EP : 3

1499 คำ
"วันนี้อย่าโผล่ไปคอยรับแขกให้ฉันอายคนล่ะ" เข้ามาถึงศาลาคนหน้าบึ้งก็เดินมาขวางหน้าแล้วพูดอะไรก็ไม่รู้น่ารำคาญเป็นบ้า "เมื่อวานเห็นไหมล่ะคะ เมื่อวันก่อนล่ะ วันก่อนหน้านั้นอีก ก็ไม่เห็นนี่คะ แล้ววันนี้จะเตือนทำไม" ยิ้ม~ คนประเภทนี้ต้องยิ้มใส่ค่ะ โดยเฉพาะคนที่ชอบพูดจาแย่ ๆ กับคนอื่น แค่ยิ้มกลับไปให้แบบไม่สะท้านเดี๋ยวก็อกแตกตายไปเอง "อย่ายอกย้อน" "ถามค่ะ แค่ถามเท่านั้น ขอตัวนะคะจะไปเตรียมปัจจัยไว้ถวายพระ" ฉันยิ้มสวยตบท้ายอีกสักครั้งแล้วก็เดินผ่านอเมริกันบอยคนนี้มาเลย ไม่อยากคุยด้วยหรอกงานศพคุณแม่ของเขาแท้ ๆ ท่านเป็นถึงเจ้าของสายการบินยักษ์ใหญ่มีแขกมาร่วมงานเยอะมากแต่ลูกชายท่านหัวทองปนขาวมางานเชียว "อ้อ! ที่เมืองไทยมีครีมย้อมผมดำแบบสระขายนะคะ แค่แนะนำค่ะเผื่อไม่มีเวลาไปร้านทำผม" "ข้าวแกง!" หึ ๆๆ หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเถอะค่ะคุณแม็ค ส่วนข้าวแกงคนนี้สบายใจแล้ว ถึงช่วงเวลานี้จะเศร้าเพราะผู้มีพระคุณท่านจากไป แล้วคนที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิตกลับมารังควาน แต่ฉันก็แค่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการพยายามเอาคำพูดกับการกระทำร้าย ๆ ของเขามาทำให้มันเป็นเรื่องตลก สร้างสีสันในชีวิตไปเพราะยังไงก็อยู่ให้เขาหาเรื่องอีกไม่นานหรอก #KAOGANG END #MAX TALK "กูเสียใจด้วยนะไอ้แม็ค" "อืมขอบใจมึงมาก" "เดี๋ยวไอ้คริช ไอ้กราฟ ไอ้ฟรังซ์ตามมา ไอ้กันต์ด้วย" ไอ้พอร์ชเพื่อนสนิทของผมมันมาร่วมงานศพของคุณแม่ คืนนี้สวดคืนสุดท้ายแล้ว "ไอ้กันต์?" "เออ" "มาทำไมวะ ไอ้กราฟจะไม่ต่อยไอ้กันต์ในงานแม่กูนะ" ไอ้สองคนนี้ไม่ถูกกัน แล้วผมเองก็เคยช่วยไอ้กราฟกระทืบไอ้กันต์จนกระดูกซี่โครงแทบหัก มันจะมางานศพแม่ผมทำไม "เรื่องมันยาวเดี๋ยวค่อยเล่า แล้วนี่เมียมึงไปไหนทำไมมึงยืนรับแขกคนเดียว" หึ! เรื่องนี้มันก็นานมาแล้วเหมือนกันยังอุตส่าห์จำได้แล้วก็กล้าถามถึงอีก "กูไม่มีเมีย มีแค่ผู้หญิงที่ซวยไปจดทะเบียนสมรสด้วย" "เออ ๆ ข้าวแกงไปไหนล่ะ" "คนก้นครัวก็ต้องอยู่ในครัวสิวะเอาออกมาข้างหน้าให้อายคนทำไม" "ไอ้แม็ค มึงจะอะไรกับน้องเขานักหนา" "แล้วพวกมึงเป็นเหี้ยอะไรต้องคอยปกป้องผู้หญิงคนนั้น มาฟังสวดก็เข้าไปนั่งรอพระไม่ต้องถามถึงคนอื่น" "เฮ้อ! มึงแม่ง" ไอ้พอร์ชถอนหายใจเซ็ง ๆ ก่อนที่มันจะยืนอยู่ข้างผมไม่ยอมเข้าไป "ไม่เข้าไป?" "เออ ยืนเป็นเพื่อนมึงก่อน มึงรู้จักทุกคนรึไง หายหัวไปเกือบแปดปี หน้าญาติตัวเองมึงจำได้รึเปล่าเหอะ" ก็ดีเหมือนกันที่มันยืนเป็นเพื่อนเพราะผมก็จำใครแทบไม่ได้ ทั้งญาติทั้งแขกที่มาร่วมงาน -21.30 น.