01 – ห้องของใคร?
ฝนตกในยามเช้าตรู่ทำให้ท้องฟ้าขมุกขมัวไม่สดใสเหมือนอย่างเคย มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นเพียงความเลือนรางผ่านม่านฝน อีกด้านหนึ่งของมุมห้องเป็นเตียงขนาดกลางซึ่งสภาพยับเยินพอสมควร ผ้าห่มผืนหนาสีเขม่าควันกองเป็นก้อนอยู่บริเวณเตียงติดผนัง ขณะที่หมอนข้างนั้นก็ร่วงหล่นลงมากองอยู่บนพื้นกระจัดกระจาย
...บนเตียงมีร่างของหญิงสาวที่นอนหลับใหลและไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา คงเป็นเพราะอากาศที่ส่งผลทำให้คนขี้เกียจเพิ่มขึ้นทวีคูณอีกเท่าตัว ผมยาวดำสยายแผ่กระจายอยู่บนหมอนสีเทาหม่น แถมท่านอนของเธอก็ดูไร้ความเป็นกุลสตรีสิ้นดี
ร่างเล็กขยับเปลี่ยนท่าให้ตนเองนอนสบายมากขึ้น แต่ทว่าสัมผัสใต้ผ้าห่มผืนหนาที่เกิดขึ้นทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นมาฉับพลัน แผ่นหลังของเธอสัมผัสเข้ากับเนื้อกายอุ่นที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าปกป้องปิดกายเอาไว้ เช่นเดียวกับเธอในยามนี้
ดวงตากลมโตลืมขึ้นมาปราศจากความงัวเงีย เธอกำลังจ้องมองผนังห้องสีขาวครีมอย่างพินิจพิเคราะห์ และแน่นอนสีของผนังห้องทำให้เธอรีบเด้งตัวขึ้นมานั่งบนเตียง ผ้าห่มที่คลุมกายในคราแรกล่นลงจนถึงสะโพก ความเย็นของสายฝนด้านนอกกับเครื่องปรับอากาศทำให้กายขาวขนลุกขนชัน ก้มมองสภาพร่างก็พบว่ามันเปลือยเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายสักชิ้น
ทันใดนั้นเธอจึงรีบรวบผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างกาย และขยับตัวลงจากเตียงด้วยความรีบร้อน แต่แล้วความเจ็บปวดก็เล่นงาน เธอทรุดนั่งกองไปบนพื้นจากอาการหน้ามืด คอแห้งผาดเหมือนคนขาดน้ำค่อนวัน
“อะไรวะเนี่ย” เธออุทานออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเธอ อุปกรณ์วาดภาพตรงมุมห้องมันมาจากไหน กีตาร์ที่ตั้งพิงไว้ทำให้เธอแน่ใจว่าห้องนี้คงเป็นห้องของผู้ชายสักคน เพราะเธอเล่นกีตาร์ไม่เป็น วาดรูปก็เหมือนไก่เขี่ยดิน
ที่นี่ไม่ใช่ห้องของเธอ
พลันสายตามองไปบนเตียงนั้น ร่างของผู้ชายเปลือยกายด้านบนนอนหันหลังให้เธออยู่ เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่จากสภาพที่เห็น...เธอคงเสียท่าให้ผู้ชายตรงหน้าเข้าให้แล้ว
แม่งเอ้ย! สบถด่าในใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แม่สอนมาแท้ๆ ว่าให้เธอรักนวลสงวนตัว อย่าเสียท่าให้ผู้ชายก่อนวัยอันควร แต่วันนี้เธอก็ทำมันพังเสียจนได้
เธอก้มเก็บเสื้อผ้าบนพื้นมาสวมใส่ แล้วรีบออกจากห้องเพราะกลัวว่าอีกคนจะตื่นขึ้นมาพบเธอเข้าเสียก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงทำหน้าไม่ถูก...อย่างมากสุดก็อาจจะปล่อยโฮร้องไห้ออกมา ขอย้อนเวลากลับไปเมื่อวานก่อนที่เธอจะเมาปลิ้นจนเสียท่าแบบนี้
หลังจากที่เธอออกมาจากคอนโดฯ ของชายหนุ่มนิรนาม เธอก็โบกวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นเพื่อกลับหอ สภาพเธอดูไม่จืด ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าก็ยับเยิน เมื่อคืนเธอคาดว่าคงเป็นคืนที่เร้าร้อนก็ไม่ปาน รุนแรงขนาดเธอปวดสะโพก ไหนจะขาของเธอที่ไร้เรียวแรง
เธอรีบเปิดประตูเข้าห้องหลังจากกลับมาถึงหอพัก หย่อนตัวนั่งลงพิงร่างไปกับประตูไม้บานใหญ่ และสุดท้ายสิ่งที่เธอทำได้ก็คือร้องไห้สะอึกสะอื้นให้กับชีวิต พังหมดแล้ว...
ฮาร์ท
เรียนไม่รู้เรื่องเลย
เสียงบรรยายของอาจารย์ผู้สอนไม่สามารดึงสติของฉันที่ล่องลอยมาใจจดใจจ่อกับเนื้อหาตรงหน้าได้สักนิด ทั้งที่ในมือของฉันมีปากกาหนึ่งด้าม แต่ไม่รู้ทำไมถึงขีดเขียนอะไรออกมาไม่ได้นอกจากเส้นหยักจนกระดาษเกือบทะลุ ขณะที่ฉันกำลังคิดเรื่องเมื่อคืนซ้ำไปซ้ำมา เสียงเรียกและแรงสะกิดจากคนข้างกายก็เรียกสติของฉันกลับคืนมาได้
“ฮาร์ท ไอ้ฮาร์ท!!” ฉันหันไปมองหญิงสาวข้างกายที่มีใบหน้างุนงง ‘ปรายฝน’ เพื่อนสนิทตั้งแต่ปีหนึ่ง กำลังสงสัยฉันว่าทำไมไม่ร่าเริงหรือพูดมากเหมือนทุกวัน
“อะไร?” ฉันถามเพื่อนด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“เป็นอะไร เงียบมาตั้งแต่เที่ยงแล้วนะมึง” ฉันอยากจะสารภาพวีรกรรมเมื่อคืนของตัวเองเหลือเกิน ว่าซิงที่เก็บรักษามาทั้งชีวิต ได้ขาดสะบั้นลง จาฝีมือชายคนหึ่งที่ฉันเองก็ไม่รู้จักนาม ต้นเหตุมันก็มาจากการสังสรรค์แบบไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ และเพื่อนที่คอยยกแก้วเหล้าให้ทุกๆ สองนาที
“เปล่า” ฉันเป็นคนโกหกไม่เนียน ข้อนี้ฉันรู้ดี แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่สามารถอธิบายความในใจทั้งหมดออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ถึงอย่างนั้นปรายฝนก็ไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ ถึงแม้ว่าเธอจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม ปรายฝนพยักหน้าแสร้งว่าเข้าใจและกลับไปจดเลคเชอร์ตามเดิม
“มึง เลิกเรียนไม่คอลมีกัน”
“เอาดิ” ปรายฝนตอบกลับทันที ร้านคอลมีเป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะมีเด็กนักศึกษาพากันไปติวหนังสือบ้าง ไม่ก็ทำรายงานบ้าง แต่ฉันในวันนี้ขอพึ่งร้านคอลมี เป็นที่พักใจหน่อยก็แล้วกัน หวังว่าของหวานมันจะสามารถลบล้างความเจ็บปวดในใจของฉันได้ ฉันจะกินในลืมความเจ็บ กินให้ความทรงจำจากเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ให้เหลือ
ฉันจะกินคนเดียว ไม่แบ่งใครเด็ดขาด!
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจากห้องผู้ชายคนนั้น ฉันก็มั่นใจว่าฉันเสียความบริสุทธิ์ให้กับผู้ชายที่ไม่เคยสนทนาสักประโยค ขนาดหน้าตาก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเป็นยังไง
“ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเอง ด้วยท่อนเพลงฮิตของพี่ตูน พร้อมชูกำปั้นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง
“เป็นไรของมึงอะฮาร์ท เมาค้างเหรอ?” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธรัว ทั้งที่อยากบอกและขอคำปรึกษาจากเพื่อนสนิทคนนี้ แต่ฉันไม่กล้าพอที่จะเล่าเรื่องตัวเอง เผลอไปมีอะไรกับผู้ชายให้เพื่อนฟังหรอก
“เปล่า แต่ง่วงอะ อยากนอน เหมือนจะนอนไม่พอ” ปรายฝนมองหน้าฉันก่อนจะยื่นมือมาอังหน้าผากวัดความร้อน เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เมื่อคืนยังไม่ลดลง รวมไปถึงศึกหนักเมื่อคืนที่ไม่รู้ว่ามันเลยเถิดไปถึงไหน ฉันรู้สึกเวียนหัวตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็ยังไม่หายไป
“ตัวร้อนอะฮาร์ท ไม่สบายเหรอวะ?”
“เดี๋ยวก็หาย” ฉันถอนหายใจพลางทิ้งตัวเอนกายลงบนพนักของโต๊ะเลคเชอร์ด้วยท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเช็คดูไลน์กลุ่มครอบครัวว่าคุยอะไรกันหนักหนาตั้งแต่เช้า เมื่อกดเข้าไปก็พบว่า เป็นภาพสวัสดียามเช้าและคำอวยพรนับสิบที่พ่อกับแม่แข่งกันส่งเข้ามา ทั้งที่เป็นข้อความ ‘สวัสดีวันพุธ’ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกเสียใจแทนที่จะมีความสุข
ย้อนขึ้นไปอ่านข้อความที่พ่อและมาส่งมาให้เมื่อคืนก็ยิ่งรู้สึกผิด
‘กลับหอยังน้องฮาร์ท ถึงแล้วบอกแม่ด้วยนะ’
‘พ่อคิดถึงน้องฮาร์ทนะลูก’
‘แนบรูปภาพ’ ฉันยิ้มออกมาเมื่อเลื่อนเจอภาพที่ภาพถ่ายรูปตัวเองพร้อมชูสองนิ้วมาให้ จากมุมด้านหลังไกลๆ คือแม่ที่กำลังชูเจ้าน้ำข้าว หมาพันธุ์ไทยตัวแคระแกร็น มันอ้าปากแลบลิ้นอย่างมีความสุข
‘น้ำข้าวก็คิดถึง’
‘อย่าทำงานหนักนะลูก พักผ่อนบ้างนะลูก’ ยิ่งได้อ่านข้อความจากครอบครัว มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อพวกเขา และโกรธตัวเองที่ทำตัวแบบนี้
การมีเซ็กซ์มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันผิดตรงที่ฉันไม่มีสติ และเผลอไปมีความสัมพันธ์กับใครก็ไม่รู้
แต่ฉันก็โล่งใจอย่างหนึ่ง ก่อนออกมาจากผู้ชายคนนั้น ฉันเห็นซากถุงยางที่ใช้แล้ววางกองอยู่ โอเค...อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าเขาคนนั้นป้องกัน และฉันก็หวังว่าหลังจากนี้ตัวเองคงไม่ต้องอุ้มท้องหรือติดโรคทางเพศสัมพันธ์
“ฮาร์ทๆ อินดิโกอัปไอจีว่ะ” ปรายงนยื่นโทรศัพท์มาให้ฉัน เจ้าของอินสตาแกรมโพสต์ภาพเมื่อสิบนาทีที่แล้ว ภาพถ่ายตัวเองเพียงครึ่งหน้าพร้อมกับคำใต้ภาพว่า ‘lost heart’
หากให้ฉันคิดเข้าข้างตัวเอง ฉันก็คงคิดว่าอินดิโกพิมพ์ถึงฉันอย่างแน่นอน
“หล่ออะฝน กูขอแคปภาพเขาแป๊บ” ฉันยิ้มและใช้โทรศัพท์ของตัวเองบันทึกภาพหน้าจอ คนที่ฉันแอบชอบมาตลอด ตั้งแต่ตอนรับน้องปีหนึ่ง จนปีนี้ฉันเรียนปีสุดท้ายแล้ว...ก็นับเอาล้วกันว่าการอบชอบโดยที่ไม่เคยทักไปหาเขา มันนานมากขนาดไหน
‘อินดิโก’ คือนามแฝงที่ฉันใช้เรียกผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันแอบชอบมาตั้งแต่ตอนรักน้อง แล้วมันก็เป็นชื่อที่ฉันใช้เรียกเฉพาะ ซึ่งมีปรายฝนและมายด์เพื่อนต่างคณะอีกคนเท่านั้นที่รู้ และถ้าหากฉันพูดชื่อจริงๆ ของเขาคนนั้น คนทั่วมหาวิทยาลัยอาจจะต้องรู้จักอย่างแน่นอน
เขาคนนั้นชื่อว่า ‘สีคราม’ เรียนอยู่อาร์ตปีห้า หลักสูตรของเขาเรียนทั้งหมดห้าปีเหมือนกับสถาปัตยกรรม สีครามเรียนอยู่เอกวิจิตรศิลป์และจิตรกรรมอะไรประมาณนั้น ซึ่งจะถูกเรียกพวกเขาว่าเด็กเพ้นท์ แต่เด็กที่นี่มักจะเรียกคณะฝ่ายศิลปะโดยรวมว่า คณะอาร์ต เด็กอาร์ต และสีครามชอบเล่นกีต้าร์มาก ตอนที่เขาอยู่ปีสามก็เคยลงแข่งงานดนตรีของมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่ได้ที่หนึ่งแต่เขาก็เป็นที่พูดถึงข้ามวันข้ามคืนเพราะความหล่อนี่แหละ
จริงๆ อินดิโกไม่ได้ดูหล่อมากเหมือนดาราหนัง เขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่มีเสน่ห์ เขาตัวสูง ผิวขาว ดวงตาเล็กเฉี่ยวคม เขามีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเองมากๆ เสื้อผ้าที่เขาใส่ส่วนใหญ่เป็นของวินเทจและเสื้อผ้าวินเทจของวง Oasis ที่เขาชื่อชอบ อีกอย่างเขาชอบถ่ายรูป ไม่ว่าจะรูปคน ทิวทัศน์ จากกล้องฟิล์ม น้อยครั้งที่ฉันจะเห็นเขาลงภาพถ่ายตัวเองลงโซเชียลมิเดีย แบบนี้จะไม่ให้ฉันส่องและเลื่อนอินสตาแกรมของเขาทุกวันได้ยังไง...
“หล่อ เหมาะที่จะเป็นพ่อของลูกมากอะมึง”
“น้อยๆ หน่อยไอ้ฮาร์ท สตอรี่ล่าสุด นางลงวีดีโอผู้หญิงเพื่อนนางอะ หัวเราะเริงร่ามาก แฟนชัวร์!” ฉันอยากให้ไปตีปากเพื่อนรักที่ช่างปากเสียเหลือเกิน แต่ฉันก็ปฏิเสธหลักฐานที่ฟ้องอยู่ทนโท่ไม่ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเคยคิดจะซิ่งเพื่อไปเรียนคณะอาร์ต เพื่อตามความรัก แต่ปรายฝนก็ห้ามไว้ได้ทันโดยให้เหตุผลว่า การวาดภาพของฉันแย่กว่าฝีมือเด็กอนุบาล จึงทำให้ฉันต้องล้มเลิกความตั้งใจทันที
“เพื่อนกัน! เขาก็สนิทกันเป็นปกติปะวะ”
“ปลอบใจตัวเองเก่งเนอะ”
“บอกใจตัวเองอยู่ว่าห้ามไปอิจฉา เมื่อไรกูจะกล้าทักเขาไปวะฝน!” ฉันบ่นแบบนี้มาตั้งแต่ปีสอง แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าฉันจะได้สานสัมพันธ์กับสีครามสักนิด
เขาดูดีขนาดนั้น เก่งขนาดนั้น ส่วนฉันมันก็แค่ระบบนิเวศหนึ่งในมหาลัย...คงไม่มีวันที่เขาจะหันมาสนใจ ก้อนหิน ต้นไม้ ใบหญ้า อย่างฉันหรอก
“มั่นใจหน่อย เราก็มีดีของเรา แต่แค่คนอื่นเขามีดีกว่า” นี่สิเพื่อนร้าย! ฉันหันไปมองปรายฝนที่เหมือนจะพูดให้กำลังใจ แต่สุดท้ายก็ตัดกำลังจนหมดหวัง
“สาบานว่านี่คือกำลังใจ”
“เอาน่า เอาความตลกเข้าสู้ มึงได้ครามแน่นอนเชื่อเถอะ” ฉันจะเชื่อคำพูดเพื่อนคนนี้ดีไหม เพราะปรายฝนมันคนที่อวยเพื่อนเกินจริง อาจจะเป็นควาหวังดีของเธอก็ได้ แต่บางทีคำพูดของปรายฝนมักจะทำให้ฉันมั่นใจอะไรในทางที่ผิดๆ อยู่เสมอ อย่างเช่นครั้งหนึ่งฉันซื้อเสื้อสีส้มสดกับกางเกงสีเขียวใบตองตัวใหญ่ ปรายฝนก็จะยุยงให้ฉันใส่มาเรียน เพื่อนโชว์ความชิคความคูลของตัวเอง
แต่เปล่าเลย...วันนั้นแทนที่เพื่อนร่วมมหาลัยจะมองฉันว่าเป็นผู้นำแฟชั่น กลับกลายเป็นว่าพวกเขาขขันว่าแต่งตัวไม่เอาไหนเสียเลย
“ถามจริง?”
“ปรายฝนคนนี้เคยทำให้ฮาร์ทผิดหวังหรือไง?”
“ประจำอะ” ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน หน่ายใจกับเพื่อนรัก แล้วก็อนาถตัวเองไปพร้อมกัน
ฉันไม่คิดว่าการชอบหรือรักใครสักคนมันจะยากขนาดนี้ จนกระทั่งมาเจออินดิโก ฉันแอบชอบเขามาตลอดโดยไม่แสดงออกไป ได้แต่กดเพิ่มเพื่อนเขาในเฟซบุ๊ก กดติดตามในอินสตาแกรม แล้วก็นั่งส่องดูรูปเขาอยู่ทุกวัน จนบางครั้งก็เผลอลั่นไปกดไลก์รูเก่าๆ ของเขาเมื่อสองสามปีก่อน คนอย่างฉันมันก็แค่นี้แหละ...ได้แค่มองเขาอยู่ในที่ของตัวเอง มองจากระยะห่างที่ใกล้เพียงไม่กี่ร้อยเมตร ก็มีความสุขมากพอแล้ว (ที่ไหนกัน!)
Call me some Coffeehouse and Bistro
กลิ่นกาแฟคั่วหอมกรุ่น นุ่มละมุนแต่ก็เข้มข้นจนตาสว่าง หากใช้สิ้นสัมผัสรสชาติของมันคงจะมีรสเปรี้ยวชื่นใจไม่ใช่น้อย ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น มองท้องฟ้าด้านนอกจากมุมนี้ เหมือนกำลังจะกลั่นแกล้งผู้คน ที่ปล่อยสายฝนโหมกระหน่ำจนที่ใช้รถใช้ถนนหรือโดยสารรถประจำทางกลับบ้านอย่างทุลักทุเล ถึงวันนี้จะดูเหมือนโชคร้าย แต่อย่างน้อยฉันก็คิดว่ามันมีความโชคดีแฝงอยู่
ฉันยกแก้วเครื่องดื่มรสโกโก้จรดริมฝีปาก ลิ้มรสความขมปนหวานจากเครื่องดื่มสีเข้ม ตอนนั้นเองฉันเห็นกลุ่มผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาในร้าน หลายคนอาจจะคิดว่ามันคือพฤติกรรมที่ไม่งาม กุลสตรีศรีสยามไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนี้ แต่ฉันคิดว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว การที่ผู้หญิงมองผู้ชายก่อนไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องถูกคนอื่นต่อว่าว่า ‘บ้าผู้ชาย’
ฉันไม่เคยโกรธเคืองกับคำพูดเหล่านั้น
เพราะฉันก็บ้าผู้ชายตามที่พวกเขาว่ากันนั่นแหละ เวลาโดนแม่ดุด้วยคำนี้ทีไร ก็ไม่เคยเถียง หากโต้แย้งแม่ด้วยคำโกหกเช่นนี้ มันไม่ใช่วิถีทางของกุลสตรีอย่างฉันที่ทำกัน
“มึงๆๆ อินดิโก” ปรายฝนใช้เท้าสะกิดฉัน พร้อมส่งสายตาให้ฉันรู้ว่าคนที่แอบชอบกำลังเดินเข้าร้านมาในร้านเดียวกัน วันนี้อินดิโกแต่งตัวสบายกว่าทุกครั้ง เสื้อยืดวินเทจสีดำ กับกางเกงยีนสีซีดที่ขาดเพียงเล็กน้อย แปลกตาเพียงเล็กน้อยก็คือผ้าคาดหัวสีขาวที่คาดเปิดหน้าผาก
ปกติก็แพ้ความเป็นสีครามแล้วนะ ยิ่งแต่งตัวแบบนี้ก็ยิ่งแพ้ราบคาบกันไปใหญ่
ใบหน้าตี๋คมดูใจดี บางทีก็ดูเหมือนวายร้าย ฉันลอบกลืนน้ำลาย เมื่อจู่ๆ ผู้ชายคนที่ฉันแอบชอบก็หันมาสบตาด้วยพอดี เขาส่องยิ้มให้ฉันเพียงเล็กๆ แต่มันกลับส่งผลกระทบต่อใจรุนแรง จนตอนนี้หน้าของฉันร้อนแดงอย่างห้ามไม่อยู่
ไม่คิดว่าเขาจะส่งยิ้มมา แน่นอนว่ามันไม่ใช่ภาพลวงตา หรือสิ่งที่คิดไปเอง
ฉันใช้ขาเตะปรายฝนกลับพร้อมกับเสียงกรี๊ดที่พยายามกลั้นไม่ให้เกิดเสียง พลางหลับตาลงสูบลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติ แต่พอหันไปมองเขาอีกทีก็ หัวใจฉันมันก็เต้นแรงเกินไป สีครามกำลังมองมาทางนี้ มองฉันอยู่ไม่ผิดแน่ เขายิ้มมุมปากจนฉันอยากจะลงไปนอนแดดิ้นบนพื้นให้รู้แล้วรู้รอด
“เขามองกูอะ ฮือ...ดีต่อใจให้ไปสิบดาว” บอกกับปรายฝนพร้อมยกมือขึ้นมาชูสิบนิ้ว พลางบิดตัวอย่างเขินอาย
“เก็บอาการหน่อยดิ เดี๋ยวเขารู้” ปรายฝนว่า
“นี่เก็บอาการสุดๆ แล้วนะ” ปรายฝนเบ้ปากกับท่าทางของฉันที่แสดงออกนอกหน้า การแสดงออกแบบนี้มองจากเชียงใหม่ก็รู้ว่าเธอมีความสุขเกินความจำเป็นแค่ไหนยามเห็นผู้ชายหน้าหล่อตรงมุมร้านฝังกระจก
“เขามองใหญ่แล้ว เก็บอาการหน่อย กูอายเขา”
“ก็ได้ๆ เขินอะ ไม่คิดว่าครามจะมองด้วย”
“เขามองเพราะความแปลกหรือเปล่า”
“นี่! สวยขนาดนี้ เอาอะไรมาแปลกฮะ!”
“อะ ทีอย่างนี้ล่ะมั่นหน้า จะทำอะไรก็ทำเลยจ้า กูจะไม่ห้ามแล้ว” ปรายฝนบอกฉันอย่างระอาใจ ก่อนจะยกแก้วชาพีชของตนขึ้นมาดูดแก้กระหาย เธอเลิกสนใจฉันที่มัวแต่เขินอายผู้ชายอย่างออกอาการ และก้มหน้าเล่นเกมในโทรศัพท์ ปล่อยทิ้งให้ฉันนั่งกัดปากกลั้นเขินเพียงคนเดียว
เวลาล่วงเลยจนฟ้ามืด ฝนก็พึ่งหยุดไปได้สักพัก ปรายฝนขอตัวกลับบ้าน ขณะนั้นฉันก็จ่ายเงินและเดินกลับหอ ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่สอบติดมหาลัยชื่อดังแถบชานเมืองแห่งนี้ได้ และอาศัยอยู่ที่หอพักที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่ไกลนัก แค่เดินเข้าซอยมาไม่กี่ร้อยเมตรก็จะเห็นหอพักสตรีสูงเพียงแค่ห้าชั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นหอพักนอกแต่หอนี้ก็ดูไม่ได้ต่างจากหอพักภายในของมหาวิทยาลัยสักนิด
กฎของที่นี่ก็คือเข้าออกหอพักห้ามเกินสี่ทุ่ม ห้ามเพื่อนนอกหอเข้ามาก่อนจะได้รับคำอนุญาต และห้ามผู้ชายเข้าเด็ดขาด แม้แต่พ่อที่ช่วยขนของย้ายเข้าพักก็ขึ้นไม่ได้
ปรายฝนถามฉันเสมอว่สกฎเยอะขนาดนี้แล้วจะเข้ามาอยู่ทำไม...คำตอบง่ายๆ เลยก็คือชอบอยู่คนเดียว ไม่อยากมีรูมเมท มันใกล้มหาลัย และที่สำคัญพ่อชอบกฎของหอพักนี้มาก!
ฉันเดินย่ำแอ่งน้ำบนถนนตลอดทาง เวลาเช้าจนถึงเย็นถนนเส้นนี้จะคึกคักเป็นพิเศษเพราะเด็กมหาลัยออกมาหาข้าวกินและซื้อของ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ แต่หลังจากหนึ่งทุ่มเป็นต้นไป เส้นทางนี้จะเงียบสนิทและค่อนไปในทางเปลี่ยวเลยด้วยซ้ำ
ทว่า...เสียงบีบแตรของมอเตอร์ไซค์ด้านหลังทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง ยกมือขึ้นมาบังแสงไฟหน้ารถ หรี่ตาลงเพื่อมองคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดเทียบข้าง แสงสีส้มนวลจากต้นเสาไฟฟ้าข้างทาง สาดลงมากระทบใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้น และมันก็ทำให้ฉันตกใจอย่างสุดขีด เพราะคนที่ฉันเห็นในตอนนี้...คือ สีคราม
เขาส่งยิ้มให้ฉันอีกครั้ง
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวไปส่ง” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะได้ยินเสียงเขาชัดขนาดนี้ เสียงทุ้มติดแหบแต่มีเสน่ห์น่าหลงใหล มันทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาออกจากเขาได้เลย
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เราเดินกลับเองได้ แค่นี้เอง” ไอ้ฮาร์ทเอ๊ย! อยากจะตีปากตัวเองที่พูดแบบนั้นออกไป อยากจะซ้อนมอเตอร์ไซค์ใจแทบขาด แต่ไอ้ความเป็นกุลสตรีที่แม่สอนมาทำให้ฉันต้องปฏิเสธออกไป
“ทางมันเปลี่ยว ขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวไปส่ง” ชั่งใจเพียงชั่วครู่ และฉันก็พ่ายแพ้ต่อสายตาและคำพูด ยอมจำนนขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของอินดิโป
“หอเราอยู่ซอยหน้านะ ตรงร้านขายขนมปังอะ” สีครามพยักหน้ารับ และบิดมอเตอร์ไซค์ด้วยความเร็วไม่มาก ฉันที่ซ้อนอยู่ด้านหลังทำได้เพียงแค่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าขยับเขยินไปไหน ดีใจก็ดีใจ เขินก็เขิน อายก็อาย อารมณ์ตอนนี้มันหลากหลายไปหมด
วันนี้มันวันโชคดีอะไรของไอ้ฮาร์ทเนี่ย!
ไม่นานนักมอเตอร์ไซค์ของครามก็จอดเทียบกับหน้าประตูหอพัก ฉันลงจากรถพร้อมจัดกระโปรง เงยหน้าขึ้นมองพร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” พูดไปก็ใช้มือขยำชายกระโปรงไป...สีครามถอดหมวกกันน๊อกออกแล้วหันไปมองหน้าฉัน ทว่าฉันนึกเอะใจเมื่อสังเกตเห็นแววตาของเขา และรอยยิ้มที่เหมือนตัวละครวายร้ายจากหนังสักเรื่อง
“เจ็บไหม?” เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คะ?” ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถาม และแสดงสีหน้าออกไปอย่างชัดเจน
“ที่ทำไปเมื่อคืน ไม่เจ็บหรือไง” คำพูดจาอินดิโกชัดเจนมากขึ้น จนฉันแอบคิดว่าเขาอาจจะเป็นผู้ชายคนเดียวกับเมื่อคืน แต่ไม่ใช่หรอก...สีครามของฉันน่ะ เป็นคนดีจะตายไป ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นเป็นอันขาด
“เมื่อคืน อะไรเหรอ?” ฉันหวังเหลือเกินว่าจะไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่ใช่หรอกน่า อย่างเขาไม่ทางทำอะไรฉันแน่...
“ทำไมเมื่อเช้าถึงรีบกลับล่ะ ฉันตื่นมาไม่เจอเธอ” เหมือนโลกทั้งใบกำลังแหลกสลายลงไปกับตา ฉันมองเขาด้วยหัวใจที่ผิดหวังเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าฉันควรดีใจหรือเสียใจดี ที่เผลอไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่อบชอบ
...ไม่เลย
ฉันไม่ดีใจสักนิด
ความรู้สึกของฉันในตอนนี้เหมือนกับตัวเองจมดิ่งอยู่ในน้ำ ที่พยายามตะเกียดตะกายขึ้นมาหายใจ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ฉันเกลียดใบหน้าที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกสะทกสะท้าน อย่างน้อยเขาควรเอ่ยคำขอโทษออกมา ไม่ใช่มองฉันด้วยใบหน้าที่มองว่าฉันเป็นตัวตลกอย่างนี้
นี่ไม่เหมือนสีครามที่ฉันคิดเอาไว้เลย ไม่เหมือนคนที่ฉันเห็นผ่านรูปถ่าย...ไม่ใช่สักนิด
“ไอ้ชั่ว ไอ้สารเลว!!!!”