บทที่ 3 ลงโทษกรณีพิเศษ

2568 คำ
บทที่ 3 ลงโทษกรณีพิเศษ วสิน: เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะรับพาไปดินเนอร์ วสิน: ชดเชยวันนั้นที่ติดธุระกะทันหัน เพราะแชทดังกล่าวทำให้อาการอยากอาหารของฉันลดลงฉับพลัน ได้แต่นั่งเขี่ยอาหารไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า สมองคิดหาวิธีรอดว่าวันนี้จะเอายังไงต่อไปดี จะหลีกเลี่ยงทางไหนถึงจะไม่ได้ไปดินเนอร์กับคุณวสินในครั้งนี้ วสิน จันทราวรักษ์ เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับต้น ๆ ของประเทศที่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน รูปร่างของเขาดูดี สมาท ฐานะการเงินเข้าขั้นคำว่ามหาเศรษฐี ไม่ต่างจากคุณเหนือที่เป็นเจ้านายของฉัน ทั้งเรื่องหน้าตา การงาน ความมั่นคงทางการเงินกินกันไม่ลง ถึงแม้ทุกอย่างจะเลิศเลอเพอร์เฟ็ค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอยากแต่งงานกับเขา ฉันไม่ต้องการให้ครอบครัวนั้นได้ตามที่หวังไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นได้แค่สินค้าที่ทำประโยชน์ให้แก่พ่อ ไม่ได้มีค่ามากไปกว่านั้นเลย ซึ่งฉันก็ชินมันเสียแล้ว “ถ้าคุณยังเขี่ยอาหาร ผมคงไม่ทันเข้าประชุมบ่ายนี้” เสียงทุ้มเอ่ยดังเรียกสติ จากตาที่จับจ้องอาหารอยู่นั้นพลันสบมองคุณเหนือก่อนจะตักอาหารดังกล่าวเข้าปาก “ไม่อร่อย?” “เปล่าค่ะ” ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “พอดีกลิ่นคิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย” ด้วยความที่เป็นเลขาส่วนตัวของคุณเหนือ รายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ฉันได้อ่านมันตั้งแต่เข้ามาสัมภาษณ์งาน มีกฎมากมายหลายอย่างที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ต่างจากกฎนี้ที่ว่าต้อง ‘ทานข้าวเที่ยง’ กับคุณเหนือทุกวัน ‘คุณเป็นเลขาของผู้บริหาร นั่นหมายความว่าเป็นเหมือนเงาตามตัวผม’ ‘…’ ‘ผมทำอะไร ไปเจรจาที่ไหน คุณก็ต้องไปกับผม’ นั่นคือสิ่งที่คุณเหนือได้บอกฉันไว้ หากรับกฎดังกล่าวไม่ได้ก็แค่ถอนตัวออกไป แล้วเขาจะหาคนใหม่เข้ามาทำในส่วนนี้แทน เหตุนี้จึงทำให้ฉันได้มานั่งกินข้าวเที่ยงกับเจ้านายทุกวัน แค่กินข้าวไม่ได้หนักหนาถึงขนาดต้องปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ทั้งโต๊ะกลับมาเงียบสนิทเหมือนที่เคยเป็น ซึ่งมันไม่แปลกเพราะคุณเหนือก็เป็นคนเงียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนฉันยอมรับว่าช่วงแรกก็รู้สึกกดดันกับการได้มานั่งกินข้าวกับเจ้านาย แต่ทุกวันนี้เริ่มจะชินกับนิสัยของเขาซะแล้วล่ะ “เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะให้คุณเลิกงานตามเวลาปกติ” น้ำเสียงเนือย ๆ เอ่ยขึ้นพร้อมมือหนาวางช้อนลงบ่งบอกว่าอิ่มแล้ว ตาคมจับจ้องมองหน้าฉันก่อนที่ปากหยักจะขยับพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป “พอดีว่าที่เจ้าบ่าวของคุณมีความพยายามมากเป็นพิเศษ” “คุณวสินเหรอคะ” “อืม” ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับ “เขาทักข้อความส่วนตัวมาหาผมว่าวันนี้มีนัดดินเนอร์กับคุณ” “…” “เห็นแก่ความพยายามผมจะให้คุณเลิกงานตามเวลาหนึ่งวัน” “ที่จริงถ้ามีงานกลิ่นอยู่ช่วยคุณเหนือก็ได้ค่ะ” รีบเอ่ยบอกเพราะต้องการหาทางรอดให้ตัวเอง “กลิ่นไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานอยู่แล้ว” “แม้ว่าผมจะใช้งานคุณหนักน่ะเหรอ” “ค่ะ” มันก็ดีกว่าออกไปดินเนอร์กับคุณวสินเป็นไหน ๆ ไม่รู้เลยว่าวันนี้ฉันจะเจออะไรอีก ไม่รู้เลยว่าคราวนี้จะโชคดีเหมือนกับ ‘คืนนั้น’ ไหม “คุณเป็นลูกน้องที่ขยันใช้ได้” ตาคมจับจ้องฉันอย่างอ่านไม่ออก “เห็นแก่ความขยันของคุณ ผมยังคงอนุมัติให้คุณเลิกงานตามเวลาปกติเหมือนเดิม” แปลว่าหลีกหนีไม่ได้แล้วสินะ แม้จะอยากแย้งแค่ไหนแต่ก็ทำได้แค่พูดว่า “ขอบคุณค่ะ” “กินข้าวต่อเถอะ ดูเหมือนคุณจะยังไม่อิ่ม” แล้วฉันจะพูดอะไรต่อได้ล่ะ ทำไมรู้สึกว่าเขากำลังกวนประสาทนิ่ง ๆ อย่างไรชอบกล หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จก็เป็นเหมือนเดิมที่เราต้องกลับมาทำงาน และบ่ายวันนี้เหมือนจะประชุมเดือดไปสักนิดเพราะเหล่าคณะกรรมการบริหารต่างโต้แย้งถึงการปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หลายคนออกความคิดเห็นว่าถ้าหากยังไม่ชำรุดก็ไม่เห็นจะต้องใช้งบให้สิ้นเปลือง สิ้นปีกำไรที่ได้ก็จะเฉลี่ยปันผลให้พนักงานได้มากกว่าที่ควรจะเป็น “โรงแรม VR อยู่ท่ามกลางกรุงเทพมหานคร และเป็นเบอร์หนึ่งของโรงแรมที่ดีที่สุดในขณะนี้” เสียงของคุณเหนือยังเอ่ยชัดมั่นคงต่อความคิดของตัวเอง “ผมขอถามว่าถ้าหากสิ่งของที่บริการลูกค้าเกิดการชำรุดขึ้นมากะทันหัน แล้วพวกเขาได้รับอันตรายถึงเนื้อถึงตัว พวกคุณจะตอบลูกค้าว่ายังไง” เกิดความเงียบหลังจากจบประโยคคำถามของคุณเหนือ สีหน้าของเหล่าคณะกรรมการบริหารมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าความไม่สบอารมณ์มีมากกว่าอยู่แล้ว “ผมว่ามันเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยมากเลยนะที่จะเกิดเหตุการณ์แบบที่คุณพูด” “ผมยังถามคำถามเดิมว่าคุณจะตอบลูกค้าว่ายังไง” คุณเหนือจับจ้องไปยังผู้ชายคนที่ออกความคิดเห็นเมื่อครู่ “ถ้าพวกคุณหาคำตอบมาตอบได้ ผมจะยอมเอาข้อเสนอที่ว่ามาคิดดู” “…” “แต่ควรคิดให้ดีด้วยว่าคำตอบของคุณจะทำให้ลูกค้าพึงพอใจหรือเปล่า และหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ทางโรงแรมโดนข้อวิพากษ์วิจารณ์ด้านลบในวงกว้าง” “…” “พวกคุณจะรับผิดชอบยังไง” สุดท้ายคนที่ไม่ได้เอ่ยแย้งก็พยักหน้ารับกับคำพูดของคุณเหนือ ก่อนที่จะมีคนพูดรับข้อเสนอของเขาขึ้นมาทีละคน ส่วนฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้มันตึงเครียดหรือเกิน เข้าประชุมกับเหล่าผู้บริหารหรือคณะกรรมการทีไรความดันจะขึ้นทุกที “คุณกลิ่นผมขอกาแฟหนึ่งแก้ว” ทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องประชุมเจ้านายก็เอ่ยปากสั่ง แล้วร่างหนาก็หมุนกายเดินไปยังห้องทำงานของตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม แม้ว่าจะอยู่ในความตึงเครียด โดนข้อครหามากมายหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณเหนือมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลกออกไปเลย หลังจากชงกาแฟให้คนเป็นเจ้านายเสร็จ ฉันก็กลับมานั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะของตัวเอง ตรวจเช็กว่าในแต่ละวันคุณเหนือต้องทำอะไรบ้าง มีงานที่ไหน ประชุมหัวข้ออะไร และอีกมากมายหลายอย่าง บางครั้งก็คิดว่าหน้าที่เลขาเหมือนหน้าที่เมียไม่มีผิด มือที่กำลังพิมพ์กดปุ่มสี่เหลี่ยมหยุดชะงักกะทันหันเมื่อเผลอคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง เป็นเหมือนเคยที่ตาจะแอบเหลือบมองคุณเหนืออย่างพิจารณา ตอนนี้เขาถอดเสื้อสูทออกจากตัวแล้ว เหลือเพียงเสื้อกั๊กที่ใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างของเขาสูงใหญ่กำยำสมกับเป็นชายชาตรี ไม่ต่างจากลักษณะของใบหน้าที่ดูยังไงก็เกินคำว่า ‘หล่อ’ มากไปอยู่ดี ถึงแม้จะอายุสามสิบหกแต่ก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อของคุณเหนือลงเลยแม้แต่น้อย “อะไรติดหน้าผมเหรอคุณกลิ่น” เสียงทุ้มเอ่ยดังเรียกสติของฉันกลับมา ตาที่กำลังจ้องมองเจ้านายรีบกลับมามองหน้าจอกะทันหัน แม้จะโดนจับได้แล้วแต่ก็ยังทำเนียนไม่รู้เรื่องรู้ราว ผ่านไปสักหนึ่งนาทีก็เงยหน้ามองคุณเหนือเพราะอยากรู้ว่าเขาอยู่ในอาการไหน เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่นอีกครั้งอย่างตกใจ ใครจะไปรู้ว่าเขากำลังนั่งเอนกายพิงเก้าอี้ตัวหนาจ้องมองฉันอยู่ในขณะนี้ “มีอะไรติดหน้าผมเหรอ” “เปล่าค่ะ” รีบส่ายหน้าพัลวัน สองตามองไปยังเจ้านายเพื่อความแนบเนียน “กลิ่นแค่คิดอะไรเพลิน ๆ ก็เลยเผลอมองหน้าคุณเหนือค่ะ” “คุณนั่งเหม่อในเวลางาน?” “ขอโทษค่ะ” ก้มศีรษะให้คุณเหนือเบา ๆ “ต่อไปกลิ่นจะไม่เหม่อแล้วค่ะ” “คุณคงได้อ่านกฎที่ผมให้ไปแล้ว” “ค่ะ” “กฎมีอะไรบ้าง” น้ำเสียงของคุณเหนือไม่ได้กดดัน แต่ก็แฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ในนั้น ฉันจ้องมองไปยังเขาอีกครั้งพลางเอ่ยกฎการทำงานให้คนเป็นเจ้านายได้ฟัง “ห้ามทำงานพลาด เพราะหากพลาดจะถูกลงโทษค่ะ” “อืม” ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับ ตาคมจับจ้องมองฉันไม่วางตา “จำไว้ให้ดีนะคุณกลิ่น เพราะหากคุณทำงานพลาดเมื่อไหร่” “…” “แม้จะเป็นเลขาของผมก็ต้องถูกลงโทษเหมือนกัน” “…” “และจะเป็นการลงโทษในกรณีพิเศษ” เวลาต่อมา ร้านอาหารภายในคลับ NN ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความอัดอั้นตันใจในขณะนี้ บางครั้งก็อยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันไม่ใช่นิสัย มีปัญหาอะไรจึงได้แต่เก็บเงียบไม่พูดไม่จา เช่นครั้งนี้ก็เช่นกัน ร่างก้าวเดินลงจากรถหลังจากที่จอดมานานพอสมควร อย่างที่รู้ว่าเย็นนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับคุณวสินจึงต้องมาเจอเขาเย็นนี้ ที่จริงเขาจะมารับแต่ฉันไม่สะดวกใจจึงมาเอง และเป็นการเจอที่แปลกประหลาดอย่างไรชอบกล ร้านอาหารภายในกรุงเทพมหานครมีมากมาย แต่เขาดันเลือกร้านที่อยู่ภายในไนต์คลับ NN ซึ่งเป็นคลับของคุณนายน้องชายคุณเหนือ ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือเปล่า หรือบางครั้งฉันอาจจะคิดมากไปเอง… “สวัสดีครับ” การ์ดหน้าทางเข้าคลับหน้าตาโหดเหี้ยมทักทายเสียงเข้มก่อนจะยื่นมือมาทางฉัน “ขอตรวจบัตรประชาชนหน่อยครับ” ฉันหยิบบัตรประชาชนส่งไปให้อีกฝ่ายพลางเอ่ยบอกในสิ่งที่รู้ “โซนวีไอพีโต๊ะห้าค่ะ” “เข้าไปได้เลยครับ เดี๋ยวจะมีพนักงานพาเดินเข้าไป” การ์ดยื่นบัตรประชาชนกลับมาให้ฉันคืนพร้อมเปิดทางจึงเดินเข้าคลับดังกล่าว สองตามองซ้ายมองขวาก็เห็นพนักงานคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ก่อนจะเข้ามาทักแล้วพาฉันเดินไปยังโซนโต๊ะที่ว่า “สวัสดีค่ะ” เอ่ยทักคนที่รออยู่ก่อนหน้าแล้วทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา ซึ่งคุณวสินก็ผงกศีรษะรับเบา ๆ สีหน้าราบเรียบเหมือนเคย ทำหน้าน่าหมั่นไส้เหมือนเจ้านายของฉันไม่มีผิด “คุณอยากกินอะไรสั่งได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ” “เข้าธุระของคุณเถอะค่ะ” เพราะฉันไม่ได้อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่นักหรอก แน่นอนว่าคำพูดเมื่อครู่ทำให้หัวคิ้วเข้ม ๆ ของอีกฝ่ายขยับได้ ปากหยักยิ้มออกมาบางเบา “ผมนัดว่าที่เจ้าสาวออกมากินข้าวจำเป็นต้องมีธุระด้วยเหรอ” “จำเป็นค่ะ เพราะเรายังไม่ได้แต่งงานกัน” “ผมชอบนะคนอวดดีแบบคุณ” เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาแกว่งไปมา ในขณะที่ตาจับจ้องหน้าฉันก่อนจะมองเนื้อตัวกันอย่างพิจารณา “ชักอยากจะเข้าหอแล้วสิ” “ทุเรศ” “ผัวคุณในอนาคต” “…” “อ้อ… ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับผมก็หาเงินมาจ่ายหนี้แทนครอบครัวสิคุณกลิ่น” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความสนุกสนานอย่างชัดเจน ต่างจากฉันที่เริ่มมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเกลียดชัง “เท่าไหร่” “ไม่เยอะหรอกราว ๆ ร้อยล้าน” คำบอกกล่าวที่ว่า ‘ร้อยล้าน’ ทำให้ฉันมืดแปดด้านมากกว่าเดิม