- "เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกกูรีบมา มึงโอเคนะ" หลังจากที่สวดพระอภิธรรมคืนสุดท้ายของแม่เสร็จเรียบร้อยไอ้พวกเพื่อนในกลุ่มของผมมันก็ยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนต่อ พูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบกันหลายอย่าง มีอะไรหลายเรื่องที่ผมเพิ่งรู้ แต่ละเรื่องทำผมอึ้งไม่เป็นท่า แต่ก็อย่างว่าล่ะเกือบแปดปีที่ผมไปอยู่อเมริกามันก็คงมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากมาย "เออขอบใจพวกมึงมาก" "แล้วข้าวแกงไปไหนวะ กูยังไม่ได้ทักเลยไม่เจอกันตั้งนาน " ไอ้คริชถามแล้วก็มองซ้ายมองขวา ไม่เข้าใจเลยว่าพวกมันจะอยากทักทายผู้หญิงคนนั้นกันทำไม "กลับไปตั้งแต่พระสวดเสร็จแล้วมั้ง" ผมตอบแบบไม่ใส่ใจ แต่ในใจกำลังเริ่มมีอารมณ์ สำหรับผู้หญิงคนนั้นแค่ได้ยินชื่อก็ทำผมหงุดหงิดได้แล้ว "เหรอ เออ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทัก มึงก็อย่าร้ายใส่น้องเขามากนัก เมียนะมึงไม่ใช่คนใช้"​ "หึ! คนใช้ที่ทะเยอทะยานมาเป็นเมียกูต่างหาก" "ทำหน้าโกรธอย่างกับน้องเขาข่มขืนจนมึงเสียความบริสุทธิ์ไปได้ไอ้แม็ค หรือใช่?" "อย่ากวนตีนกูไอ้กราฟ พวกมึงกลับกันได้แล้ว ขอบใจมากที่มางาน" ผมตัดบทเพราะพวกมันชอบทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายบังเกิดเกล้าของผู้หญิงคนนั้น คอยพูดจาปกป้องตลอด ผมรำคาญขี้เกียจพูดถึง "เออ ๆ พรุ่งนี้เจอกัน อย่าโมโหร้ายให้มากล่ะ ทำใจให้สบายด้วยแม่ท่านไปสบายแล้ว" ไอ้ฟรังซ์ตบไหล่ให้กำลังใจผม คนอื่นก็เหมือนกันหลังจากนั้นพวกมันก็แยกย้ายกันกลับ หลังจากที่เพื่อนกลับกันหมดแล้วผมก็เดินกลับเข้าไปในศาลาอีกครั้ง ตอนนี้ข้างในศาลาเปิดแค่ไฟสลัว ไม่มีใครอยู่ข้างในแล้วล่ะ มีแค่ใครคนหนึ่งที่...นอนหลับตามลำพังข้างในนั้น ผมมาหยุดอยู่หน้าโลงศพที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวสะอาดตาอย่างที่แม่ชอบ ดอกไม้เป็นพันเป็นหมื่นดอกถูกประดับตกแต่งจนสวยงาม แต่ต่อให้มันสวยเท่าไหร่หรือสวยกว่านี้สักล้านเท่าก็ไม่ได้ทำให้ผมมองแล้วรู้สึกดีเลยสักนิด ถ้าความสวยพวกนี้มันถูกจัดไว้พร้อมกับการที่ต้องมีใครสักคนจากไป "เรา...ยังไม่ได้ลากันเลยนะครับแม่" ผมมองรูปผู้หญิงวัยกลางคนที่ยังดูสวยสง่าสลับกับมองโลงสี่เหลี่ยมตรงหน้า สิ่งที่ผมเจ็บที่สุดนอกจากการที่แม่จากผมไปก็คือการที่ผมไม่เคยรับรู้เลยว่าท่านป่วยหนัก ไม่เคยรู้มาก่อนไม่เคยมีใครบอกให้เตรียมใจ ผมใช้ชีวิตปกติมีความสุขเที่ยวเสเพลอยู่ทุกวัน คิดว่าแม่ก็คงทำงานแล้วก็สนุกกับการออกงานสมาคมของท่าน แต่แล้วอยู่ดี ๆ ก็มีคนโทรมาบอกว่าคุณแม่เสียแล้ว "ทำไมไม่บอกผมครับแม่ แม่ไม่คิดว่าผมจะอยากอยู่กับแม่ในวันสุดท้ายบ้างเหรอ" น้ำตาที่ไม่เคยให้ใครเห็นเลยสักหยดตั้งแต่รู้ข่าวว่าท่านเสียไหลออกมาช้า ๆ เจ็บว่ะ เจ็บที่เป็นลูกชายคนเดียวแต่รู้ว่าแม่ตัวเองเสียช้ากว่าคนอื่น วันที่มาถึงก็คือวันที่สวดศพคืนที่สามแล้วด้วยซ้ำ "ผมคิดถึงแม่ ผมไม่ได้แม้แต่กอดแม่ครั้งสุดท้ายเลยนะครับ ทำไมถึงได้ใจร้ายกับผมขนาดนี้" ผมทรุดลงข้างหน้าโลงศพของท่าน ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไร แค่จับมือท่านสักครั้งก่อนจากกันหรือรดน้ำศพท่านผมยังไม่มีโอกาสได้ทำเลย วันพรุ่งนี้ก็จะไม่มีร่างของท่านอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่มีแม่ของผมอีกต่อไป คงมีแค่เถ้ากระดูกของท่านที่ให้มองเป็นภาพสุดท้าย ...พรุ่งนี้ผมจะทำใจได้ไหมถ้าต้องมีไฟมาเผาร่างของแม่ ผมจะทำใจได้ไหมถ้าร่างกายที่ผมเคยกอดเคยนอนหนุนตักมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายที่คอยปกป้องผมจากทุก ๆ อย่างต้องแหลกสลายไป ผมจะต้องทำใจด้วยวิธีไหนถึงจะทนให้เขาเอาไฟมาเผาแม่ผมได้ ตึก ตึก ตึก... "ยังไม่กลับอีกเหรอคะ" ผมได้ยินเสียงคนเดินเข้าแล้วแล้วล่ะก็เลยรีบเช็ดน้ำตา นึกว่าสัปเหร่อหรือเด็กวัดซะอีก แต่ที่ไหนได้ หึ! "ไม่เห็นเหรอวะว่ายังอยู่​" ผมถามแต่ก็ไม่ได้หันไปมองหน้าเธอ ไม่อยากให้ใครเห็นสายตาที่มีแต่ความเจ็บปวดของผม โดยเฉพาะผู้หญิงคนนี้ "...เห็นค่ะ เพราะเห็นนี่ล่ะก็เลยถาม" "ออกไปฉันจะอยู่กับแม่ฉัน" ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาทำไมแล้วทำไมถึงยังไม่กลับ แต่เวลานี้ต่อให้ใครเข้ามาผมก็อยากไล่ออกไปทั้งนั้น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของท่านผมอยากอยู่กับท่านให้นานที่สุด "ค่ะ ฉันแค่เข้ามาเอาของ ตามสบายนะคะ" เธอบอกผมแล้วก็เดินเลี่ยงไปหยิบของ ผมไม่ได้สนใจเธอแล้วเวลานี้ เพราะแม่คือคนที่ผมควรสนใจมากที่สุด "คือ..." "อะไร?" ผมหันไปถามเธอที่เดินมายืนอยู่ไม่ไกลด้วยความรำคาญ ยืนทำท่าทางอ้ำอึ้งอยู่ได้ "คุณ..." "มีอะไรก็พูดมาอย่าให้ฉันรำคาญไปมากกว่านี้ได้ไหม!"​ "...คุณแม็คโอเครึเปล่าคะ ให้ข้าวนั่งเป็นเพื่อนไหม"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม