บทที่ 3 ลงโทษกรณีพิเศษ
วสิน: เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะรับพาไปดินเนอร์
วสิน: ชดเชยวันนั้นที่ติดธุระกะทันหัน
เพราะแชทดังกล่าวทำให้อาการอยากอาหารของฉันลดลงฉับพลัน ได้แต่นั่งเขี่ยอาหารไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า สมองคิดหาวิธีรอดว่าวันนี้จะเอายังไงต่อไปดี จะหลีกเลี่ยงทางไหนถึงจะไม่ได้ไปดินเนอร์กับคุณวสินในครั้งนี้
วสิน จันทราวรักษ์ เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับต้น ๆ ของประเทศที่ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน รูปร่างของเขาดูดี สมาท ฐานะการเงินเข้าขั้นคำว่ามหาเศรษฐี ไม่ต่างจากคุณเหนือที่เป็นเจ้านายของฉัน ทั้งเรื่องหน้าตา การงาน ความมั่นคงทางการเงินกินกันไม่ลง
ถึงแม้ทุกอย่างจะเลิศเลอเพอร์เฟ็ค แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะอยากแต่งงานกับเขา ฉันไม่ต้องการให้ครอบครัวนั้นได้ตามที่หวังไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม
ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเป็นได้แค่สินค้าที่ทำประโยชน์ให้แก่พ่อ ไม่ได้มีค่ามากไปกว่านั้นเลย ซึ่งฉันก็ชินมันเสียแล้ว
“ถ้าคุณยังเขี่ยอาหาร ผมคงไม่ทันเข้าประชุมบ่ายนี้” เสียงทุ้มเอ่ยดังเรียกสติ จากตาที่จับจ้องอาหารอยู่นั้นพลันสบมองคุณเหนือก่อนจะตักอาหารดังกล่าวเข้าปาก
“ไม่อร่อย?”
“เปล่าค่ะ” ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “พอดีกลิ่นคิดอะไรเพลิน ๆ ไปหน่อย”
ด้วยความที่เป็นเลขาส่วนตัวของคุณเหนือ รายละเอียดและเงื่อนไขต่าง ๆ ฉันได้อ่านมันตั้งแต่เข้ามาสัมภาษณ์งาน มีกฎมากมายหลายอย่างที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ต่างจากกฎนี้ที่ว่าต้อง ‘ทานข้าวเที่ยง’ กับคุณเหนือทุกวัน
‘คุณเป็นเลขาของผู้บริหาร นั่นหมายความว่าเป็นเหมือนเงาตามตัวผม’
‘…’
‘ผมทำอะไร ไปเจรจาที่ไหน คุณก็ต้องไปกับผม’
นั่นคือสิ่งที่คุณเหนือได้บอกฉันไว้ หากรับกฎดังกล่าวไม่ได้ก็แค่ถอนตัวออกไป แล้วเขาจะหาคนใหม่เข้ามาทำในส่วนนี้แทน เหตุนี้จึงทำให้ฉันได้มานั่งกินข้าวเที่ยงกับเจ้านายทุกวัน แค่กินข้าวไม่ได้หนักหนาถึงขนาดต้องปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป
ทั้งโต๊ะกลับมาเงียบสนิทเหมือนที่เคยเป็น ซึ่งมันไม่แปลกเพราะคุณเหนือก็เป็นคนเงียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ส่วนฉันยอมรับว่าช่วงแรกก็รู้สึกกดดันกับการได้มานั่งกินข้าวกับเจ้านาย แต่ทุกวันนี้เริ่มจะชินกับนิสัยของเขาซะแล้วล่ะ
“เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะให้คุณเลิกงานตามเวลาปกติ” น้ำเสียงเนือย ๆ เอ่ยขึ้นพร้อมมือหนาวางช้อนลงบ่งบอกว่าอิ่มแล้ว ตาคมจับจ้องมองหน้าฉันก่อนที่ปากหยักจะขยับพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป
“พอดีว่าที่เจ้าบ่าวของคุณมีความพยายามมากเป็นพิเศษ”
“คุณวสินเหรอคะ”
“อืม” ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับ “เขาทักข้อความส่วนตัวมาหาผมว่าวันนี้มีนัดดินเนอร์กับคุณ”
“…”
“เห็นแก่ความพยายามผมจะให้คุณเลิกงานตามเวลาหนึ่งวัน”
“ที่จริงถ้ามีงานกลิ่นอยู่ช่วยคุณเหนือก็ได้ค่ะ” รีบเอ่ยบอกเพราะต้องการหาทางรอดให้ตัวเอง “กลิ่นไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานอยู่แล้ว”
“แม้ว่าผมจะใช้งานคุณหนักน่ะเหรอ”
“ค่ะ” มันก็ดีกว่าออกไปดินเนอร์กับคุณวสินเป็นไหน ๆ ไม่รู้เลยว่าวันนี้ฉันจะเจออะไรอีก ไม่รู้เลยว่าคราวนี้จะโชคดีเหมือนกับ ‘คืนนั้น’ ไหม
“คุณเป็นลูกน้องที่ขยันใช้ได้” ตาคมจับจ้องฉันอย่างอ่านไม่ออก “เห็นแก่ความขยันของคุณ ผมยังคงอนุมัติให้คุณเลิกงานตามเวลาปกติเหมือนเดิม”
แปลว่าหลีกหนีไม่ได้แล้วสินะ แม้จะอยากแย้งแค่ไหนแต่ก็ทำได้แค่พูดว่า “ขอบคุณค่ะ”
“กินข้าวต่อเถอะ ดูเหมือนคุณจะยังไม่อิ่ม”
แล้วฉันจะพูดอะไรต่อได้ล่ะ ทำไมรู้สึกว่าเขากำลังกวนประสาทนิ่ง ๆ อย่างไรชอบกล
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จก็เป็นเหมือนเดิมที่เราต้องกลับมาทำงาน และบ่ายวันนี้เหมือนจะประชุมเดือดไปสักนิดเพราะเหล่าคณะกรรมการบริหารต่างโต้แย้งถึงการปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ หลายคนออกความคิดเห็นว่าถ้าหากยังไม่ชำรุดก็ไม่เห็นจะต้องใช้งบให้สิ้นเปลือง สิ้นปีกำไรที่ได้ก็จะเฉลี่ยปันผลให้พนักงานได้มากกว่าที่ควรจะเป็น
“โรงแรม VR อยู่ท่ามกลางกรุงเทพมหานคร และเป็นเบอร์หนึ่งของโรงแรมที่ดีที่สุดในขณะนี้” เสียงของคุณเหนือยังเอ่ยชัดมั่นคงต่อความคิดของตัวเอง
“ผมขอถามว่าถ้าหากสิ่งของที่บริการลูกค้าเกิดการชำรุดขึ้นมากะทันหัน แล้วพวกเขาได้รับอันตรายถึงเนื้อถึงตัว พวกคุณจะตอบลูกค้าว่ายังไง”
เกิดความเงียบหลังจากจบประโยคคำถามของคุณเหนือ สีหน้าของเหล่าคณะกรรมการบริหารมีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าความไม่สบอารมณ์มีมากกว่าอยู่แล้ว
“ผมว่ามันเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยมากเลยนะที่จะเกิดเหตุการณ์แบบที่คุณพูด”
“ผมยังถามคำถามเดิมว่าคุณจะตอบลูกค้าว่ายังไง” คุณเหนือจับจ้องไปยังผู้ชายคนที่ออกความคิดเห็นเมื่อครู่ “ถ้าพวกคุณหาคำตอบมาตอบได้ ผมจะยอมเอาข้อเสนอที่ว่ามาคิดดู”
“…”
“แต่ควรคิดให้ดีด้วยว่าคำตอบของคุณจะทำให้ลูกค้าพึงพอใจหรือเปล่า และหากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริง ทางโรงแรมโดนข้อวิพากษ์วิจารณ์ด้านลบในวงกว้าง”
“…”
“พวกคุณจะรับผิดชอบยังไง”
สุดท้ายคนที่ไม่ได้เอ่ยแย้งก็พยักหน้ารับกับคำพูดของคุณเหนือ ก่อนที่จะมีคนพูดรับข้อเสนอของเขาขึ้นมาทีละคน ส่วนฉันได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้มันตึงเครียดหรือเกิน เข้าประชุมกับเหล่าผู้บริหารหรือคณะกรรมการทีไรความดันจะขึ้นทุกที
“คุณกลิ่นผมขอกาแฟหนึ่งแก้ว” ทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องประชุมเจ้านายก็เอ่ยปากสั่ง แล้วร่างหนาก็หมุนกายเดินไปยังห้องทำงานของตัวเองราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม แม้ว่าจะอยู่ในความตึงเครียด โดนข้อครหามากมายหลายอย่าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณเหนือมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลกออกไปเลย
หลังจากชงกาแฟให้คนเป็นเจ้านายเสร็จ ฉันก็กลับมานั่งทำงานอยู่ตรงโต๊ะของตัวเอง ตรวจเช็กว่าในแต่ละวันคุณเหนือต้องทำอะไรบ้าง มีงานที่ไหน ประชุมหัวข้ออะไร และอีกมากมายหลายอย่าง บางครั้งก็คิดว่าหน้าที่เลขาเหมือนหน้าที่เมียไม่มีผิด
มือที่กำลังพิมพ์กดปุ่มสี่เหลี่ยมหยุดชะงักกะทันหันเมื่อเผลอคิดอะไรไม่เข้าเรื่อง เป็นเหมือนเคยที่ตาจะแอบเหลือบมองคุณเหนืออย่างพิจารณา
ตอนนี้เขาถอดเสื้อสูทออกจากตัวแล้ว เหลือเพียงเสื้อกั๊กที่ใส่ทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างของเขาสูงใหญ่กำยำสมกับเป็นชายชาตรี ไม่ต่างจากลักษณะของใบหน้าที่ดูยังไงก็เกินคำว่า ‘หล่อ’ มากไปอยู่ดี ถึงแม้จะอายุสามสิบหกแต่ก็ไม่ได้ลดทอนความหล่อของคุณเหนือลงเลยแม้แต่น้อย
“อะไรติดหน้าผมเหรอคุณกลิ่น” เสียงทุ้มเอ่ยดังเรียกสติของฉันกลับมา ตาที่กำลังจ้องมองเจ้านายรีบกลับมามองหน้าจอกะทันหัน แม้จะโดนจับได้แล้วแต่ก็ยังทำเนียนไม่รู้เรื่องรู้ราว
ผ่านไปสักหนึ่งนาทีก็เงยหน้ามองคุณเหนือเพราะอยากรู้ว่าเขาอยู่ในอาการไหน เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบเสมองไปทางอื่นอีกครั้งอย่างตกใจ ใครจะไปรู้ว่าเขากำลังนั่งเอนกายพิงเก้าอี้ตัวหนาจ้องมองฉันอยู่ในขณะนี้
“มีอะไรติดหน้าผมเหรอ”
“เปล่าค่ะ” รีบส่ายหน้าพัลวัน สองตามองไปยังเจ้านายเพื่อความแนบเนียน “กลิ่นแค่คิดอะไรเพลิน ๆ ก็เลยเผลอมองหน้าคุณเหนือค่ะ”
“คุณนั่งเหม่อในเวลางาน?”
“ขอโทษค่ะ” ก้มศีรษะให้คุณเหนือเบา ๆ “ต่อไปกลิ่นจะไม่เหม่อแล้วค่ะ”
“คุณคงได้อ่านกฎที่ผมให้ไปแล้ว”
“ค่ะ”
“กฎมีอะไรบ้าง” น้ำเสียงของคุณเหนือไม่ได้กดดัน แต่ก็แฝงความรู้สึกบางอย่างไว้ในนั้น ฉันจ้องมองไปยังเขาอีกครั้งพลางเอ่ยกฎการทำงานให้คนเป็นเจ้านายได้ฟัง
“ห้ามทำงานพลาด เพราะหากพลาดจะถูกลงโทษค่ะ”
“อืม” ใบหน้าหล่อเหลาพยักรับ ตาคมจับจ้องมองฉันไม่วางตา “จำไว้ให้ดีนะคุณกลิ่น เพราะหากคุณทำงานพลาดเมื่อไหร่”
“…”
“แม้จะเป็นเลขาของผมก็ต้องถูกลงโทษเหมือนกัน”
“…”
“และจะเป็นการลงโทษในกรณีพิเศษ”
เวลาต่อมา
ร้านอาหารภายในคลับ NN
ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความอัดอั้นตันใจในขณะนี้ บางครั้งก็อยากจะกรี๊ดออกมาดัง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะมันไม่ใช่นิสัย มีปัญหาอะไรจึงได้แต่เก็บเงียบไม่พูดไม่จา เช่นครั้งนี้ก็เช่นกัน
ร่างก้าวเดินลงจากรถหลังจากที่จอดมานานพอสมควร อย่างที่รู้ว่าเย็นนี้ฉันมีนัดทานข้าวกับคุณวสินจึงต้องมาเจอเขาเย็นนี้ ที่จริงเขาจะมารับแต่ฉันไม่สะดวกใจจึงมาเอง และเป็นการเจอที่แปลกประหลาดอย่างไรชอบกล ร้านอาหารภายในกรุงเทพมหานครมีมากมาย แต่เขาดันเลือกร้านที่อยู่ภายในไนต์คลับ NN ซึ่งเป็นคลับของคุณนายน้องชายคุณเหนือ ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือเปล่า
หรือบางครั้งฉันอาจจะคิดมากไปเอง…
“สวัสดีครับ” การ์ดหน้าทางเข้าคลับหน้าตาโหดเหี้ยมทักทายเสียงเข้มก่อนจะยื่นมือมาทางฉัน “ขอตรวจบัตรประชาชนหน่อยครับ”
ฉันหยิบบัตรประชาชนส่งไปให้อีกฝ่ายพลางเอ่ยบอกในสิ่งที่รู้ “โซนวีไอพีโต๊ะห้าค่ะ”
“เข้าไปได้เลยครับ เดี๋ยวจะมีพนักงานพาเดินเข้าไป” การ์ดยื่นบัตรประชาชนกลับมาให้ฉันคืนพร้อมเปิดทางจึงเดินเข้าคลับดังกล่าว สองตามองซ้ายมองขวาก็เห็นพนักงานคนหนึ่งเดินตรงมาทางนี้ ก่อนจะเข้ามาทักแล้วพาฉันเดินไปยังโซนโต๊ะที่ว่า
“สวัสดีค่ะ” เอ่ยทักคนที่รออยู่ก่อนหน้าแล้วทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขา ซึ่งคุณวสินก็ผงกศีรษะรับเบา ๆ สีหน้าราบเรียบเหมือนเคย
ทำหน้าน่าหมั่นไส้เหมือนเจ้านายของฉันไม่มีผิด
“คุณอยากกินอะไรสั่งได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
“เข้าธุระของคุณเถอะค่ะ” เพราะฉันไม่ได้อยากจะนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไหร่นักหรอก แน่นอนว่าคำพูดเมื่อครู่ทำให้หัวคิ้วเข้ม ๆ ของอีกฝ่ายขยับได้ ปากหยักยิ้มออกมาบางเบา
“ผมนัดว่าที่เจ้าสาวออกมากินข้าวจำเป็นต้องมีธุระด้วยเหรอ”
“จำเป็นค่ะ เพราะเรายังไม่ได้แต่งงานกัน”
“ผมชอบนะคนอวดดีแบบคุณ” เขายกแก้วเหล้าขึ้นมาแกว่งไปมา ในขณะที่ตาจับจ้องหน้าฉันก่อนจะมองเนื้อตัวกันอย่างพิจารณา “ชักอยากจะเข้าหอแล้วสิ”
“ทุเรศ”
“ผัวคุณในอนาคต”
“…”
“อ้อ… ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับผมก็หาเงินมาจ่ายหนี้แทนครอบครัวสิคุณกลิ่น” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความสนุกสนานอย่างชัดเจน ต่างจากฉันที่เริ่มมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเกลียดชัง
“เท่าไหร่”
“ไม่เยอะหรอกราว ๆ ร้อยล้าน”
คำบอกกล่าวที่ว่า ‘ร้อยล้าน’ ทำให้ฉันมืดแปดด้านมากกว่าเดิม ที่ผ่านมาก็พอจะเดาได้อยู่แล้วถึงเรื่องผลประโยชน์ของการแต่งงานในครั้งนี้ แต่ไม่คิดเลยว่ายอดเงินมันจะสูงลิ่วซึ่งฉันไม่มีทางหาเงินร้อยล้านมาจ่ายเขาได้แน่ ๆ
“คุณรู้ไหมว่าครอบครัวของคุณเอาคุณไปเร่ขายให้ใครต่อใคร พอดีผมมันเป็นพวกชอบของสวย ๆ งาม ๆ ก็เลยรับซื้อคุณไว้”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ขอตัวนะคะ ลาค่ะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอื้อนเอ่ยประโยคใดอีกก็รีบเดินออกมาทันที ที่จริงฉันจะไม่มีอคติอะไรกับผู้ชายคนนี้เลยหากครั้งก่อนเขาไม่ทำเรื่องสารเลวกับฉัน
วันนั้นคือการนัดกินข้าวครั้งแรกของฉันกับคุณวสิน จังหวะที่ฉันไปเข้าห้องน้ำไม่รู้ว่าเขาผสมอะไรในเครื่องดื่มของฉัน พอดื่มไปได้สักพักก็เริ่มมึนเมาและรู้สึกแปลก ๆ คิดว่าตัวเองไม่น่าจะไหวก็เลยต้องรีบขอตัวกลับบ้าน ซึ่งเขาก็ไม่ได้รั้งไว้ ปล่อยให้ฉันกลับในสภาพดูแทบไม่ได้
ตอนนั้นรู้ได้เลยว่ามันร้อนไปทั่วทั้งร่าง โดยเฉพาะจุดกึ่งกลางกายที่ทรมานเป็นพิเศษ ขาก้าวแทบไม่ออก หูอื้อตาลายไม่รับรู้ถึงโลกภายนอก แต่ในจังหวะนั้นเหมือนอยู่ดี ๆ ก็มีมือหนามาพร้อมกับร่างสูงใหญ่อุ้มฉันในท่าเจ้าสาว กลิ่นกายคุ้นเคยทำให้ฉันซุกหน้าเข้าหาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
จนกระทั่งมาถึงยังห้องหนึ่งก็ต้องได้รับรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือ ‘คุณเหนือ’ เจ้านายของฉันเอง ฉันเอ่ยร้องอ้อนวอนให้เขาช่วยปลดปล่อยความทรมานอย่างไม่อาย แล้วหลังจากนั้นเรื่องทุกอย่างก็ได้เกิดขึ้นและจบลงเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ฉันโดนวางยา หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ฉันได้หลับนอนกับเจ้านายของตัวเอง
แต่แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็ต้องปัดตกไปเมื่อสองตาเหลือบมองไปเห็นรถยนต์ของตัวเองถูกรถอีกคันพุ่งชนจนหน้าเละไปหมด สองขารีบก้าวเดินไปยังกลุ่มคนที่กำลังมุงหน้ามุงหลังด้วยความเร่งรีบ
“เกิดอะไรขึ้นคะ” หันไปถามการ์ดของคลับอย่างร้อนรน สองตาจับจ้องมองสภาพรถที่ดูไม่ได้สลับกับหน้าของการ์ดภายในคลับไปมา
“พอดีลูกค้าเมาก็เลยถอยรถชนรถคันนี้ครับ” เขาเอ่ยอธิบายแล้วมองหน้าฉันอย่างสงสัย “คุณผู้หญิงเป็นเจ้าของรถคันนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ” ตอนนี้ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี สงสารรถก็สงสาร แต่ก็สงสารตัวเองเหมือนกันว่าจะกลับบ้านยังไง ไหนจะต้องหารถไปทำงานอีก สงสัยปีนี้เป็นปีซวยของฉันแน่ ๆ เลย
“เกิดอะไรขึ้น” แต่ก่อนที่ความคิดของฉันจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ เสียงคุ้นเคยก็ดังให้ได้ยินใกล้หู หันไปมองก็ต้องพึมพำออกมาเบา ๆ
“คุณเหนือ…”