ที่ผ่านมาก็พอจะเดาได้อยู่แล้วถึงเรื่องผลประโยชน์ของการแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่คิดเลยว่ายอดเงินมันจะสูงลิ่วซึ่งฉันไม่มีทางหาเงินร้อยล้านมาจ่ายเขาได้แน่ ๆ “คุณรู้ไหมว่าครอบครัวของคุณเอาคุณไปเร่ขายให้ใครต่อใคร พอดีผมมันเป็นพวกชอบของสวย ๆ งาม ๆ ก็เลยรับซื้อคุณไว้” “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ขอตัวนะคะ ลาค่ะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยประโยคใดอีกก็รีบเดินออกมาทันที ที่จริงฉันจะไม่มีอคติอะไรกับผู้ชายคนนี้เลยหากครั้งก่อนเขาไม่ทำเรื่องสารเลวกับฉัน วันนั้นคือการนัดกินข้าวครั้งแรกของฉันกับคุณวสิน จังหวะที่ฉันไปเข้าห้องน้ำไม่รู้ว่าเขาผสมอะไรในเครื่องดื่มของฉัน พอดื่มไปได้สักพักก็เริ่มมึนเมาและรู้สึกแปลก ๆ คิดว่าตัวเองไม่น่าจะไหวก็เลยต้องรีบขอตัวกลับบ้าน ซึ่งเขาก็ไม่ได้รั้งไว้ ปล่อยให้ฉันกลับในสภาพดูแทบไม่ได้ ตอนนั้นรู้ได้เลยว่ามันร้อนไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะจุดกึ่งกลางกายที่ทรมานเป็นพิเศษ ขาก้าวแทบไม่ออก หูอื้อตาลายไม่รับรู้ถึงโลกภายนอก แต่ในจังหวะนั้นเหมือนอยู่ดี ๆ ก็มีมือหนามาพร้อมกับร่างสูงใหญ่อุ้มฉันในท่าเจ้าสาว กลิ่นกายคุ้นเคยทำให้ฉันซุกหน้าเข้าหาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน จนกระทั่งมาถึงยังห้องหนึ่งก็ต้องได้รับรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือ ‘คุณเหนือ’ เจ้านายของฉันเอง ฉันเอ่ยร้องอ้อนวอนให้เขาช่วยปลดปล่อยความทรมานอย่างไม่อาย แล้วหลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างก็ได้เกิดขึ้นและจบลงเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ฉันโดนวางยา หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ฉันได้หลับนอนกับเจ้านายของตัวเอง แต่แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็ต้องปัดตกไปเมื่อสองตาเหลือบมองไปเห็นรถยนต์ของตัวเองถูกรถอีกคันพุ่งชนจนหน้าเละไปหมด สองขารีบก้าวเดินไปยังกลุ่มคนที่กำลังมุงหน้ามุงหลังด้วยความเร่งรีบ “เกิดอะไรขึ้นคะ” หันไปถามการ์ดของคลับอย่างร้อนรน สองตาจับจ้องมองสภาพรถที่ดูไม่ได้สลับกับหน้าของการ์ดภายในคลับไปมา “พอดีลูกค้าเมาก็เลยถอยรถชนรถคันนี้ครับ” เขาเอ่ยอธิบายแล้วมองหน้าฉันอย่างสงสัย “คุณผู้หญิงเป็นเจ้าของรถคันนี้เหรอครับ” “ใช่ค่ะ” ตอนนี้ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี สงสารรถก็สงสาร แต่ก็สงสารตัวเองเหมือนกันว่าจะกลับบ้านยังไง ไหนจะต้องหารถไปทำงานอีก สงสัยปีนี้เป็นปีซวยของฉันแน่ ๆ เลย “เกิดอะไรขึ้น” แต่ก่อนที่ความคิดของฉันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ เสียงคุ้นเคยก็ดังให้ได้ยินใกล้หู หันไปมองก็ต้องพึมพำออกมาเบา ๆ “คุณเหนือ…”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม