดจริตแทนตัวเองด้วยชื่ออีก” ขวับ! เนตรนรินทร์รีบหันไปมองคนข้างหลังทันที เมื่อได้ยินคำพูดเชิงถากถางและคงหมายถึงเขาแน่นอน “ไงนะ!” “อะไร?” ภาณุยักคิ้วเล็กน้อยคล้ายไม่รู้เรื่องว่าเจ้าตัวเป็นเดือดเป็นร้อนทำไม เนตรนรินทร์เห็นดังนั้นก็กำมือแน่น “เฮอะ ทีตัวเองล่ะ นายเองก็ไม่ต่างกันหรอก ไอ้ลูกแหง่ติดพี่” “หา! ว่าไงนะไอ้เตี้ยนี่!” “เตี้ยล่ะหนักหัวพ...แฮ่ม! หนักหัวนายหรือไง!” เกือบล่ะ เกือบหลุดล่ะ เนตรนรินทร์เหลือบสายตามองทางอื่นเมื่อเห็นสายตาของเขตตะวันที่มองมา ขณะทำหน้าเลิ่กลั่กยกใหญ่ หื้ย ปากหนอปาก “ชักจะลามปามแล้วนะเนตร” “หึ ก็ใครใช้ให้น้องชายพี่ว่าเนตรก่อนล่ะ” เนตรนรินทร์ทำปากขมุบขมิบไม่พอใจที่อีกฝ่ายโทษเขาอยู่ฝ่ายเดียว แต่คงจะไม่ลืมหรอกใช่ไหมว่าคนเปิดประเด็นน่ะมันน้องชายเขาต่างหาก “เนตร...” “ลุงใจร้าย เข้าข้างแต่คนของตัวเองโยนความผิดให้คนอื่น...” “พี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยทำไมขัดคำพูดพี่แล้วล่ะ แล้วอะไรคือเข้าข้างคนของตัวเองหื้ม คนของพี่ไม่ใช่รวมเนตรไปด้วยหรือไง?” “ก็...” เนตรนรินทร์ถึงกับพูดไม่ออกอ้าปากพะงาบๆ สายตามองเขตตะวันอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมองเขาว่าเป็นคนของตัวเองไปแล้ว ทำเอาเนตรนรินทร์เกือบหลุดยิ้มออกมาแต่ก็ทำหน้าตึงกลบเกลื่อน เขตตะวันเห็นท่าทีแสดงออกของอีกฝ่ายก็ถอนหายใจ อยู่ๆ ก็ปวดหัวขึ้นมา สายตามองน้องชายสลับกับเนตรนรินทร์ก็พ่นลมหายใจออกมาอีกรอบ เพราะแบบนี้ไงเขาถึงไม่อยากให้ทั้งคู่มาเจอกัน อยู่ๆ บรรยากาศในห้องนั่งเล่นก็เงียบขึ้นมา สักพักเนตรนรินทร์ก็อุทานเสียงดังคล้ายนึกบางอย่างออก “ลุง! เนตรลืมไปเลยว่าจักรยานป้าจันทร์พัง ลุงไปดูให้หน่อยสิว่าซ่อมได้ไหม” พูดพลางถือวิสาสะจับแขนเขตตะวัน ขณะออกแรงกระชากให้ตามเขาไป “ห๊ะ แล้วจักรยานอยู่ไหน” “อยู่ข้างทางอะ พอดีโดน‘หมาเห่า’มาเนตรเองก็ลืมซะสนิทเลย” ไม่วายหันไปแซะอีกคน จนภาณุที่เหมือนจะเคลิ้มหลับสะดุ้งเฮือกก่อนจะส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปทางด้านเนตรนรินทร์ “แล้วทำไมเนตรไม่เอามาด้วย?” ดวงตาเนตรนรินทร์เบิกกว้างอย่างตกใจ “นั่นสิ เนตรก็ลืมไปเลย...” “หึ โง่” เป็นภาณุที่เอ่ยประโยคนั้น “ฮึ่ม! ไม่โดนสักทีไม่ดีขึ้นเลย...” “เฮอะ มาสิไอ้เตี้ย ไม่ได้กลัวหรอกนะ” เนตรนรินทร์พูดพลางถกแขนเสื้อขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ภาณุเห็นก็ทำหน้าท้าทายใหญ่ ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร จนเขตตะวันถอนหายใจแรงๆ ราวกับเส้นความอดทนใกล้จะขาดเต็มทีแล้ว “มาสิ ลุกขึ้นมา เดี๋ยวเนตรจะส่งไปหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงบาลสักเดือนเป็นไง” “โห่ มาดิ อย่าเก่งแต่ปาก ระวังจะลงโลงในอายุไม่ถึงเลขสาม!” “คิดว่ากลัวเหรอ มาเลยไอ้เด็กติดพี่!” “กรอด ไอ้เตี้ยอย่างนายมีสิทธิ์อะไรมาล้อเลียนคนอื่นฮะ!” “จะทำไมล่ะ หือ จะทำไม!” “แล้วมันทำไมล่ะ มาดิ!” “หยุด! เลิกต่อปากต่อคำกันสักที!” เมื่อความอดทนหมดลง เขตตะวันก็เอ่ยขัดทั้งคู่หากไม่ห้ามคงได้วางมวยกันจริงๆ และแน่นอนทั้งคู่ต่างชะงักเมื่อถูกเขตตะวันพูดแบบนั้น “ภาณุ!” “คะ ครับพี่” ขายรับเสียงอ่อน เนตรนรินทร์ได้ยินก็แค่นเสียงที่อีกฝ่ายกลัวพี่ชายตัวเองจนหัวหด แต่พอถูกอีกฝ่ายหันมามองเนตรนรินทร์ก็ได้ก้มหน้าก้มตาลงไม่พูดอะไร “พาเนตรไปเอารถจักรยานซะ” “หา! ทำไมผมต้องไปอะ ใช่เรื่องของผมที่ไหน...” “หุบปาก” “ครับพี่” “ฉันสั่งก็ทำตาม ไปได้แล้ว” “ครับผม” ขานรับเสร็จก็เดินคอตกออกจากห้องไป “ส่วนเนตร...” “อุ้ย...เนตรทำไมเหรอลุง” เนตรนรินทร์ถึงกับสะดุ้งเมื่อเจอเขตตะวันในตอนนี้เข้าไป ช้อนสายตามองเขตตะวันที่ยืนถอนหายใจแรงๆ คล้ายเจ้าตัวพยายามจะไม่ดุเขามากนัก “ตามภาณุเขาไปแล้วกัน แล้วก็อย่าหาเรื่องทะเลาะกันเข้าใจไหม?” “แล้วถ้าเขาหาเรื่องเนตร...” “เข้าใจไหม?” “ครับ เข้าใจแล้วครับ” เนตรนรินทร์พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะรีบวิ่งตามไล่หลังภาณุออกไปทันที ในห้องรับแขกจึงเหลือเพียงเขตตะวันและพิภพที่มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ “คิกๆ” แน่นอนเขาอดที่จะขำไม่ได้ เลยเผลอหลุดเสียงขำออกมาให้เขตตะวันได้ยิน “ตลก?” “เปล่าครับ” เผลอตอบรับอีกฝ่ายแทบจะทันที รอยยิ้มที่ใบหน้าเมื่อครู่ก็หายไปทันทีราวกับปิดสวิตซ์ ได้แต่ตีหน้านิ่งมองตามหลังทั้งคู่ก็เริ่มจะลังเลแล้วว่าเขาต้องตามไปด้วยไหม อืม คงไม่สินะ

เริ่มอ่านเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมได้ที่นี่

ดาวโหลดโดยการสแกนรหัส QR เพื่ออ่านเรื่องราวมากมายฟรี และหนังสือที่ได้รับการอัปเดตทุกวัน

อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม